วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ ข้อต่อของชีวิต ” จาก “ ยน.10:10 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -1-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เรื่อง ข้อต่อของชีวิต จาก ยน.10:10

                ยน.10:10                                ...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์  
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า พระองค์มาเพื่อเราทั้งหลายจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ ... พระองค์มาเพื่อมนุษย์รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์
ความหมายของคำว่า ชีวิต ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันตามประสบการณ์ชีวิตของผู้นั้น
บางคนว่าชีวิต คือ การเดินทาง บางคนว่าชีวิต คือ การผจญภัย บางคนว่าชีวิต คือ การต่อสู้ แต่ไม่ว่าใครจะให้คำนิยามของคำว่าชีวิตอย่างไร สิ่งที่ทุกคนเห็นด้วยกันและตรงกับพระคัมภีร์ คือ ชีวิต สำคัญที่สุด
ลก.9:24-25             เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
มธ.6:25                   เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
เพราะชีวิตสำคัญที่สุด พระเจ้าจึงต้องมาประทานชีวิตที่ครบบริบูรณ์ให้กับมนุษย์
สำหรับข้าพเจ้า ขอให้ข้อคิดเกี่ยวกับ ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ไว้ 2 ประการ ดังนี้
1) ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ คือ ชีวิตที่มีครบทุกรสชาติ
ถ้าชีวิตมีเพียงรสชาติใดรสชาติหนึ่งเท่านั้น ยังถือว่าไม่ใช่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์อย่างแท้จริง
2) ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ คือ โซ่ทองคำที่สร้างจากข้อต่อที่แตกต่างกัน
                ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ มีค่ายิ่งกว่าสร้อยทองคำธรรมดา แต่เป็นเหมือนโซ่ทองคำ ... โซ่ทองคำที่มีค่านี้ สร้างจากข้อต่อต่างๆ ที่แตกต่างกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงกลายเป็น ชีวิตที่ครบบริบูรณ์

โซ่ทองคำของชีวิตคนๆ หนึ่งประกอบด้วยข้อต่อมากมาย แต่ข้าพเจ้าจะขอยกข้อต่อที่สำคัญๆ ...
หากปราศจากข้อต่อเหล่านี้ เราไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ได้
ข้อต่อที่ 1 คือ ความทุกข์ยาก
ส่วนหนึ่งของชีวิต คือ ความทุกข์ยาก ... เราจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้ ชีวิตต้องผ่านความทุกข์ยาก
คนที่ปฏิเสธความทุกข์ยาก คือ ปฏิเสธชีวิตที่มีคุณค่า
ความทุกข์ยากเป็นเหมือนไฟที่พิสูจน์ทองแท้ ความทุกข์ยากเป็นเหมือนไฟที่พิสูจน์คนแท้
ใครที่ไม่อาจผ่านความทุกข์ยากได้ ชีวิตผู้นั้นก็เป็นได้เพียงแค่ ถ่าน
แต่ใครที่สอบผ่านความทุกข์ยากได้ ชีวิตผู้นั้นก็เป็นเหมือน เพชร
คุณค่า มูลค่าของถ่านและเพชรแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ... ใครจะเป็นถ่านหรือใครจะเป็นเพชร
ขึ้นกับความสามารถในการอดทนต่อความทุกข์ยาก อดทนต่อแรงกดดันต่างๆ ของชีวิต

