คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ หนังสือเล่มนั้น (THE BOOK) - พระคัมภีร์ ” จาก “ ยน.21:24-25 ”
ยน.21:24-25 สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่งข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น
อัครทูตยอห์น เป็นผู้เขียนพระธรรมยอห์น โดยบันทึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ แต่บันทึกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะท่านกล่าวว่า ถ้าต้องบันทึกทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำทั้งโลกคงไม่พอที่จะเขียนหนังสือเล่มนั้น เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำราชกิจมากมาย
การที่ท่านได้กล่าวถึงหนังสือที่จะเขียนนั้น หนังสือเล่มนั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “THE BOOK” หมายถึง พระคัมภีร์
ในโลกนี้มีหนังสือมากมายให้ผู้คนอ่าน แต่หนังสือเล่มที่มีคนอ่านมากที่สุดในโลก แปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุดในโลก หนังสือที่มีอิทธิพลต่อคนมากที่สุดในโลก คือ พระคัมภีร์
มีหนังสืออีกมากมายเช่นกันที่คนเคยยึดถือ เคยชื่อถือว่าเป็นจริง แต่ภายหลังพิสูจน์ได้ว่าไม่จริง ก็มีการทำลายทิ้งเสีย
กจ.19:19-20 และหลายคนที่ใช้เวทมนต์คาถา ได้เอาตำราของตนมาเผาไฟเสียต่อหน้าคนทั้งปวง ตำราเหล่านั้น คิดเป็นราคาเงินถึงห้าหมื่นเหรียญ พระวจนะของพระเจ้าก็บังเกิดผลเจริญและมีชัย
แต่พระคัมภีร์ เป็นหนังสือเล่มเดียวที่พิสูจน์ได้ทางประวัติศาสตร์และทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวไกล และความรู้ยิ่งล้ำลึกเพียงใด เรายิ่งเห็นและสัมผัสถึงความจริงในพระคัมภีร์ได้มากขึ้น
เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจเรื่องโลกร้อน แต่ปัจจุบันเราเข้าใจได้ เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจว่าภัยพิบัตินานาประการจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ปัจจุบันเราเข้าใจได้ เพราะมันได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้
พระคัมภีร์นั้น ยิ่งศึกษา ยิ่งติดตาม ยิ่งปฏิบัติตาม เราจะยิ่งค้นพบความจริงของพระคัมภีร์ได้มากขึ้น
ดังนั้น หนังสือเล่มนั้น หรือพระคัมภีร์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตคริสเตียน และการที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องในปัจจุบันให้เราเข้าใจได้มากเท่าใด เรายิ่งไม่มีความสงสัยในเรื่องของชีวิตหน้ามากขึ้นเท่านั้น
1คร.2:9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
1. ความสำคัญของพระคัมภีร์ (หนังสือเล่มนั้น)
วว.5:1-10 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า "ใครเป็นผู้ที่สมควรจะแกะตราและคลี่หนังสือม้วนนั้นออก"และไม่มีผู้ใดในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินที่สามารถคลี่หนังสือม้วนนั้นออก หรือดูหนังสือนั้นได้ และข้าพเจ้าก็ร่ำไห้ เพราะไม่มีผู้ใดสมควรจะคลี่หนังสือม้วนนั้นออกหรือดูหนังสือนั้นได้ และมีผู้หนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้น บอกแก่ข้าพเจ้าว่า "อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ เชื้อสายของดาวิด พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและคลี่หนังสือม้วนนั้นออกได้" และระหว่างพระที่นั่งกับสัตว์ทั้งสี่นั้น และท่ามกลางพวกผู้อาวุโส ข้าพเจ้าแลเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่ประหนึ่งทรงถูกปลงพระชนม์ พระเมษโปดกทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีตาเจ็ดดวง ซึ่งเป็นวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ที่ทรงส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลก และพระเมษโปดกนั้นได้เข้ามารับม้วนหนังสือจากพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือนั้นแล้ว สัตว์ทั้งสี่กับผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้น ก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระเมษโปดก ทุกคนถือพิณและถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง และเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงใหม่ ว่าดังนี้ "พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรจะทรงรับม้วนหนังสือ และแกะตราม้วน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
