วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ ทำความเชื่อให้เป็นความจริง ” จาก “ ฮบ.11:1-3 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 3 ม.ค. 2010 รอบบ่าย                                         -1-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง ทำความเชื่อให้เป็นความจริง จาก ฮบ.11:1-3

                ฮบ.11:1-3               ความเชื่อ คือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริงโดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้าโดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
พระวจนะตอนนี้ เป็นนิยามของความเชื่อ คล้ายๆ กับจินตนาการ แต่จะแตกต่าง ถ้าเราสามารถทำความเชื่อ ทำจินตนาการนั้นให้เป็นความจริงได้
ความเชื่อและความศรัทธา ก่อให้เกิดความหวัง และความหวังนั้น ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี
แต่การทำความเชื่อให้เป็นความจริงนั้น เป็นความภาคภูมิใจของตนเอง เป็นการทำประโยชน์ให้กับตนเองและสังคมได้ และผู้เชื่อหรือคนของพระเจ้าทั่วโลก สามารถทำความเชื่อให้เป็นความจริงได้

1. คริสเตียน เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระคัมภีร์ และเชื่อในพระสัญญา
สำหรับคริสเตียนนั้น เรามีความเชื่อใน 3 สิ่ง คือ เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระคัมภีร์ และเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า
ความเชื่อใน 3 สิ่งนี้ ทำให้เป็นพลังก่อให้เกิดการลงมือกระทำตามสิ่งที่เราเชื่อ
พระเจ้า ทรงมีตัวตนจริง ทรงพระชนม์อยู่จริง แต่เราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้
เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ
ยน.4:24                  พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
แต่พระเจ้าที่เรามองไม่เห็นนี้ ปรากฏเป็นพระคัมภีร์ ที่เราสามารถจับต้องมองเห็นได้
ยน.1:1                    ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
อักษรในพระคัมภีร์ เรามองเห็น และสามารถเป็นความจริงในชีวิตของเราได้ ถ้าเราทำตามที่พระเจ้าสอน
ไม่เพียงเท่านั้น ในพระคัมภีร์ยังมีพระสัญญาของพระเจ้ามากมายที่สัญญาต่อลูกของพระองค์
เราสามารถเห็นและอ่าน อีกทั้งยังเชื่อในพระสัญญานั้นได้ด้วย

1.1 เราเชื่อในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
เราต้องเริ่มต้นจากเชื่อในพระเจ้าที่เรามองไม่เห็นก่อน
สูตรในการเชื่อพระเจ้า คือ เชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจ
เชื่อก่อน แล้วความเข้าใจเราค่อยมาเรียนรู้ทีหลังได้ แต่ถ้าเราไม่เปิดใจเชื่อตั้งแต่แรกทุกอย่างก็จบ
โดยธรรมชาติชีวิต หลายๆ อย่างเราก็จำเป็นต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวกันนี้
เช่น เราป่วยไข้ ไปพบแพทย์ เพราะเราเชื่อวางใจว่าเขาจะรักษาเราได้
วางใจแม้ไม่เข้าใจในตัวยาที่แพทย์สั่งให้เราทาน แต่เราเชื่อว่าทานแล้วจะหายโรค
ความเชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจในพระเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน
ความเชื่อ จะเกิดขึ้นได้ ใจต้องเปิด ถ้าใจปิด ทุกอย่างก็ปิด
คนเข้าหาพระเจ้า หรือเข้าหาศาสนาต่างๆ มี 2 ค. คือ เคร่ง และคลั่ง
คนที่คลั่งศาสนา จะไม่เปิดใจ สอนไม่ได้ เพราะเขาปิดหู ปิดตา ปิดใจ ไม่รับสิ่งใหม่
ผลของคนประเภทนี้ คือ ชีวิตเดินถอยหลังตลอด
แต่คนที่เคร่งในศาสนา จะเปิดรับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองอยู่เสมอ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 3 ม.ค. 2010 รอบบ่าย                                         -2-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สำหรับผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ความเชื่อ ถือเป็นมรดกชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงประทานให้
เพราะถ้ามีความเชื่อ เราสามารถมีทุกสิ่งได้ แต่ถ้าปราศจากความเชื่อ เราก็ปราศจากทุกสิ่ง
ฮบ.11:6                  แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
จะเข้าหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริง
พระเจ้าท้าทายให้เรา ลองดู พระองค์ ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง เราเลิกเชื่อได้
พระเจ้าไม่เหมือนพระอื่น เลิกเชื่อ หรือไม่เชื่อ พระองค์ไม่ลงโทษเรา
แต่คนที่ได้ลองสัมผัสกับพระเจ้าแล้ว จะพูดเหมือนกันทุกรายว่า รู้อย่างนี้เชื่อตั้งนานแล้ว