ประเทศต่างๆ ในโลกที่ต้องผ่านความทุกข์ยาก เราจะเป็นว่าปลายทางของเขา คือ ความรุ่งเรือง
เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้ผ่านความทุกข์ลำบากมามาก
แต่เพราะความทุกข์ลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญนั่นเอง สร้างให้ชีวิตของเขาแข็งแกร่ง สร้างให้ประเทศของเขาเป็นเพชร
ในขณะที่บ้านเรา เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงความทุกข์ ชอบแต่ความสุขสบาย
พวกที่ถูกเลี้ยงมาอย่างลูกคุณหนู ... จึงกลายเป็นหนูจริงๆ เมื่อต้องเจอปัญหา (ไม่ใช่ราชสีห์)
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -2-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ความทุกข์ยากไม่ใช่สิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบใดเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราย่อมประสบความทุกข์ยาก
แต่ถ้าเราผ่านมันไปได้ ชีวิตของเราจะมีรสชาติและทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์มากขึ้น
โยบ.5:7                  แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อแก่ความยากลำบาก อย่างประกายไฟย่อมปลิวขึ้นบน
ชีวิต กับ ความทุกข์ยาก เป็นของคู่กัน ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้
ปฐก.3:14-17          พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า "เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่า สัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง จะ ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินจนตลอดชีวิต เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของ เจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้น เจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า" พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่น ดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต
ชีวิตของมนุษย์ต้องประสบกับความทุกข์ยาก เพราะเป็นกฎแห่งความเสื่อมที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ยน.16:33                                เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
พระเยซูตรัสบอกเราล่วงหน้าแล้วว่า ในโลกนี้ เราจะประสบความทุกข์ยาก
ตราบใดที่เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยคนบาป เราย่อมทุกข์ยากเป็นธรรมดา
แต่คริสเตียนต้องจำไว้ว่า ความทุกข์ยาก ไม่ใช่เวรกรรม แต่เป็นวีรกรรมถ้าเราสามารถผ่านพ้นมันไปได้

ข้อต่อที่ 2 คือ การยอมจำนน
การยอมจำนน ดูเหมือนจะขัดกับความจริงที่ว่าทุกชีวิตย่อมต้องการอิสรภาพ
แต่อิสรภาพที่แท้จริง ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ... อิสระที่ไม่มีขอบเขต คือ ความบ้า
คนบ้าคิดจะทำอะไรก็ทำ อยากพูดก็พูด อยากร้องก็ร้อง ไม่จำเป็นต้องมีขอบเขต เพราะเขาบ้า
แต่คนที่ปกติ จะไม่ทำอะไรอย่างคนบ้า เรามีอิสระแต่ใช้อิสระนั้นในขอบเขต
การยอมจำนน คือ การเคารพ กฎ กติกา มารยาทในการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่น
ผู้ที่ไม่เคารพกฎกติกามารยาท ย่อมไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความบริบูรณ์ได้
1คร.7:22                 แต่ถึงอย่างไรก็ดีผู้ใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก เมื่อยังเป็นทาสอยู่ ผู้นั้นเป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายคนที่รับการทรงเรียกเมื่อเป็นเสรีชน คนนั้นเป็นทาสของพระคริสต์
1คร.10:23               เราทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น
ในพระเจ้าเราเป็นไท เราเป็นอิสระ แต่ต้องพึงตระหนักไว้ด้วยว่า การกระทำอย่างอิสระทุกอย่างไม่ได้เป็นประโยชน์เสมอไป
ดังนั้น จะทำอะไรอย่างไรต้องยอมจำนนต่อกฎเกณฑ์ของพระเจ้าไว้ก่อน แล้วชีวิตของเราจะปลอดภัย

ข้อต่อที่ 3 คือ ความหวัง
ความหวังเป็นข้อต่อที่สำคัญของชีวิต เพราะชีวิตที่ปราศจากความหวัง คือ ชีวิตที่ตายไปแล้ว
1คร.13:13               ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
มีความรัก โดยปราศจากความหวังไม่ได้ แต่มีความหวังโดยปราศจากความรัก ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
ความหวัง ทำให้เราอดทนต่อความยากลำบากได้
เปาโล เป็นผู้หนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ท่านอดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่ท่านต้องเผชิญ
เพราะท่านมีความหวังใจในพระเจ้า ... เราเองควรมีความหวังใจเช่นเดียวกันนั้นด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -3-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

