วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ ลายเส้นชีวิต ” จาก “ 1คร.2:14-15 ”



คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -1-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง ลายเส้นชีวิต จาก 1คร.2:14-15

1คร.2:14-15           แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนนั้นได้
จากพระวจนะตอนนี้ มีถ้อยคำที่น่าใจ ทั้งคำว่า เข้าใจ ไม่เข้าใจ วิจัยสิ่งสารพัด วิจัยใจคน
เรื่องฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระวิญญาณนั้น มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณสามารถที่จะเข้าใจได้ หนึ่งในเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจไม่ได้ คือ เรื่องของจิตใจคน
คำโบราณว่า ใจคนยากแท้หยั่งถึง เราหยั่งทะเลลึกได้ แต่ไม่สามารถหยั่งใจคนได้แต่พระคัมภีร์ยืนยันว่ามนุษย์ฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจใจคนและวิจัยใจคนได้อย่างอัศจรรย์ พระวจนะใช้คำว่า ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนได้ แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณสามารถวิจัยสิ่งสารพัดได้
ความเข้าใจหรือไม่เข้าใจนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล เหมือนนักเรียนทุกคนเรียนบทเรียนเดียวกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเหมือนกัน ... ทุกคนฟัง แต่น้อยคนเข้าใจ ... ทุกคนมอง แต่น้อยคนเห็น
ดังนั้น คนที่ฟังแล้วเข้าใจ คนที่มองแล้วเห็น คนที่สามารถหยั่งรู้ใจคน เข้าใจชีวิตคน รวมทั้งชีวิตของตัวเองด้วย จึงถือว่าได้รับพระพรมหาศาลจากพระเจ้า การเข้าใจเรื่องวัตถุที่ว่ายากแล้ว การเข้าใจใจคนยิ่งยากกว่านั้น แต่ถ้าเราเข้าใจได้ เราก็มีความสุขในชีวิต หลายคนทุกข์เพราะไม่รู้จักตัวเอง ที่จริงอ่อนแอ แต่กลับคิดว่าตัวเองแข็งแรง ที่จริงโง่ แต่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด ทั้งหมดมีที่มามีที่ไป และผลก็ล้วนมาจากเหตุ
คำเทศนาเรื่อง ลายเส้นชีวิต นี้ จะเป็นแนวทางให้มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ เข้าใจคน เข้าใจชีวิตได้อย่างอัศจรรย์

1. มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้
มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ คือ คนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิต
คนที่มีพระวิญญาณฯ อยู่ในชีวิต คือ มีองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีพระวจนะของพระเจ้าในชีวิต
พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะอยู่กับคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์
การเจิมของพระวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องเป็นการสั่นเทิ้ม หรือน้ำตาไหลตลอดเวลา
แต่เราจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตผ่านจิตวิญญาณของเรา
จิตวิญญาณ สูงกว่า จิตใจ สูงกว่า ความคิด (สมอง) และเป็นส่วนที่กำหนดความสำเร็จในโลก
มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ สามารถ วิจัย สิ่งสารพัดได้
วิจัย คือ แยกแยะ แยกย่อยได้โดยมีปัญญากำกับ (เหมือนใบไม้สามารถสังเคราะห์แสงเป็นอาหารได้)
สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้พบ ถ้าเราสามารถวิจัยได้ เราก็นำมาเป็นประโยชน์ได้
เรื่องของจิตใจคนก็เช่นกัน ถ้าสามารถวิจัยได้ เข้าใจได้ จะมีประโยชน์มหาศาลในชีวิตของเรา

1.1 สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คน ล้วนมีลายเส้นของชีวิต
ขึ้นชื่อว่าเป็นคน หรือเป็นมนุษย์นั้น ทุกชีวิตมีลายเส้น มีลายละเอียดของชีวิตที่แตกต่างกัน
ลายเส้นชีวิตของคนนั้น มีทั้งโค้ง งอ คด ตรง หนา บาง ขรุขระ เรียบ แข็งและอ่อน
กระดูกแข็ง แต่เลือดเหลว ลิ้นนิ่ม แต่ฟันแข็ง เส้นผมมีทั้งตรงและหยิก
ถ้าเราจะแข็ง ต้องแข็งในหลักการ จะเป็นความมั่นคง แต่อย่าแข็งกระด้าง เพราะจะทำให้ร่างแหลกสลาย
ถ้าเราจะอ่อน ก็ขอให้เป็นการอ่อนโยนและอ่อนสุภาพต่อผู้อื่น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -2-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

และเพราะมีทั้งหมดที่กล่าวมานั้นแหละ จึงรวมกันเรียกว่า ชีวิต
ชีวิตของคนนั้นเป็นที่รวมของทุกศาสตร์ก็ว่าได้ ... ใครที่เข้าใจได้ ก็ได้กำไรชีวิต

1.2 ทุกการปั้นและการวาด จะมีลายเส้นของช่างผู้ชำนาญ ส่งผลให้งานโดดเด่นและมีคุณค่า
ทุกการปั้นและการวาดจากผู้ชำนาญ จะส่งผลให้เกิดลายเส้นที่โดดเด่นและมีคุณค่า
พระเจ้าทรงเป็นช่างผู้ชำนาญการ ปั้นและวาดชีวิตของเราทุกคนแตกต่างกัน อย่างโดดเด่นและมีคุณค่า
พระเยซูคริสต์ทรงทราบดีว่ามีอะไรอยู่ในมนุษย์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าและเป็นผู้สร้างเขา
ยน.2:25                  เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
ลีโอนาโด ดาวินชี เกิดมาเพื่อวาดรูป ... ภาพ THE LAST SUPPER และภาพโมนาลิซ่า เป็นตัวอย่าง
ไมเคิล แองเจลโล เกิดมาเพื่องานปั้น ... รูปปั้นเดวิด เป็นตัวอย่าง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดมาเพื่อเป็นนักฟิสิกส์ ... ทฤษฎีสัมพันธภาพ เป็นตัวอย่าง
โทมัส อัลวา เอดิสัน เกิดมาเพื่อเป็นนักประดิษฐ์ ... เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อเขาหนึ่งพันกว่าชิ้น
ถ้าเราเข้าใจ เราจะมองทุกคนอย่างมีคุณค่า รวมทั้งจะมองเห็นคุณค่าของตัวเองด้วย
แต่แม้เราเก่งแค่ไหน จำไว้ว่า เราไม่ได้เป็นทุกสิ่ง เราเป็นเพียงแค่บางสิ่งเท่านั้น
พระเจ้าผู้เดียวที่ทรงเป็นทุกสิ่งของมนุษย์