1ทธ.6:15-16           ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
พระเจ้าที่เราเชื่อนั้น ทรงเป็นพระเจ้าที่เสวยสุข เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
เป็นองค์สัพพัญญูที่สมบูรณ์สูงสุด ในพระองค์เต็มไปด้วยพระปัญญาและทรัพย์สินเงินทอง

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงมีวิธีช่วยเหลือเราในทุกทาง
สภษ.8:12                เรา คือ ปัญญา อยู่ในความหยั่งรู้ และเราพบความรู้และความเฉลียวฉลาด
สภษ.8:14                เรามีคำหารือและสติปัญญา เรามีความรอบรู้ เรามีกำลัง
คำว่า เรา หมายถึง พระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นองค์ปัญญา ผู้เชื่อ มีองค์ปัญญาอยู่ในชีวิต
พระเจ้าเป็นที่ปรึกษาอันมหัศจรรย์ พระเจ้าสามารถให้คำปรึกษาเราได้ทุกเรื่อง
ถ้าเราพบพระเจ้า เราจะพบกับทุกสิ่งทุกอย่าง
จุดเริ่มต้นของเรา ไม่ใช่เข้าศาสนาคริสต์ แต่ต้องเข้าถึงองค์พระเยซูคริสต์
คำสอนของทุกศาสนาสอนดี มีประโยชน์ แต่จะเป็นจริงได้ ต้องมีพระเจ้าในชีวิต
ถ้าเราเริ่มต้นถูก ทุกอย่างก็ถูกไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเริ่มต้นผิด ทุกอย่างในชีวิตของเราก็ผิดไปหมด
เหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกนั่นแหละ ... ติดเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆ ไปก็ผิดหมด
การเริ่มต้นที่ถูกต้อง คือ เริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง

เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ผู้เป็นเจ้าของและทรงสร้างสรรพสิ่ง จะดูแลเรา
ทุกครั้งเมื่อเรากลัว ให้มองดูฟ้า มองดูดาว ทุกสิ่งใครสร้าง ก็พระเจ้าสร้าง
ถ้าพระเจ้าดูแลทุกสิ่งได้ พระเจ้าก็ดูแลเราได้เช่นกัน
ถ้าเรากล้าเชื่อ เราจะเห็นการอัศจรรย์จากพระเจ้า
มก.9:23                  พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า ถ้าช่วยได้น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง

1.2 เราเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า
ความเชื่อ คือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้
เมื่อความเชื่อในพระเจ้าเราเกิด เราจึงมีพระคัมภีร์ มีพระสัญญาไว้รองรับชีวิต
เมื่อเกิดปัญหา เมื่อเกิดวิกฤต เราสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นต่อรองกับพระเจ้าได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 3 ม.ค. 2010 รอบบ่าย                                         -3-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

อ้างพระสัญญากับพระเจ้าได้ เชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าจะเป็นจริงในชีวิตเรา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของพระสัญญาพระเจ้า
ก. 1ปต.5:10           และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์เรียกเราเข้าสู่ ศักดิ์ศรีนิรันดร์ ไม่ใช่เรียกเรามาอดอยากยากจน
ไม่ใช่เรียกเราให้มารับความอับอายขายหน้านิรันดร์
ดังนั้น ลูกพระเจ้าต้องได้ดี ลูกพระเจ้าต้องเจริญ เพราะพระเจ้าทรงสัญญา
แต่สำคัญที่เราตัว ต้องกระทำตามเงื่อนไขในพระสัญญานั้นด้วย

ข. อฟ.2:12             จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
เมื่อก่อนที่เราจะเชื่อ เราอยู่ในโลกที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีที่หวัง ไม่มีส่วนในพระสัญญา
แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว พระสัญญาทุกข้อที่พระองค์ทรงสัญญานั้น เรามีส่วน เพราะเราเป็นลูกของพระองค์