1คร.9:10                 พระองค์ไม่ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของพวกเราโดยเฉพาะดอกหรือ ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย แสดงว่าคนที่ไถนาควรไถด้วยความหวังใจ และคนที่นวดข้าวควรนวดด้วยความหวังใจว่า จะได้ประโยชน์
1คร.16:7                 เพราะว่าข้าพเจ้าไม่อยากจะพบท่านเมื่อผ่านไปเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าหวังใจว่า ถ้าพระเจ้าทรงโปรดข้าพเจ้าจะค้างอยู่กับท่านนานๆหน่อย
ถ้าเราทำให้ใครอดทนโดยปราศจากความหวัง หรือใครทำให้เราอดทนโดยปราศจากความหวัง
สิ่งนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากมารซาตาน
แม้เราจะไม่สมหวังอย่างหนึ่ง แต่เรายังต้องมีความหวังอย่างอื่นต่อไป หวังใจว่าจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์จากพระองค์

ข้อต่อที่ 4 คือ อนาคต
ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะอยู่ที่ไหน สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีอนาคต
อนาคตเป็นอีกข้อต่อหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความหวัง
เพราะหากมีความหวัง แต่ไม่มีอนาคต เราจะหวังไปทำไม
1คร.15:19-20         ถ้าในชีวิตนี้ พวกเราซึ่งอยู่ในพระคริสต์มีแต่ความหวังเท่านั้น เราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น
ชีวิตในพระเยซูคริสต์นั้น เราไม่เพียงเต็มเปี่ยมด้วยความหวังเท่านั้น แต่เรายังมีอนาคตที่ดีจากพระเจ้าอีกด้วย
พระเยซูคริสต์พิสูจน์แล้วว่าชีวิตหลังความตายมีจริง และพระเจ้ายืนยันว่าจะให้อนาคตที่ดีแก่เราทุกคน
ยรม.29:11              พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้ อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
ผู้เชื่อจะไม่มีวันผิดหวังในพระเจ้า ถ้าเราเชื่อจริงและปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง
พระเจ้าจะให้อนาคตที่เกินกว่าที่เราหวัง เกินกว่าที่เราขอ เกินกว่าที่เราคิดเสมอ
อฟ.3:20                  ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

คำโบราณว่า ข้ามน้ำให้มองข้างหน้า ... ถ้าคนข้างหน้าข้ามไปแล้วไม่มีอันตราย เราก็ข้ามไปได้เช่นกัน
คริสตจักรของพระเจ้าตั้งมาแล้วสองพันกว่าปี ไม่มีอาณาจักรใดโค่นล้มได้ ตั้งแต่ยุคโรมเรืองอำนาจ จนถึงยุคคอมมิวนิสต์
ปัจจุบันศาสนจักรของพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด คนส่วนใหญ่ของโลกนับถือศาสนาคริสต์
ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ดีกันทุกคน
ประเทศที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เจริญพัฒนาและเป็นแนวหน้าของโลก
ย้ำว่า การเป็นคริสเตียนไม่ได้เป็นการเปลี่ยนศาสนา แต่เป็นการเปลี่ยนชีวิต
การเปลี่ยนศาสนาโดยไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต ไม่ได้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแต่อย่างใด
แต่ผู้ใดมีพระเยซูคริสต์ในชีวิต ... ผู้นั้นได้เห็นสวรรค์ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ และได้เห็นอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน

ข้อต่อที่ 5 คือ ความรัก
ความรัก เป็นข้อต่อที่สำคัญที่สุด เพราะความรักสามารถเชื่อมทุกๆ ข้อต่อเข้าด้วยกันได้
ความรักเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจในยามยาก ความรักเป็นออกซิเจนที่ชีวิตขาดไม่ได้
ในยามที่ขมขื่น ถูกดูหมิ่นหรือมีบาดแผลของชีวิต ความรักสามารถเยียวยารักษาให้หายได้
พระเยซูคริสต์ทรงย่อธรรมบัญญัติทั้งสิ้นไว้ด้วยคำว่า รัก
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -4-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