1.3 ท่อนไม้ กับ ไม้แกะสลัก (จากช่างฝีมือเลิศ) คุณค่าย่อมต่างกัน
ท่อนไม้อันเดียวกัน ท่อนหนึ่งตัดมาไว้เฉยๆ แต่อีกท่อน เอาไปแกะสลักโดยช่างฝีมือเลิศ
คุณค่าของท่อนไม้ทั้ง 2 ท่อน ย่อมแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ถ้าท่อนไม้ที่ไร้ชีวิต ไม่มีค่า แต่เมื่อรับการแกะสลัก คุณค่ามันเพิ่มขึ้น
ชีวิตของคนที่ประเสริฐยิ่งกว่าต้นไม้ รับการแกะสลักจากช่างผู้ชำนาญ จะไม่สวยงามและมีคุณค่ามากกว่านั้นหรือ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะยอมให้นายช่างแกะสลักชีวิตหรือไม่?
และนายช่างที่จะมาแกะสลักชีวิตของเรานั้น มีฝืมือหรือไม่? ต้องคำนึงด้วย
อยากเก่ง ต้องเรียนกับคนเก่ง อยากประสบความสำเร็จ ต้องเรียนกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ
หลายคนขยัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขยันผิดที่ เรียนตลอด แต่ไม่ได้เรียนกับผู้ที่รู้จริง
ดังนั้น ใครจะมาแกะสลักชีวิตของเรา คนนั้นต้องพิสูจน์มาแล้วว่าเขามีฝีมือจริง (ไม่ใช่ดีแต่ฝีปาก)
มีผลงานที่จับต้องมองเห็นได้ มีผลงานเป็นเครื่องการันตีความสามารถ
เช่น พระเยซูคริสต์ ทรงแกะสลักชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นคนพิเศษ โดยใช้เวลาเพียงสามปีครึ่ง
อัครทูตไม่กี่คน ที่ด้อยการศึกษา และฐานะต่ำ สามารถแตะโลกได้
ผู้รับใช้รุ่นต่อมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ก่อขึ้นจากรากฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงวางไว้นั่นแหละ

1.4 ทุกการปั้นแต่งชีวิต ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ
ชีวิตของคน จะเป็นประติมากรรมที่ทรงคุณค่าก็ต่อเมื่อมีการปั้นแต่งจากช่างผู้ชำนาญ
ทุกลายเส้น ทำให้ชีวิตมีลีลา มีอารมณ์ และมีศิลปะ
ทุกรอยปั้น ทำให้ชีวิตมีความอ่อนโยนและความแข็งแร่ง มีความสง่างามอยู่ในความสงบ
แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ย้ำว่า ช่างวาด ช่างปั้น ต้องเป็นระดับฝีมือเลิศเท่านั้น

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -3-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าปั้นเราจากคนโง่ให้กลายเป็นปราชญ์ได้ จากคนที่ซอมซ่อเป็นคนที่สง่างามได้
ชีวิตที่ธรรมดาของเราจะกลายเป็นชีวิตที่พิเศษได้ ถ้าเรายอมรับการปั้นแต่งลายเส้นชีวิตจากพระเจ้า

1.5 ทุกลายเส้นที่งดงามนั้น เกิดจากการสร้างสรรค์โดยปัญญา
เส้นชีวิตของเราจะงดงาม ขาดปัญญาไม่ได้เลย และปัญญานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
แต่ปัญญา ได้มาด้วยการค้นคว้า การใช้ความคิดและการใฝ่รู้
ทุกการเรียนรู้ ทำให้เรามีความรู้และก่อให้เกิดประโยชน์
ยิ่งใช้ความคิด ก็ยิ่งคิดได้มาก และยิ่งคิดให้เกิดคุณค่า ความคิดนั้นก็จะกลายเป็นความคิดที่มีคุณค่า
อีกทางที่เราจะรับปัญญาอย่างสร้างสรรค์ คือ กล้ายอมรับคำติชม กล้าปรึกษาหารือ
คำติชม คำแนะนำ คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน คริสตจักร ผู้นำ
ล้วนเป็นของประทานที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเตือนสติและแกะสลักชีวิตของเรา
ถ้าเรายอมรับและจับประเด็นเรื่องนี้ได้ เราก็สามารถวิจัยสิ่งสารพัดได้ และมีลายเส้นชีวิตที่งดงามได้เช่นกัน

2. ทุกลายเส้นของชีวิต มีลายเส้นของความคิด
สภษ.4:11-13          เราได้สอนเจ้าในเรื่องทางปัญญาแล้ว เราได้นำเจ้าในวิถีของความเที่ยงธรรม เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางและถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด จงยึดวินัยไว้ และอย่าปล่อยไป จงระแวดระวังเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
สภษ.4:20-23          บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเราจงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
ลายเส้นของความคิด ได้มาจากปัญญา ความเที่ยงธรรม วินัยชีวิต และคำสอนของพระเจ้า
พระเจ้าสอนเราเรื่องปัญญาและความเที่ยงธรรม
ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยใช้ปัญญา และมีความเที่ยงธรรม ไม่มีใครขัดขวางหรือทำอันตรายเราได้
พระเจ้าสอนให้เรายึดวินัยไว้ เพราะวินัยเป็นชีวิต
วินัย คือ เบรค วินัย คือ พวงมาลัย วินัย คือ หางเสือของชีวิต
ถ้าคนไทยมีวินัย บ้านเมืองเราคงเจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่นี้
คำที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยที่ดีที่สุด คือ การทำตามใจ คือ ไทยแท้
และเพราะทำตามใจตัวเอง ขาดวินัย จึงขาดความเจริญ ขาดลายเส้นของความคิด
พระเจ้าสอนให้เราตั้งใจ จดจ่อ เอียงหูฟังถ้อยคำ ฟังความคิดของพระเจ้าและนำมาเป็นความคิดของตัวเอง
ความคิด กำหนดชีวิตคน ถ้าเราคิดเหลวไหล ชีวิตเราก็เหลวแหลก
วิถีชีวิตของเรา เราเป็นคนกำหนดด้วยความคิดของเราเอง
เราต้องคิดเอง ทำเองในส่วนที่เราทำได้ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาอย่างดี
ส่วนสิ่งที่เราทำไม่ได้ ก็ให้เราขอพรจากพระเจ้า
แล้วพระองค์จะต่อยอดชีวิต ต่อยอดความคิดของเราให้อย่างอัศจรรย์