หนังสือนั้นออก เพราะว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์แล้ว และด้วยพระโลหิตของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงไถ่คนทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติและทุกประเทศเพื่อถวายแด่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงโปรดให้เขาเป็นราชอาณาจักร และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าของเรา และพวกเขาจะได้ครอบครองแผ่นดินโลก"
พระวจนะในตอนนี้ อธิบายถึงความสำคัญของหนังสือเล่มนั้นได้ดีที่สุด
หนังสือเล่มนั้น ต้องเป็นผู้ที่สมควรเท่านั้น จึงจะสามารถคลี่และเปิดดูได้
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นผู้เดียวที่สมควร ทั้งบนสวรรค์ บนแผ่นดินโลกและใต้แผ่นดินโลก
(พระองค์เป็นเผ่ายูดาห์เชื้อสายดาวิด) ทั้งสวรรค์ให้เกียรติหนังสือเล่มนั้น คือ พระคัมภีร์
ดังนั้น หนังสือเล่มนั้น จึงมีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
และโดยพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อทุกคน ผู้ที่ปฏิบัติตามหนังสือเล่มนั้นทุกคน จะมีสิทธิครอบครองร่วมกับพระองค์
“การได้ครอบครองร่วมกับพระเจ้า” เป็นพระสัญญาของพระองค์ถึงเราทุกคน
น่าแปลกใจที่คริสเตียนหลายคนอ่านพระคัมภีร์ แต่สิ่งที่บันทึกไว้กลับไม่มีผลในชีวิต
นั่นก็เพราะว่า เขาอ่านโดยปราศจากความเชื่อ
เพราะถ้ามีความเชื่อ ก็จะมีการลงมือกระทำตามที่เชื่อ แต่ที่ไม่ลงมือทำ ก็เพราะไม่เชื่อนั่นเอง
โดยสรุป คือ พระเจ้าทรงสัญญา แต่ที่เราไม่ได้รับตามสัญญา ก็เพราะเราไม่เชื่อในหนังสือเล่มนั้น
พระคัมภีร์ ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม แบ่งเป็น 2 ตอน
คือ พันธสัญญาเดิม 39 เล่ม และพันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม
พระคัมภีร์ เขียนโดยผู้เขียน 40 กว่าคนในช่วงเวลาที่ต่างยุค ต่างสมัย ต่างเชื้อชาติ ต่างความรู้ และบางและบางคนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและไม่เคยพบเห็นกัน แต่เราจะพบว่าเนื้อความและบริบทในพระคัมภีร์นั้นสอดคล้องและเกี่ยวโยงกันโดยไม่มีข้อผิดพลาดและได้เปิดเผยความจริงในลักษณะสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์
(1) ในพันธสัญญาเดิม เป็นเรื่องราวของพระเจ้าองค์เดียว ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และพยากรณ์ถึงเรื่องราวในอนาคต ส่วนใหญ่เขียนโดยภาษาฮิบรู
(2) ในพันธสัญญาใหม่ เป็นเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผู้มาไถ่บาปมนุษย์ การฟื้นคือพระชนม์ พระราชกิจของพระองค์ การเป็นศีรษะของคริสตจักรและการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซู เขียนเป็นภาษากรีก
พันธสัญญาเดิม เราถือว่าเป็น “เงา” แต่ในพันธสัญญาใหม่ คือ “ตัวจริง”
ในเงา เราเห็นแค่รูปร่างภายนอก แต่ตัวจริง เรามองเห็นรายละเอียดทุกอย่าง
พันธสัญญาใหม่ มีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เขียนขึ้นท่ามกลางเสียเย้ยหยัน
เพราะไม่มีใครเชื่อว่าสิ่งดีจะมาจากนาซาเรธ พระองค์เกิดอย่างคนจน ตายอย่างโจร
ยน.1:46 นาธานาเอลถามเขาว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ" ฟีลิปตอบว่า "มาดูเถิด"
แต่ปัจจุบัน หนังสือเล่มนั้น พิสูจน์แล้วว่าจริง และเป็นหนังสือที่ทรงพลานุภาพที่สุดในโลก
ฮบ.4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
2. เหตุใดพระคัมภีร์ (หนังสือเล่มนั้น) จึงทรงพลานุภาพและมีอิทธิพลต่อมนุษย์
2.1 เพราะพระคัมภีร์ เป็นพระวาทะของพระเจ้า
พระคัมภีร์ ทรงพลานุภาพ และมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ เพราะพระคัมภีร์ เป็นพระวาทะของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ยน.1:1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พระคัมภีร์ ไม่ใช่ความคิดของนักปราชญ์ หรือจินตนาการของนักประพันธ์
เพราะถ้าเป็นจินตนาการ สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นเป็นจริงไม่ได้
แต่พระคัมภีร์ หรือพระวจนะ คือ พระเจ้าในรูปตัวอักษร
พระวาทะ คือ วาจาของพระเจ้า ได้เกิดเป็นตัวอักษร คือ พระคัมภีร์
และพระวาทะได้บังเกิดเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์
ยน.1:14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระวาทะ และเกี่ยวกับพระเยซู จึงศักดิ์สิทธิ์