กท.5:14                  เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียวคือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง คือ รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง
ความรักที่ว่านี้ ไม่ใช่ความรักของมนุษย์ แต่เป็นความรักของพระเจ้า
รักของมนุษย์นั้น ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แต่รักของพระเจ้า ที่ใดมีรักที่นั่นมีสุข
1คร.13:4-7             ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
พระวจนะตอนนี้ อธิบายความรักของพระเจ้าได้เป็นอย่างดี
รักที่แท้จริงไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ... รักของมนุษย์ทุกข์ เพราะเห็นแก่ตัว
แต่ความรักของพระเจ้า รักอย่างพระเจ้า เป็นความรักที่ให้ออกไป
รักแท้ ต้องเป็นความรักที่ แม้ว่า ไม่ใช่ความรักที่ เพราะว่า
มนุษย์รักกัน เพราะว่า ... เขาดี เขาเก่ง เขารวย ฯลฯ แต่พระเจ้ารัก แม้ว่า ... เราบาป เราผิด เราบกพร่อง ฯลฯ

คส.3:14                  แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์
พระเจ้าให้เราสวมความรักทับทุกสิ่ง แล้วชีวิตเราจะก้าวไปสู่ความบริบูรณ์
ความรักของพระเจ้า เป็นความรักขั้นสูง ความรักของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งสมบูรณ์
ความรักนี้ยากที่จะเกิดในมนุษย์ แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวเราสามารถกระทำให้สำเร็จได้

1ยน.4:7-8               ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
ยน.13:34-35           เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"
นอกจากความรักทำให้ชีวิตครบบริบูรณ์แล้ว ความรักเป็นปรอทวัดความรอดอีกด้วย
ถ้าเรายังเกลียดกันอยู่ แสดงว่าไม่ได้มีพระเยซูคริสต์ในชีวิต ... อย่างนี้เราไม่รอดแน่
แต่ผู้ที่รอดแล้ว ต้องสำแดงความรักของพระเจ้าต่อผู้อื่น เหมือนอย่างที่พระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ต่อเรา

ข้อต่อที่ 6 คือ เวลา
ปญจ.3:1                 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
พระวจนะข้อนี้สอนให้มนุษย์รู้ว่า มีเวลาและวาระสำหรับทุกสิ่ง ทุกอย่างมีเวลาและวาระของมัน
ดังนั้น ข้อต่อชีวิตที่ขาดไม่ได้อีก 1 ข้อต่อ คือ เวลา
เวลา คือ ยารักษาความทุกข์ ...
เมื่อทุกข์มาก เราคิดว่าต้องตายแน่ๆ แต่เวลาผ่านไป เราไม่ได้ตายจริงๆ หรอก ยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้
เวลาที่มีความรัก เวลาที่มีความเมตตา คือ ยารักษาจิตใจ
ในยามทุกข์หากมีใครสักคนที่เข้าใจเรา เราจะสามารถผ่านพ้นความทุกข์นั้นได้อย่างง่ายดาย
มธ.5:7                     บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
สภษ.11:25              บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่งบุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ
ยก.1:27                   ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -5-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

พระวจนะของพระเจ้าสอนให้เราช่วยเหลือผู้อื่นในเวลาที่เขามีปัญหาและความทุกข์ยาก
เมื่อเราทำอย่างนั้น เวลาที่เราพบกับความทุกข์ยาก พระเจ้าจะเป็นผู้เยียวยารักษาเราเช่นกัน