2.1 ความคิด เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา
จุดเริ่มต้นของปัญญา อยู่ที่ความคิด นี่เป็นเหตุให้เราต้องคิด และต้องคิดให้มาก
เพื่อที่จะไม่ต้องคิดมาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -4-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

บ่อยครั้งเราทำอะไรโดยไม่คิด แล้วท้ายที่สุดก็เลยต้องมานั่งคิดมาก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น

2.2 คนช่างคิด คนช่างสงสัย คือ คนอยากรู้
คนช่างคิด ไม่ได้หมายถึง คนที่คิดมากหรือเรื่องมาก หรือคนเพ้อเจ้อ แต่เป็นคนที่ใช้ความคิด
ถ้าไม่รู้จักคิด ก็ไม่รู้จักการเรียนรู้
คนช่างคิด คนช่างสงสัย คือ คนอยากรู้ แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้
เช่น พี่น้องตระกูลไรท์ สงสัยว่าคนจะบินได้อย่างนกหรือไม่ ความคิดนี้ก่อให้เกิดเครื่องบิน
ดังนั้น คนช่างคิด จึงถือเป็นคนสมองเปิด เมื่อสมองเปิดลายเส้นชีวิต ลายเส้นความคิดก็ยิ่งงดงาม

2.3 ความคิด ทำให้คนค้นหา แก่นแท้ ไม่ใช่แค่ เปลือกนอก
คนที่ไม่สามารถหาแก่นแท้ของชีวิตเจอ ก็เพราะไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ความคิด
บ่อยครั้งสองมือของเราเต็มด้วยเปลือก แต่หาแก่นสารไม่ได้เลย
ตัวอย่าง เนื้อหาของละครไทยที่หลายคนบ่นว่าน้ำเน่า แต่ก็ดูกันต่อไป ติดตามกันต่อไป
ทั้งคนสร้างและคนดูพอกันทั้งคู่ คิดไม่ออก เพราะสมองไม่เปิด

2.4 ความคิดทำให้คนสามารถจับประเด็นได้
การจับประเด็นได้ ถือเป็นพรใหญ่ของชีวิต
เหมือนจับปลาใหญ่ในน้ำลึกได้ ไม่ใช่ตลอดชีวิตจับแต่ปลาเล็กๆ ในน้ำตื้น
สังเกตดูให้ดี บ้านเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ แต่คนไทยกลับยากจนอยู่ในความสมบูรณ์นั้น
ขณะที่ต่างชาติ (ที่เขามีความคิด มีปัญญา) เข้ามาตัวเปล่า แต่สามารถสร้างฐานะให้รุ่งเรืองบนแผ่นดินของเราได้
ที่จริงแล้วพระเจ้าสร้างทุกอย่างดี สร้างชีวิตของเราอย่างดี
หน้าที่ของเรา คือ ต้องหาให้ได้ว่าดีอย่างไร และจะใช้สิ่งดีนั้นอย่างไร
ความคิดนั่นแหละ เป็นคำตอบที่จะทำให้เราจับประเด็นได้

2.5 ความคิดและปัญญา สามารถทำให้เราแยกแยะได้
หากเราอยากรู้ว่าใครมีปัญญา มีความคิดหรือไม่ ให้ดูที่ว่าเขาสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่
คนขี้สะดุด แสดงถึงการไม่รู้จักแยกแยะ ลึกๆ คือ ขาดความคิดและขาดปัญญา
ตัวอย่างมีดังนี้
ก. โมเสส เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่โมเสส ไม่ใช่พระเจ้า
เราแยกแยะได้หรือไม่? โมเสส เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าเจิม
แต่โมเสส ไม่ได้เป็นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเหมือนเรา
ดังนั้น ท่าที การให้เกียรติต้องแตกต่างกว่าการให้เกียรติพระเจ้า
เราให้ความเคารพผู้นำ ผู้รับใช้พระเจ้า แต่อย่าถึงขั้นลัทธิบ้าหรือบูชาผู้นำ (คือ ผู้นำทำอะไรถูกต้องทั้งหมด ไม่มีผิด)

ข. แม้รูปเคารพดูน่าเกรงขาม แต่ให้ปัญญาและคำแนะนำไม่ได้
รูปเคารพมากมายที่เกิดขึ้นในสังคม ดูดี ดูขลัง ดูน่าเกรงขาม ผู้คนมากมายพากันซื้อบูชากราบไหว้
แต่ถามว่า รูปเคารพเหล่านั้นให้ปัญญาเราได้หรือ? ให้คำปรึกษาเราได้หรือ? ให้คำแนะนำเราได้หรือ?

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -5-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระวจนะให้คำว่า มีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ฟังไม่ได้ยิน มีปากแต่พูดไม่ได้
แล้วทำไมเราต้องทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบูชารูปเคารพ
ทั้งหมดก็เพราะขาดปัญญา เลยไม่มีความสามารถในการแยกแยะ

2.6 ความคิดทำให้เราโตขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้นและมีวุฒิภาวะมากขึ้น
ร่างกายของเราเติบโตได้ด้วยอาหารฉันใด จิตใจและจิตวิญญาณเราเติบโตได้ด้วยความคิดฉันนั้น
เมื่อเรากินอาหารทำให้เราโตขึ้น เมื่อเรากินความคิดของพระเจ้า ก็ทำให้จิตวิญญาณของเราเติบโตขึ้นเช่นกัน
เมื่อเราโตขึ้น เราก็เข้าใจชีวิตมากขึ้น ทั้งชีวิตของตัวเองและผู้อื่น และมีวุฒิภาวะมากขึ้น
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราได้กินความคิดของพระเจ้าหรือไม่ เราได้รับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่
เราได้รับความคิดจากนักปราชญ์หรือผู้ประสบความสำเร็จของชีวิตหรือไม่
ยิ่งเราสะสมความคิดมากขึ้นเท่าไร ชีวิตของเราก็เติบโตมากขึ้นเท่านั้น
พระเจ้าจึงสอนไว้ในพระธรรมสุภาษิตที่กล่าวมาแล้วว่า เราต้องยึด รักษาและจดจ่ออยู่กับพระวจนะของพระเจ้า