ค. ปฐก.12:1-3        พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พรเราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
พระสัญญาในข้อนี้ พระเจ้าทรงสัญญากับลูกหลานของอับราฮัมทุกคน
ทั้งฝ่ายเนื้อหนัง คือ พวกยิว และฝ่ายพระวิญญาณ คือ คริสเตียนด้วย
(อยากทราบรายละเอียด กรุณาอ่านหนังสือ พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระสัญญาศักดิ์สิทธิ์ กรณีศึกษาจากยิว)
ด้วยเหตุนี้ ทั้งยิวและคริสเตียน จึงเป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับโลก
เพราะพระเจ้าสัญญา และพระองค์ทรงรักษาสัญญานั้น

ง. สภษ.4:18            แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน
พระเจ้าทรงสัญญาว่าวิถีชีวิตของผู้เชื่อจะเหมือนแสงอรุณ
คือ ค่อยๆ ฉายสุกใสขึ้นจนเต็มวัน ... เส้นกราฟชีวิตคริสเตียน อาจจะมีขึ้นๆ ลงๆ แต่โดยรวมแล้วสูงขึ้น ไม่ใช่ตกต่ำลง
นี่คือส่วนหนึ่งของพระสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคน

2. เมื่อเราเชื่อแล้ว เราต้องทำความเชื่อให้เป็นความจริง
เมื่อเรามีความเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องทำความเชื่อนั้นให้กลายเป็นความจริง
และเราทำได้แน่นอน เพราะพระเจ้าที่เราเชื่อนั้นทรงเป็นความจริง
ยน.14:6                  พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต...

หลักในการทำความเชื่อให้เป็นความจริงนั้น คือ เราต้องทำในส่วนที่เราทำได้
และในส่วนที่เกินกำลังของเรานั้น พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำให้
เมื่อเราเริ่มทำ พระเจ้าจะมองเห็น และช่วยเหลือเราในส่วนที่เราทำไม่ได้
ถ้าเราสัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อยที่เรามีอยู่ พระเจ้าจะประทานสิ่งใหญ่ให้กับเราดูแล

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 3 ม.ค. 2010 รอบบ่าย                                         -4-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สดด.1:3                  เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญ ขึ้น
ธารน้ำ คือ ปัญญา คือ พระเจ้า ... พระเจ้าจะทรงเป็นความเก่งและความเฮงของเรา
ฟป.4:13                  ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

ไม่ว่าเราทำอะไร ทุกสิ่งนั้นจะเจริญขึ้น ถ้าเรามีพระเจ้า

2.1 ทำโดยใช้ความคิด ใช้ปัญญา ใช้ข้อมูล
หลายคนขาดพร เพราะมีแต่ความเชื่อ โดยไม่มีการลงมือกระทำ
ถ้าเราเชื่อ เราต้องเชื่อฟัง และกระทำตามที่เราเชื่อด้วย ความเชื่อที่ไม่ประพฤติตาม ไม่มีประโยชน์อะไร
ยก.2:17,26              ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล, เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น

แต่ในการลงมือกระทำสิ่งใดก็ตาม เราจำเป็นต้องมีข้อมูล ต้องใช้ความคิดและปัญญา
สดด.1:2                  แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้าเขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน
พระวจนะของพระเจ้า เป็นข้อมูล เป็นปัญญา และเป็นความคิดของเรา
อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรควรทิ้ง อะไรควรทุ่ม เราต้องรู้

สภษ.3:5-7              จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย
แต่แม้เราจะมีความรอบมากแค่ไหน คนของพระเจ้าไม่พึ่งพาความรู้ ไม่วางใจในสิ่งนั้น
เราวางใจในพระเจ้า ทุกสิ่งสำเร็จได้โดยพระองค์