ข้อที่ 7 คือ ความผิดพลาดของชีวิต
ในชีวิตของมนุษย์ ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด
ความผิดพลาดของชีวิต จึงเป็นอีกหนึ่งข้อต่อที่พบได้ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน
ยน.8:7                    และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน"     
พระวจนะตอนนี้ เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ทำให้เราเห็นสัจธรรมของชีวิต
เป็นธรรมดาที่ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นในชีวิต แต่เมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน อย่าให้ความผิดพลาดนั้นฝังชีวิตของเรา
แต่ให้ความผิดพลาดนั้น สอนและเป็นบทเรียนแก่เรา อีกทั้งให้ความผิดพลาดนั้นเป็นใบเบิกทางไปสู่อนาคตที่ดีต่อไป
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราขาดความบริบูรณ์ ตรงกันข้ามถ้าเรารู้จักใช้ความผิดพลาดนั้นอย่างถูกต้อง
ความผิดพลาดนั้นเองจะสนับสนุนให้ชีวิตของเราครบรสชาติและครบบริบูรณ์มากขึ้น

ข้อต่อที่ 8 คือ การอภัย
การให้อภัย ดูเหมือนจะยากในทางปฏิบัติ เหมือนอุดมการณ์เลื่อนลอยที่เป็นไปไม่ได้
แต่ความจริงสามารถเป็นไปได้ ถ้าเรามีพระเจ้าอยู่ในชีวิต
ลก.23:34                                ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า "โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร" เขาก็เอาฉลองพระองค์ จับฉลากแบ่งปันกัน
พระเยซูคริสต์กระทำให้เป็นตัวอย่างแก่เราก่อน พระองค์ถูกจับ ถูกถ่มน้ำลาย ถูกตบ ถูกตี ถูกแทง ถูกฆ่าให้ตาย
แต่ในช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุด เจ็บปวดที่สุด ทรมานที่สุด ... พระองค์ยังทรงให้อภัยแก่มนุษย์
กจ.7:59-60             เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย" สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้" เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป                          
ไม่เพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ แต่คนที่มีพระเจ้าก็สามารถทำได้อย่างที่พระองค์ทรงกระทำ
สเทเฟน ต้องตายอย่างทรมานจากการถูกหินขว้าง แต่ท่านสามารถให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำได้
ดังนั้น การให้อภัย จึงเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่หากมนุษย์คนใดกระทำได้ การให้อภัย บ่งบอกถึงจิตใจที่เป็นนักบุญโดยแท้

ข้อต่อที่ 9 คือ วิญญาณนักสู้
1ทธ.6:12                                จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
พระเจ้าเตือนให้เราต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ ต่อสู้จนถึงที่สุด
แสดงว่า วิญญาณนักสู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตที่ต้องการความครบบริบูรณ์จากพระเจ้า
ไม่มีใครอยากเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีใครอยากเป็นคนน่าสงสาร ทุกคนอยากมีชีวิตเป็นที่น่าอิจฉา
คนแข็งแกร่ง คนที่มีวิญญาณนักสู้เท่านั้น คือ ผู้ที่มีชัยชนะและมีชีวิตเป็นที่น่าอิจฉาสำหรับผู้อื่น

ข้อคิดในการปลุกวิญญาณนักสู้ให้กับชีวิต
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -6-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