ยน.8:32                  และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
พระวจนะเป็นความจริง และเมื่อเรารู้จักความจริง เราก็เป็นไท เป็นอิสระอย่างแท้จริง
เราจะรู้จักความจริงได้ ความคิดเราต้องได้สัจจะ (พระวจนะของพระเจ้า) เป็นอาหาร
ผลที่ได้รับจากการเติบโตด้านความคิด คือ เป็นอิสระ เป็นไทต่อตัวเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
เป็นอิสระจากความเกลียดชัง จากอคติ และจากความเห็นแก่ตัว
ไม่เป็นคนหลงตัวเอง เพราะในความดี มีความด้อย ในความแข็งแรง มีความอ่อนแอ
แต่คนที่รู้ตัวว่าอ่อนแอ แล้วกล้าปรับปรุง ก็แข็งแรงขึ้นได้
ถ้าเราไม่เติบโตขึ้น เราไม่มีทางก้าวพ้นปัญญาได้
ต้นไม้เมื่อยังเป็นต้นเล็ก หนามย่อมสามารถปกคลุมได้
ชีวิตที่ความคิดยังไม่เติบโต หนามย่อมคลุมเราได้เช่นกัน เช่น ความอ่อนแอ ความจำกัด ความไร้ค่า ฯลฯ
แต่เมื่อต้นไม้หรือชีวิตนั้นเติบโตขึ้น สูงขึ้น หนามก็ไม่สามารถปกคลุมได้อีกต่อไป
คนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ต้องมองไกลอย่างนกอินทรี ไม่ใช่มองใกล้อย่างนกกระจิบ
มีความฝัน และใฝ่ฝันได้ แต่ไม่เพ้อฝัน พระวิญญาณสามารถทำให้สิ่งที่เราคิดเป็นจริงได้

3. ลายเส้นของชีวิต
เราจะเข้าใจชีวิตของมนุษย์ ต้องเข้าใจลายเส้นชีวิต
3.1 เส้นชีวิตของคนมี 2 เส้น คือ เส้นเริ่มต้นและเส้นหลักชัย
เส้นชีวิตหลักของมนุษย์มีเพียง 2 เส้น เท่านั้น คือ เส้นเริ่มต้น และเส้นหลักชัย
ส่วนระหว่างทางนั้น จะล้มลุกคลุกคลาน จะมีเสียงปรบมือหรือโห่ร้องก็ไม่สำคัญ
เพราะบทสรุปของทุกชีวิต วัดกันที่ตอนจบ วัดกันที่เส้นหลักชัย
เริ่มต้นอย่างไรนั้น ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร ... ชีวิตเป็นกีฬามาราธอนที่ต้องวัดผลกันที่ตอนจบ
บางคนออกตัวดี แต่ไปไม่ถึงหลักชัย บางคนออกตัวช้า แต่ถึงเส้นชัยก็มี
ดังนั้น ระหว่างทางอย่ามัวแต่สนใจคนมอง คนพูด เพราะอาจจะทำให้เราไม่ถึงหลักชัยได้
และสุดท้ายจำไว้ว่า พระเจ้าเชียร์ให้เราถึงเส้นหลักชัยทุกคน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 พ.ค. 10 รอบเช้า                                           -6-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

3.2 ชีวิตของคนมีเรื่องมากมายที่เราไม่อยากทำ แต่เราต้องทำฝืนทำเพื่อความอยู่รอด
แต่ถ้าเราแลกศักดิ์ศรีเพื่อความอยู่รอดตลอดไป ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดไปทำไม
เพราะเกียรติศักดิ์ศรีของคนไม่ได้ทำเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่ทำให้คนอื่นอยู่รอดไปด้วย
ในข้อนี้ เป็นเรื่องระหว่างทาง ระหว่างเส้นเริ่มต้นกับเส้นหลักชัย
บางช่วงเราต้องทำเพื่อความอยู่รอด ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาได้ พระเจ้าไม่ซ้ำเติม
แต่มนุษย์มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีจากพระเจ้า ถ้าเราจะทำเพื่อความอยู่รอดตลอดไปโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของชีวิต
... เราก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์ แต่เกียรติของเรา ศักดิ์ศรีของเราอยู่ที่การทำให้ผู้อื่นอยู่รอดไปด้วยต่างหาก
ทางพระเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้ใครโตบนความตายของผู้อื่น
ทางพระเจ้าสนับสนุนให้เราทำเพื่อส่วนรวม แล้วส่วนตัวเราจะได้รับไปด้วย
หน้าที่ของเรา คือ ต้องสร้างตัวเองให้เติบโตขึ้นวันต่อวันรองรับงานของพระเจ้า
1คร.13:11               เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย

3.3 ในช่วงที่ชีวิตต้องหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอด เรายังสามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้
แม้ความสามารถ เงินทอง ความรู้ไม่เท่ากัน แต่ทุกคนสามารถช่วยเหลือส่วนรวมได้บ้างไม่มากก็น้อย
การช่วยเหลือเอื้ออาทร การทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้ขึ้นกับทรัพย์สินที่มี
แต่ขึ้นกับน้ำใจที่มี สิ่งที่ทุกคนมี คือ น้ำใจและชีวิต
นี่คือ ลายเส้นชีวิตที่ทรงคุณค่าและมีเกียรติสูงทั้งในสายพระเนตรพระเจ้าและสายตาของมนุษย์

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง ”