2.2 การทำความเชื่อให้เป็นความจริง เราต้องค้นพบของประทานของตัวเอง
เราจะทำความเชื่อให้เป็นความจริงได้ เราต้องค้นพบของประทานของตัวเอง
ของประทาน คือ พรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้เราแต่ละคนที่แตกต่างกันไป
บางคนชอบคิด บางคนชอบร้องเพลง บางคนชอบทำอาหาร ฯลฯ
ไม่ว่าเราจะชอบหรือถนัดอะไร ... เราต้องค้นพบตัวเองให้ได้
เมื่อพบของประทานของตัวเองแล้ว ต้องเชื่อฟัง โดยลงมือกระทำตามนั้น
เราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบใคร ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบใคร
ต่างคน ต่างมี ต่างคน ต่างเป็น ต่างคนต่างประสบความสำเร็จในแบบของตน

เราเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้น อย่าคิดเป็นมากกว่านั้น
รม.12:3                   ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นมด จงเป็นมดตัวที่ดีที่สุด แต่อย่าคิดจะเป็นแมว
เพราะจะทำให้เราทุกข์ และไม่สามารถเป็นอย่างที่เราคิดได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 3 ม.ค. 2010 รอบบ่าย                                         -5-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร แข่งขันกับตัวเองก็พอ
อย่าทำในสิ่งที่ไม่ชำนาญ ในสิ่งที่ไม่ถนัด เสียเวลาเปล่า

เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบศักยภาพและความสามารถของเรา
ผลงานจะเกิดขึ้น และความสำเร็จจะตามมา
สำคัญที่เราต้องหา จุดเด่น ของตัวเองให้เจอ

2.3 เราต้องกล้าทำจากสิ่งเล็กไปหาใหญ่
ในการลงมือกระทำให้ความเชื่อสำเร็จนั้น ต้องเริ่มต้นจากเล็กไปหาใหญ่
ไม่มีใครประสบความสำเร็จด้วยงานชิ้นเดียว หรือด้วยการเริ่มต้นจากงานใหญ่
เราต้องกล้าทำจากเล็กไปใหญ่ กล้าเป็นตัวประกอบ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นพระเอกหรือนางเอก
เราต้องกล้าเป็นผู้น้อยก่อน จึงจะสามารถเป็นผู้ใหญ่ได้
เราต้องกล้าเป็นผู้แพ้เสียก่อน เพื่อที่เราจะสามารถเป็นผู้ชนะได้อย่างภาคภูมิ

ถ้าเราไม่ลงมือทำ เราไม่มีวันรู้ ทำจากเล็กๆ นี่แหละ จะได้รู้ว่าถนัดของตัวเอง
สิ่งใดที่เราทำแล้วไม่ถนัด ไม่เกิดผล อย่าท้อใจ แสดงว่า นั่นไม่ใช่ของประทานของเรา
ก็ลองเปลี่ยนไปทำสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น แล้วในที่สุดเราจะรู้ว่าเราควรเป็นอะไร
และเราเกิดมาเพื่อเป็นอะไร?

2.4 มนุษย์พันธุ์พิเศษที่จะเปลี่ยนโลกได้ คือ ผู้กล้าทำตามที่รู้และทำตามที่พระเจ้าสอนสั่ง
ยชว.1:7                  เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชา เจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความ สำเร็จอย่างดี                   
จำไว้ว่า เราเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษ ที่จะสามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้
เราเป็นพันธุ์พิเศษ เพราะเรามีพันธุ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิต
ดังนั้น เราต้องกล้าที่จะทำตามที่เรารู้ และกล้าที่จะทำตามที่พระเจ้าสั่ง
คนมีความรู้ แต่ไม่มีความกล้า ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้น
ต่อให้ฝันจนตาย ก็ไม่สามารถไปถึงดวงดาวได้

แต่ความกล้าอย่างถูกต้อง กล้าอย่างชอบธรรม จะส่งผลให้เราสามารถทำความเชื่อให้กลายเป็นความจริงได้
กล้าทำอย่างถูกต้องชอบธรรม คือ ไม่เติบโต บนความตายของคนอื่น
เราเติบโต คนอื่นต้องเติบโตด้วย เราสุข คนรอบข้างเราต้องสุขด้วย
จึงจะถือว่าเราประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

แนวทางของพระเจ้านั้น ถ้าเรานำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
เริ่มต้นที่ความเชื่อ และกล้าที่จะทำความเชื่อนั้นให้เป็นความจริง
พระเจ้าจะทรงสนับสนุนและส่งเสริมความเชื่อและการกระทำของเรา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น