9.1 ในกระแสธารที่ไหลเชี่ยว ปลาที่ลอยตามกระแส คือ ปลาที่ตายไปแล้ว
ในกระแสธารของชีวิต คนที่ไม่มีวิญญาณนักสู้ คือ คนที่ตายไปแล้ว
คนที่ไม่มีวิญญาณนักสู้ แม้ได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ ก็จะอยู่อย่างซังกะตาย ทำงานอย่างซังกะตาย ใช้ชีวิตอย่างซังกะตาย
9.2 คนที่ปล่อยตัวไปตามกระแส จะถูกพัดพาไปที่ๆ ไม่น่าปรารถนา
ไหนๆ ก็ทุกข์แล้ว ขอทุกข์ให้ถึงที่สุด ทุกข์ให้ตายไปเลย ... มีปัญหา ดื่มเหล้า ฆ่าตัวตาย เป็นต้น
9.3 คนที่ปล่อยตัวไปตามกระแส ชีวิตเป็นเหมือนขอนไม้ในทะเล
แต่คนที่มีวิญญาณนักสู้ จะเป็นแผ่นไม้ที่ต่อเป็นเรือเดินมหาสมุทรได้
ขอนไม้ ไม่มีความหวัง ไม่มีความปลอดภัย ไม่มีความมั่นคง แต่เรือเดินมหาสมุทร ยังคงอยู่ได้แม้จะเจอคลื่นลมแรง
คนที่มีวิญญาณนักสู้ จะสามารถรวบรวมขอนไม้ต่างๆ มาต่อเป็นเรือเพื่อป้องกันภัยให้กับตนเองได้
ในขณะที่คนไม่มีวิญญาณนักสู้ ทำสิ่งนั้นไม่ได้
9.4 ปลาที่ว่ายทวนกระแสเท่านั้น จึงจะพบน้ำใสสะอาด
คนที่มีวิญญาณนักสู้เท่านั้น จึงจะพบกับชัยชนะของชีวิต
แม้บนเส้นทางที่อันตราย วิญญาณนักสู้ที่อยู่ในตัวเรา จะบอกว่ามีทางออกเสมอ สู้ได้ ชนะได้

9.5 ทาคาโอะ อรายามะ ชายชราผู้มีวิญญาณนักสู้
ทาคาโอะ อรายามะ ชายชราผู้ที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ ขณะที่มีอายุ 70 ปี 7 เดือน กับ 135 วัน
เป็นคนแก่ที่สุดในโลกที่ไปเยือนยอดเขาเอเวอเรสต์
ชีวิตของชายชราผู้นี้ ท้าทายและชวนให้ปลุกวิญญาณนักสู้ในตัวเราเป็นอย่างดี
ก. วิธีการและแรงจูงใจในการแข่งขัน สำคัญกว่าความสำเร็จหรือล้มเหลว, แพ้หรือชนะ
คนส่วนใหญ่มักมองที่ความสำเร็จหรือความล้มเหลว, พ่ายแพ้หรือการรับชัยชนะ
บางคนทำบางสิ่งบางอย่างเพียงเพื่อมีชื่อลงในหนังสือกินเนสต์บุ๊ค
ท่าทีและแรงจูงใจเช่นนี้ไม่สามารถสร้างความอึดให้กับชีวิตได้
เมื่อทาคาโอะ ปรารถนาจะปีนเขาเอเวอเรสต์ เขาคิดเพียงว่าอยากจะจุดประกายให้คนวัยกลางคนหรือวัยชราเท่านั้น
แรงจูงใจนี้เองที่ทำให้เขาทำได้สำเร็จ
ข. การขึ้นสู่ยอดเขาได้ ทำให้ทาคาโอะ ตระหนักว่า
คนที่พร้อมสมบูรณ์มักจะประมาท ในขณะที่คนอ่อนแอ คนบกพร่อง คนไม่สมบูรณ์จะมีวิญญาณในการเตรียมพร้อมอย่างดี
ทาคาโอะ รู้ว่าจุดอ่อนของเขาคือหัวเข่า เขาจึงฝึกมันให้แกร่งขึ้นทุกวันก่อนพิชิตยอดเขาจริง
1ปต.3:15                                แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ...
คนที่เตรียมพร้อมอย่างดีเท่านั้น จึงจะรับชัยชนะของชีวิต
ค. คุณค่าของการทำงานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้วัดกันที่จุดสูงสุด หรือความสำเร็จใหญ่โต
แต่คุณค่าอยู่ที่การเตรียมตัวมาอย่างดี และการวางแผนอย่างมีปัญญา
กุญแจของความสำเร็จ อยู่ที่ความสัมพันธ์ที่เราสร้าง, การตัดสินใจที่เราเลือกและการลงมือกระทำ
ชีวิตมีทางแยกให้เลือกเดินมากมาย ขึ้นกับว่าเราเลือกเดินทางใด
เราจะเลือกทางใด ขึ้นกับว่าเรามีข้อมูลอย่างไร มีปัญญาขนาดไหน ... ลูกพระเจ้าต้องทำทุกอย่างๆ คนมีปัญญา
ง. เมื่อเราเตรียมตัวอย่างดี อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่ใช่เป็นอุปสรรค
ดังนั้น อย่าให้ตัวเลขของอายุ มาเป็นอุปสรรคในการที่เราจะรับชีวิตอย่างครบบริบูรณ์
(เรื่องของทาคาโอะ อรายามะ อ้างอิงจากหนังสือ สองแขนที่กอดโลก โดยวินทร์ เลียววาริณ)