ในโลกนี้ ทุกคนเกิดมามีทั้ง จุดอ่อน และ จุดแข็ง คนที่มีจุดอ่อน ก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไปเสียทุกเรื่อง ในความอ่อนแอนั้นมีความเข้มแข็งอยู่ด้วย ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่มีจุดอ่อน ในขณะเดียวกัน เราทุกคนเกิดมามีจุดแข็งด้วย
จุดอ่อนที่เราพบ เราต้องกำจัดมัน และจุดแข็งที่เราพบ เราต้องพัฒนามันให้แข็งยิ่งขึ้น
เราจะพบชีวิตที่เหนือความสำเร็จได้ ต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง (กำจัดจุดอ่อน และพัฒนาจุดแข็ง) และต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนที่เราทำได้ เราต้องทำ ส่วนที่เกินกำลังของเรานั้น จึงเข้าสู่กำลังของพระเจ้า
1คร.1:26-31           ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ  เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระวจนะตอนนี้ ต้องการให้เราพิจารณาดูตัวเองและดูคนที่พระเจ้าทรงเลือก ส่วนใหญ่เป็นคนอ่อนแอ ส่วนใหญ่โลกถือว่าโง่เขลา พระเจ้าไม่ได้ให้เราปฏิเสธคนร่ำรวยหรือคนมีปัญญา แต่ที่พระเจ้าเลือกคนต่ำต้อย ก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้ ถ้าเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต คนอ่อนแอก็กลายเป็นคนเข้มแข็งได้ จุดอ่อนเรากำจัดได้ และจุดแข็งเราก็พัฒนาได้
กจ.4:13                   เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านอัครทูตของพระองค์ ... พระเจ้าได้ทรงกำจัดจุดอ่อน และพัฒนาจุดแข็งของพวกเขาได้สำเร็จแล้ว และเป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก
สามปีครึ่งที่พระเยซูคริสต์ นำชาวบ้านที่ยากจน การศึกษาต่ำมาใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ และพระเจ้าทรงสามารถทำให้สามัญชนกลายเป็นปัญญาชน กลายเป็นปราชญ์ของโลกได้
ผู้ที่ให้คะแนนความกล้าหาญของเปโตรและยอห์น คือ พวกนักปราชญ์ พวกการศึกษาสูง และพวกฐานะสูงส่งในสภา พวกเขาเห็นความกล้าหาญ เห็นเชาว์ไหวพริบ เห็นความสามารถและเห็นสง่าราศีของพระเจ้าผ่านเปโตรและยอห์น จากคนต่ำต้อยกลายเป็นคนที่สูงส่ง จากคนไร้ค่ากลายเป็นคนที่มีค่า เพราะเขายอมให้พระเยซูมากำจัดจุดอ่อน และพัฒนาจุดแข็ง
เราทุกคนก็สามารถมีชีวิตอย่างอัครทูตได้ ถ้าเรายอมรับการสร้างจากพระเจ้า

1. หลักในการกำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง
1.1 ให้ความสำคัญกับคำว่า กำจัด และ พัฒนา
การกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็ง ต้องเริ่มต้นที่ให้ความสำคัญกับ 2 คำนี้ คือ คำว่า กำจัด และ พัฒนา
กำจัด เราจะทำได้ ต้องกล้า ไม่กลัวที่จะเสียหน้าและไม่นึกที่จะเสียดาย
เช่น ทำผิด ต้องรีบขอโทษ อย่ากลัวเสียหน้า อย่าคิดว่าเสียเกียรติ
คนที่ทำผิดแล้วไม่กล้าขอโทษ เพราะคิดว่าจะเสียเกียรติ ในที่สุดเกียรตินั้นจะสูญเสียไปทันที
และในการกำจัดนั้น เราจำเป็นต้องลงทุนลงแรงกับมัน
เช่น การกำจัดฝุ่น กำจัดขยะ ตัวเราก็ต้องเปื้อนฝุ่นและเหม็นขยะไปด้วย
กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง                                                               -2-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ส่วน พัฒนา คือ การก่อสิ่งใหม่ขึ้นมา ... สิ่งที่ไม่เคยทำ ต้องทำ สิ่งที่ไม่มีต้องหาให้มี
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย ถ้าอยากจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ทุกวันเราต้องกำจัดจุดอ่อน ทุกวันเราต้องพัฒนาจุดแข็ง
จะว่าไปการกำจัดและพัฒนา ก็เหมือนกับการแต่งตัวประจำวันของเรานั่นแหละ
เช้ามาเราต้องกำจัดความสกปรก (ผ่านการอาบน้ำ แปรงฟัน ฯลฯ)
และเมื่อกำจัดความสกปรกเสร็จแล้ว เราก็ต้องแต่งตัวให้สวยงาม นั่นคือ การพัฒนา

1.2 พึงตระหนักว่า  ในคนที่ดีที่สุดของโลก ก็ยังไม่มีใครดีพร้อม
คนสมบูรณ์แบบไม่เคยเกิดขึ้นในโลกใบนี้ แม้คนที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด ก็ยังไม่มีใครดีพร้อม ย่อมมีข้อบกพร่องเป็นธรรมดา
ยิ่งก้าวหน้ามากเท่าใด เราจะยิ่งเห็นความขาดตกบกพร่องของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
แต่คนที่บกพร่องจะดีขึ้นได้ ต้องพร้อมกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็ง
ก. บางคนเก่ง ฉลาด มีปัญญา แต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
IQ สูง แต่ EQ ต่ำ ความสามารถทางปัญญาสูง แต่ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่ำ
ข. เรียนเก่ง ทำงานเก่ง แต่นำเสนอไม่เป็น
คนเก่งที่ขาดการประชาสัมพันธ์ ความเก่งนั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ขายตัวเองไม่เป็น เก่งอยู่ลับๆ
ค. หลายคนขยัน ทุ่มเท แต่รับไม่ได้ถ้าถูกตำหนิหรือติเตือน
จุดเด่น คือ ขยัน ทุ่มเท แต่จะกลายเป็นจุดอ่อนทันที ถ้าถูกตำหนิหรือติเตือน
ที่จริงแล้วทุกการตำหนิ จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง ถ้าเรากล้าเปิดใจกว้างยอมรับมัน
ง. คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
ในจุดเด่นของคน ยังมีจุดด้อย คนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดีแล้ว ยอดแล้ว ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของใคร
ในที่สุด คนๆ นั้นจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถก้าวหน้าได้ไกลเท่าที่ใจต้องการ
เพราะไม่ยอมกำจัดจุดอ่อนในตัวเอง และที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เป็นจุดอ่อนในจุดแข็งที่เราต้องเข้าใจและยอมรับ