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -7-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ข้อต่อที่ 10 คือ สติสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะ เป็นข้อต่อที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตที่ครบบริบูรณ์
ถ้าเราขาดสติ เราจะวิตกกังวลกับทุกสิ่ง มองปัญหาใหญ่เกินความจริงเสมอ มองมดแต่เห็นเป็นช้าง เป็นต้น
พระเจ้าจึงสอนให้คนของพระองค์มีสติ อย่าด่วนตัดสิน
มธ.5:48                   เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
1ปต.4:7                  อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน
ทต.2:12                  สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
10.1 การขาดสติ จะทำให้เราตระหนก แตกตื่น มองทุกอย่างในแง่ลบและร้ายไว้ก่อน
10.2 การขาดสติ จะทำให้เราตระหนก แตกตื่น เห็นปัญหาใหญ่เกินจริงเสมอ
10.3 การขาดสติ จะทำให้เรามักใหญ่ใฝ่สูงเกินจริง (ถูกสร้างเป็นมด แต่คิดว่าตัวเองเป็นช้าง เป็นต้น)
10.4 การขาดสติ จะทำให้เราเชื่อคนง่าย แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็ตาม
ทั้งสี่ประการนี้บ่งบอกถึงอันตรายของการขาดสติ ...
ถ้าชีวิตของผู้ใดขาดข้อต่อส่วนนี้ไป รับรองว่าไม่มีวันที่จะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้
แต่หากเรามีสติ เมื่อปัญหาเกิดขึ้น เราจะมองเห็นปัญญา คือ นำปัญหานั้นมาทดสอบชีวิต
คนมีสติ สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างของชีวิตได้

ข้อต่อที่ 11 คือ ปรัชญาชีวิต
ปรัชญาชีวิต คือ แนวคิด ความคิด ทัศนคติของคน
ความคิด กำหนดชีวิต ... ถ้าเรามีแนวความคิดถูก เราก็บริหารชีวิตได้ถูกต้อง
สภษ.4:23                จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
เราต้องระวังความคิด เพราะชีวิตเริ่มต้นจากความคิด มนุษย์คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เราเป็นอย่างที่เราคิด
มธ.16:23                 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้นเจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า"
พระคัมภีร์สอนเรื่องการคิดอย่างคน กับการคิดอย่างพระเจ้า
คิดอย่างคนก็ถูกตามมาตรฐานของคน แต่อย่าลืมว่ามาตรฐานของพระเจ้าเป็นคนละเรื่องกัน

11.1 ปรัชญาชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่ต้องไม่เป็นตัวประหลาดสำหรับผู้คน
ปรัชญาชีวิตของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพียงแต่ขอให้ปรัชญานั้นไม่แปลกประหลาดจนเกินไป
ที่สำคัญต้องไม่ใช่ปรัชญาที่จะนำชีวิตสู่ความตกต่ำหรือความตาย
ตัวอย่างปรัชญาชีวิตของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คือ
อย่าพยายามเพื่อเป็นคนที่มีแต่ความสำเร็จ แต่จงพยายามเพื่อเป็นคนที่มีคุณค่า
แล้วชีวิตของท่านก็ดำเนินตามปรัชญาที่ท่านคิดไว้ได้สำเร็จ

11.2 ชีวิต คือ การสร้างความสมดุลระหว่าง ความพอเพียง กับ ความพอดี
สัตว์แต่ละชนิดมีความพอเพียงและความพอดีที่ต่างกัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13-20 ก.พ. 11 รอบบ่าย                                                      -8-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เช่น มดกับช้าง ... ถ้าให้มดกินอย่างช้าง มดก็ตาย และให้ช้างกินอย่างมด ช้างก็ตาย
มนุษย์แต่ละคนก็เช่นกัน มีความพอเพียงและความพอดีที่แตกต่างกัน เราต้องหาจุดสมดุลนั้นให้ได้
กท.2:6                    และจากพวกเขาเหล่านั้นที่เขาถือว่าเป็นคนสำคัญ (เขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตาม ก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับข้าพเจ้าเลย พระเจ้ามิได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด) คนเหล่านั้นซึ่งเขาถือว่าเป็นคนสำคัญ ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ข้าพเจ้าเลย
คริสตจักรมีหน้าที่เติมในสิ่งที่คนขาดและต่อยอดให้สิ่งที่เขามีให้ดีขึ้น
คนของพระเจ้าต้องมองชีวิตด้วยสายตาที่สมดุล จึงจะสร้างความสมดุลให้กับชีวิตได้

11.3 ต้องเป็นคนละเอียด แต่ไม่จุกจิกจู้จี้
ยิ่งละเอียดกับชีวิตมากเท่าใด ความผิดพลาดยิ่งเกิดขึ้นยากเท่านั้น
อย่าคิดว่าเรื่องเล็กน้อยจะปล่อยให้ผ่านไปได้ เพราะรูรั่วนิดเดียวสามารถทำให้เรือใหญ่จมได้
การปล่อยปละละเลยกับรายละเอียดของชีวิต อาจจะทำให้ทั้งชีวิตเราพังลงมาได้
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแยกให้ออกด้วยว่าเรื่องใดเป็นเรื่องละเอียด เรื่องใดเป็นเรื่องจุกจิกจู้จี้
คนที่ไม่ละเอียดไม่มีทางมีชีวิตครบบริบูรณ์ แต่คนที่จุกจิกจู้จี้ ก็ไม่สามารถมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้เช่นกัน

11.4 ต้องทำงานที่ยากและซับซ้อนขึ้น
ความท้าทายทุกอย่าง คือ ปุ๋ยของการพัฒนา
ความลำบากไม่เคยฆ่าใคร ความสบายต่างหากที่ฆ่าคน
การทำงานที่ยากและซับซ้อนขึ้นจะส่งผลให้เราเก่งขึ้น แกร่งขึ้นและมีชีวิตที่บริบูรณ์ขึ้น

11.5 ต้องให้ความสำคัญกับคน
จิตใจของคนงาน สำคัญกว่าแรงงาน ... คิดไว้เสมอว่าคนสำคัญที่สุด
เราต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนทำฝันของตัวเองให้เป็นจริง ใช้คนให้เหมาะกับงานแล้วเราจะรับผลของงานนั้น
พระเจ้าเห็นความสำคัญของคน เพราะคนคือพระฉายของพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าเห็นคุณค่าเรา เราต้องเห็นคุณค่าของคนอื่น แล้วตัวเราจะกลายเป็นคนที่มีคุณค่าด้วย

แม้ข้อต่อทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีเพียง 11 ข้อต่อเท่านั้น (ด้วยเวลาที่จำกัดในการเทศนาแต่ละครั้ง)
แต่ก็มั่นใจว่าข้อต่อเหล่านี้จะสามารถสร้างชีวิตของเราให้ครบรส และมีชีวิตที่ก้าวไปสู่ความบริบูรณ์ของพระเจ้าได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น