2. สิ่งสำคัญในการพัฒนาตนเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีจุดอ่อนหรือจุดแข็งอย่างใด
แต่อยู่ที่ ... ใครสามารถค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองได้เจอ
จุดอ่อนและจุดแข็ง เป็นสิ่งที่ทุกคนมี แต่คนที่จะพัฒนาตนเองได้ ต้องเป็นคนที่สามารถหาจุดอ่อนจุดแข็งนั้นได้เจอ
เมื่อค้นหาจนเจอแล้ว ก็ต้องยอมรับ ... ไม่ใช่เจอแล้ว แต่ไม่กล้ายอมรับ
คิดว่ามารหลอก คิดว่าเป็นธรรมชาติ คิดว่าเป็นความอ่อนแอของมนุษย์ ไม่ยอมรับการแก้ไข
มธ.5:3                     บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
พระเยซูสอนให้เรายอมรับจุดอ่อนของตัวเอง (ความบกพร่อง) แล้วเราจะมีความสุข
ไม่เพียงยอมรับเท่านั้น แต่กล้าที่จะกำจัดมันด้วย
เราต้องค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองเสมอทุกวัน และลงมือกำจัดและพัฒนามันทุกวันเช่นกัน
อย่าลืมว่า หนทางพันไมล์ก็เริ่มต้นที่ก้าวเดียว และกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ก็เริ่มต้นจากอิฐก้อนเดียวเช่นกัน
ถ้าเรามุ่งมั่นกำจัดจุดอ่อนทุกวัน มันก็จะหลุดไปได้ ถ้าเรามุ่งมั่นพัฒนาจุดแข็งทุกวัน เราก็จะยิ่งก้าวหน้ามากขึ้น

2.1 บางคนค้นหาและค้นพบจุดอ่อนและจุดแข็ง แต่ไม่กล้ายอมรับ
บางคนค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งเจอแล้ว นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่เราสามารถค้นพบ

กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง                                                               -3-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

แต่เขากลับไม่ยอมรับในจุดอ่อนและจุดแข็งนั้น
คิดว่าเป็นความอ่อนแอของมนุษย์ คิดว่าเป็นกรรมพันธุ์ เป็นธรรมชาติที่แก้ไขไม่ได้
ผลของการไม่ยอมรับ คือ อ่อนแอต่อไป อยู่ที่เดิมต่อไป ไม่สามารถที่จะก้าวหน้าได้
และในที่สุดก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะจุดอ่อนไม่ได้รับการกำจัด จุดแข็งไม่ได้รับการพัฒนา

2.2 บางคนค้นหา ค้นพบและยอมรับจุดอ่อนจุดแข็ง แต่ไม่ยอมแก้ไข
บางคนยอมรับว่าตัวเองมีจุดอ่อน ไม่ปฏิเสธจุดอ่อนของตัวเอง แต่ก็ยังไม่ยอมแก้ไข
อ้างว่าเป็นนิสัยบ้าง อ้างว่าแก้ยากบ้าง อ้างว่าแก้ไม่ได้บ้าง
แต่อย่าลืมว่าสำหรับคริสเตียน เราสามารถทำอะไรก็ได้ โดยพระเจ้าเสริมกำลังเรา
อย่าให้มารมาหลอกว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนได้ ไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่สามารถกำจัดจุดอ่อนได้
ฟป.4:13                  ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
พระเจ้ามั่นใจว่าเราสามารถเปลี่ยนได้ เมื่อเราตั้งใจทำสุดกำลังของเรา พระเจ้าจะทรงช่วยในส่วนที่เราทำไม่ได้
ยึดหลักที่ท่านอับราฮัม ลินคอล์น พูดเสมอ คือ ข้าพเจ้าเป็นคนเดินช้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินถอยหลัง
แม้เราอาจจะถึงจุดหมายช้ากว่าผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรเราก็ถึงจุดหมายนั้น

3. ถ้าเข้าใจชีวิต ก็จะกล้ากำจัดจุดอ่อน และพัฒนาจุดแข็ง
เราต้องเข้าใจว่า ชีวิตคนก็ไม่ต่างจากเรือที่แล่นในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
เมื่อทะเลราบเรียบ แม้เรือเล็กก็แล่นได้ แต่อย่าลืมว่าทะเลไม่ได้ราบเรียบเสมอไป
บ่อยครั้งทะเลต้องเจอมรสุม ... ชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนั้นแหละ

3.1 เราต้องสร้างเรือชีวิตให้แข็งแกร่ง พอที่จะสามารถผ่านมรสุมได้
เรือชีวิตของเราจะแข็งแกร่งได้ ก็ต้องกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็งของเราทุกวัน
คำหนึ่งที่พระคัมภีร์มักจะใช้คือ คำว่า กลับใจเสียใหม่
มก.1:15                  และตรัสว่า "เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด"
กลับใจเสียใหม่ คือ ปรับเปลี่ยนแนวคิดทัศนคติเสียใหม่ ปรับเปลี่ยนการประทำเสียใหม่
เพราะความสำเร็จที่พระเจ้าประทานให้นั้นใกล้เข้ามาแล้ว
เราต้องเปลี่ยนแนวคิดที่ว่า เราดีแล้ว เก่งแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว ไม่ต้องปรับปรุงแล้ว
เพราะตราบใดเราอยู่ในโลกใบนี้ เราก็เป็นเหมือนนักเรียนที่จะต้องส่งการบ้านให้พระเจ้าทุกวัน
ต้องปรับกันไปเรื่อย เปลี่ยนกันไปเรื่อย เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดถวายแด่พระองค์

3.2 ถ้าเรือชีวิตของเราไม่แข็งแกร่ง ถึงจะผ่านมรสุมได้ แต่ก็ผ่านอย่างหวุดหวิด
เรือชีวิตที่ไม่แข็งแกร่ง แม้ผ่านมรสุมได้ก็ผ่านอย่างหวุดหวิด ทุลักทุเล ชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้แหละ
น้อยคนจะยอมรับการสร้างชีวิต โดยเฉพาะการสร้างผ่านพระวจนะพระเจ้า
ขาดโบสถ์ ขาดการอธิษฐาน ขาดการเรียนพระคัมภีร์ ขาดการสามัคคีธรรม
ผล คือ ชีวิตไม่ได้ก้าวไปไกลอย่างที่ควร รอดก็รอดอย่างหวุดหวิด ขาดบำเหน็จพระพร
สิ่งนี้ท้าทายเรา เพราะพระเจ้าทรงตั้งใจเลือกเรา เพื่อให้โลกเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา
กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง                                                               -4-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

3.3 แม้ชีวิตเราไม่ได้เป็นเรือใหญ่ แต่ถ้าเป็นเรือเล็กที่กล้าปรับทิศทางตามแรงลม ก็สามารถฝ่าคลื่นลมได้เช่นกัน
ชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องเป็นเรือใหญ่ที่แข็งแรงเสมอไป
ถ้าเราเป็นเรือเล็กที่รู้จักปรับทิศทาง รู้จักปรับใบเรือ เราก็สามารถแล่นผ่านมรสุมของชีวิตได้เช่นกัน
ถ้ามีลมแรงมา เราไม่ไปต้าน เรือเราก็ไม่คว่ำ สำคัญที่เราต้องรู้จักปรับทิศทางและใบเรือ
เช่น การรู้จักปรับตัวท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำ ปรับค่าใช้จ่ายลง ปรับความเป็นอยู่ลง เราก็อยู่รอด
ท่ามกลางการทะเลาะเบาะแว้ง เราก็กล้าที่จะปิดปาก ไม่เข้าสู่สงครามน้ำลาย
หรือเมื่อเกิดคลื่นลม ก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิต
การที่เราล้มลง ไม่ได้หมายถึง เราล้มเหลว การล้มลงไม่ใช่เรื่องน่าอาย การไม่ลุกขึ้นต่างหากที่น่าอาย
เมื่อล้มลง เราต้องใช้ความกล้าหาญที่จะจัดการให้ลุกขึ้นให้ได้
นักเดินเรือที่เก่งกาจ สิ่งที่สร้างเขาคือลมมรสุมนั่นแหละ
ความลำบากไม่เคยทำลายใคร ความลำบากมีแต่สร้างคน ความสบายต่างหากที่ทำลายคน

3.4 แม้ไม้กระดาน ก็สามารถโต้คลื่นของชีวิตได้
หลายชีวิต ไม่ได้เป็นเรือใหญ่ เป็นไม่ได้แม้เรือใบ แต่ขอหนุนใจว่า ไม้กระดานก็สามารถโต้คลื่นได้เช่นกัน
ใบเรือไม่มี เปียกน้ำตลอด แต่ก็สามารถโต้คลื่นของชีวิตได้
ถ้าเรากำจัดจุดอ่อน ถ้าเราพัฒนาจุดแข็งทุกวัน ชีวิตของเราก็สามารถโต้คลื่นของปัญหาได้
แต่คนที่ไม่กำจัดจุดอ่อน และไม่พัฒนาจุดแข็ง ไม้กระดานนั้นจะถูกคลื่นซัด ลอยไปตามกระแส และจมลงในที่สุด

4. ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของคน เกิดจากแรงขับเคลื่อนภายใน ไม่ใช่สิ่งจูงใจภายนอก
สิ่งจูงใจภายนอก คือ เห็นเขาเป็น ก็อยากเป็นบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้กำลังของตน
เห็นเขาเป็นเรือใหญ่ ก็อยากเป็นอย่างเขา ทั้งๆ ที่เราเป็นได้แค่ไม้กระดาน เป็นต้น
ส่วนแรงขับเคลื่อนภายใน เกิดจากความตั้งใจและความเข้าใจภายใน
เช่น แม้เราเป็นไม้กระดาน แต่ตั้งใจสร้างตัวเองให้เป็นไม้กระดานที่มีคุณค่าที่สุด
แม้เรามีจุดอ่อน แต่เราตั้งใจที่จะกำจัดมันให้ได้
แม้เราไม่เก่งมาก แต่เราตั้งใจที่จะพัฒนาเรื่อยๆ เราก็สามารถทำได้
ถ้าเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นจากภายใน จุดอ่อนเราสามารถกำจัดได้ จุดแข็งเราสามารถพัฒนาได้
และความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลจากชีวิตของเรา

5. วิธีการและขบวนการกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็ง
5.1 สำรวจและค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองให้ได้
ถ้าเราสังเกตให้ดี การอธิษฐานของคริสเตียน ส่วนใหญ่จะเป็นการก้มหน้า
นัยยะที่พระเจ้าสอนเราผ่านท่าทีในการอธิษฐาน คือ สอนให้เรารู้จักก้มลงสำรวจชีวิตตัวเอง
ตรงไหนเป็นจุดอ่อนของเราบ้าง เช่น การสื่อสาร มนุษย์สัมพันธ์ ความรู้ คุณธรรม หรือการสำเสนอ
เรารับได้หรือไม่ทั้งคำติและคำชม หรือรับได้เฉพาะคำชม คำติรับไม่ได้
ทุกอย่างเราต้องกล้าสำรวจตัวเอง เพราะถ้าไม่สำรวจ เราก็ไม่มีวันค้นพบ
และถ้าเราค้นไม่พบ เราก็ไม่สามารถที่จะกำจัดและพัฒนามันได้


กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง                                                               -5-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

5.2 ต้องรู้จักใช้ผู้อื่นเป็นกระจกเงา
ตัวเรามักจะมองไม่เห็นตัวเองตามความเป็นจริง
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่เราสามารถใช้เป็นกระจกเพื่อส่องสำรวจชีวิตของเรา คือ ผู้อื่น
กล้าให้ผู้อื่นวิจารณ์ กล้าขอคำแนะนำจากผู้อื่น กล้ารับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเราเอง
เราจะรู้จักจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองได้มากขึ้น

5.3 ตัวเราต้องกล้านำปัญหา (จุดอ่อน) และความสำเร็จ (จุดแข็ง) มาทบทวน
เมื่อเราค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งของเราเจอ ทั้งจากตัวเองและจากผู้อื่น
ทุกเรื่องเราต้องกล้านำมาทบทวน ลองใคร่ครวญดูว่าปัญหาในชีวิตของเราคืออะไร
และความสำเร็จในชีวิตของเราเกิดขึ้นได้อย่างไร ค่อยๆ กำจัดปัญหาและค่อยๆ สนับสนุนความสำเร็จของตัวเองทุกวัน

6. ความสำคัญของการกำจัดและการพัฒนา
6.1 ถ้าเราไม่กำจัดจุดอ่อนและไม่พัฒนาจุดแข็ง จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายชีวิต
เราทุกคนล้วนมีเป้าหมายของชีวิต การมีเป้าหมายนั้นว่ายากแล้ว
แต่เมื่อไปถึงเป้าหมายแล้วต้องรักษาไว้ให้ได้ กลับเป็นสิ่งที่ยากกว่า
- เป้าหมาย อยากมีครอบครัว แต่เมื่อมีครอบครัวแล้ว การรักษาครอบครัวไว้ให้อบอุ่น ยากยิ่งกว่า
ถ้าคุณธรรมไม่แข็งพอ วุฒิภาวะไม่สูงพอ ก็อยู่ด้วยกันยาก
- ในคริสตจักรอยากมีผู้รับใช้ดีๆ แต่เมื่อมีผู้รับใช้ดีๆ แล้วก็รักษากันไม่ได้
สมาชิกบ่นมาก นินทามาก ต่อว่ามาก ก็ทำให้คนดีเป็นจำนวนมากท้อใจในการทำงาน
- เป้าหมาย อยากเป็นหัวหน้าคน เก่งแต่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
ใครจะอยากทำงานด้วย บางคนจบเกียรตินิยม แต่เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป
การมีอารมณ์ไม่ผิด แต่การต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ด้วย โกรธได้ แต่อย่าเกลียด
- เป้าหมาย อยากทำงานระดับอินเตอร์ แต่ไม่เก่งภาษา ก็ไปไม่ได้
จะไปได้ ก็ต้องไปกำจัดจุดอ่อนเรื่องภาษาเสียก่อน คือ ไปเรียนรู้ให้ดีขึ้น
- เป้าหมาย อยากจะก้าวหน้า อยากจะอัพเกรดตัวเอง ก็ต้องค้นคว้า เรียนรู้และปรับปรุงแก้ไข
การไม่กำจัดจุดอ่อนและไม่พัฒนาจุดแข็ง สามารถส่งผลกระทบได้มากมายทั้งเรื่องครอบครัว
หน้าที่การงาน เพื่อน สังคมและคริสตจักร

6.2 จุดอ่อนที่ใกล้ตัว จุดแข็งที่ใกล้ตัว คือ คำพูด ... อย่ามองข้าม
คำพูดของเราเอง เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และเป็นได้ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่เราต้องไม่มองข้าม
อฟ.4:29                  อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
แน่นอนที่สุดคำหยาบคายไม่ควรจะออกจากบาปของเรา เพราะจะกลายเป็นจุดอ่อนทันที
แต่คำที่ดีและเหมาะสมนั้นก็ใช่ว่าจะกล่าวกันได้ง่ายๆ ต้องดูเวลา วาระและดูว่าเหมาะกับความต้องการของเขาหรือไม่
สิ่งที่พูดแม้จะเป็นความจริง แต่ถ้าพูดแล้วแทนที่จะเป็นคุณ กลับเป็นโทษ เราก็ไม่ควรพูด
เราต้องฝึกทุกวัน แรกๆ อาจจะรู้สึกว่ายาก แต่ถ้าเราตั้งใจทำไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะดีขึ้น
เราจะพัฒนาคำพูดได้ ต้องเริ่มต้นที่พัฒนาทัศนคติและความเข้าใจ ... เข้าใจความเหมือนและความต่างของคน
กำจัดจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็ง                                                               -6-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

นอกจากนี้ ต้องปรับเรื่องอารมณ์ ซึ่งบางเรื่องยากแต่ต้องไม่ท้อ ไม่ล้มเลิก
ฟป.3:14                  ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
ทุกเรื่องกว่าจะได้มานั้นไม่ง่าย ต้องบากบั่น ต้องมุ่งหน้าทำต่อไป

6.3 ปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ในการกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็งนั้น มีปัจจัยที่สำคัญในการนำเราสู่ความสำเร็จ คือ
ก. ต้องเอาชนะตัวเอง
ลก.9:23                  พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
การที่เราจะกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็งของเราให้ได้ ไม่ต้องเอาชนะใคร แต่ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้
ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้เลย ไม่อยากทำก็ต้องทำ เพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีวินัยชีวิต

ข. มุ่งสู่น้ำพระทัยพระเจ้า
ลก.22:42                                ว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด"       
ยึดตัวอย่างจากพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่มุ่งสู่น้ำพระทัยของพระบิดา
น้ำพระทัยของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงให้เกียรติและเห็นคุณค่าทุกคน
คนอ่อนแอมักจะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตน แต่น้อยคนที่จะเข้าใจผู้อื่น
แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ต้องมีกันและกันเสมอ
การกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็ง ไม่ใช่เพื่อเราเท่านั้น แต่เพื่อพระเจ้าและเพื่อสังคมด้วย

ค. ลืมสิ่งที่ผ่านมาแล้ว โน้มตัวไปข้างหน้า
ฟป.3:13                  ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
อย่าให้สิ่งที่ผ่านมาแล้วเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการกำจัดจุดอ่อนหรือพัฒนาจุดแข็ง
สิ่งที่ผ่านมาแล้ว เอาคืนไม่ได้ อย่าให้มันโซ่มัดเรา
คนที่เคยล้มใช่ว่าจะล้มตลอดไป พระเจ้าให้กำลังใจคนของพระองค์ก้าวไปข้างหน้าเสมอ

ง. รับการสร้างจากผู้นำ เราต้องมีผู้นำ
คส.1:28-29             พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่
สำคัญมากในการกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็ง เราต้องมีผู้ที่นำและสร้างเรา
เปาโล สร้างผู้เชื่อให้เข้มแข็งได้ ด้วยการเตือนสติ ด้วยการสั่งสอน
ส่วนหนึ่งที่พระเจ้าสร้างเราให้เข้มแข็ง คือ สร้างผ่านผู้นำและผู้รับใช้ของพระองค์
ถ้าเรายอมรับการสร้าง เราก็สามารถกำจัดจุดอ่อนและพัฒนาจุดแข็งของเราได้ทุกวัน