พระวาทะนั้น ได้บันทึกเรื่องพระเยซู ประวัติของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์
เพราะพระคัมภีร์ เป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ มาจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ จึงมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับปรุงชีวิตของมนุษย์
2ทธ.3:16-17 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
ก่อนที่เราจะทำความดีได้ ใจเราต้องดี วิญญาณเราต้องดี ปัญญาเราต้องดี ความรู้เราต้องดี
เราจึงจะพร้อมที่จะทำดีได้ แต่อย่าลืมว่า “ความดี” นั้นมาจากพระเจ้าและมาจากพระคัมภีร์
ผู้ใดอ่านและยึดถือพระคัมภีร์ ก็เท่ากับผู้นั้นได้ยึดความดี ยึดความเจริญและยึดความสุขของชีวิตไว้
ส่วนผู้ใดที่ปฏิเสธพระคัมภีร์ ปฏิเสธพระวจนะ คือ ปฏิเสธพระเจ้า และผู้ใดที่ปฏิเสธพระเยซู ก็ถือว่าปฏิเสธพระเจ้า
หลายคนต่อว่าเปโตรที่ปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง แต่ในชีวิตจริง เราอาจจะปฏิเสธพระเจ้ามากกว่านั้นก็ได้
คือ การปฏิเสธ ไม่เชื่อฟังพระคัมภีร์ เราต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย
2ปต.1:19-21 และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลายท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใด จะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้
พระวาทะหรือถ้อยคำของพระเจ้า เปรียบเหมือนแสงอรุณ
พระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดในชีวิตของเรา แสงสว่างนั้น ผ่านมาทางพระวจนะของพระองค์
เงื่อนไข คือ เราต้องเชื่อและต้องกล้าที่จะทำตามพระวจนะของพระเจ้า
ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า “ให้มันรู้ไปว่าคนที่เกรงกลัวและทำตามพระวจนะ จะไม่ได้ดี”
ถ้าหากเราเชื่อและถือตามถ้อยคำในหนังสือเล่มนั้น แม้เราอยู่ในความมืด เราจะมีแสงแห่งชีวิต
เราสำเร็จได้ เราเกิดผลได้ เราดีได้ เพราะเราปฏิบัติตามพระวจนะ
2.2 เพราะพระคัมภีร์ เป็นความจริง
พระคัมภีร์ทรงพลานุภาพ เพราะทุกตอน ทุกข้อ ทุกอักษร ทุกขีด ทุกจุด เป็นความจริง
พระคัมภีร์จะไม่มีวันสูญสิ้นไป จนกว่าสิ่งที่บันทึกในหนังสือเล่มนั้นจะปรากฏเป็นจริง
2ทธ.3:16-17 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
2ปต.1:20 -21 ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใด จะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเอง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ไม่ได้เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา
มธ.5:18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
ลก.16:17 ฟ้าและดินจะล่วงไปง่ายกว่าที่ธรรมบัญญัติสักจุดหนึ่งจะเป็นโมฆะ
ไม่ว่าอะไรจะล่วงไป แม้กระทั่งโลกใบนี้ แต่พระวจนะของพระเจ้าจะไม่ล่วงไปเลย
พระคัมภีร์ เป็นความจริง พระคัมภีร์ เป็นพระเจ้า
การที่เรากระทำตามพระคัมภีร์ คือ กระทำตามพระเจ้า จะส่งผลให้เราได้รับพระพร
ก. พระคัมภีร์ เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
2ปต.3:10-13 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วย เสียงที่ดังกึกก้องและโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้นเมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงามจงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไปแต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า พระคัมภีร์ไม่ใช่ความคิดหรือจินตนาการของมนุษย์
พระเจ้าทรงดลใจให้มนุษย์เขียนขึ้น และพระองค์ทรงสัพพัญญู
พระวจนะตอนนี้ กล่าวถึงอนาคตของโลก ซึ่งพระเจ้าเผยผ่านท่านเปโตร
ที่เป็นเพียงสามัญชน เป็นชาวประมงคนหนึ่งเท่านั้น (อ่าน กจ.4:13)
ถ้าพระองค์ทรงเผยเรื่องนี้ผ่านนักปราชญ์อย่างเปาโล อาจจะมีคนเชื่อถือเพราะความรู้ของท่าน
แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
เรื่องราวในอนาคตอย่างเรื่องโลกร้อน ความคิดของมนุษย์ในสมัยนั้นไม่มีทางคิดได้ ไม่มีทางคิดถึง
แต่เพราะพระคัมภีร์ มาจากพระเจ้า สิ่งที่บันทึกไว้จึงเป็นความจริงในปัจจุบันที่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ทำให้คนตื่นกลัว และทำนายว่าอนาคตน้ำจะท่วมโลก (นี่เป็นจินตนาการของมนุษย์)
แต่พระคัมภีร์บันทึกว่า โลกจะถูกไฟผลาญสลายไป
พระคัมภีร์ เคยถูกมองอย่างดูหมิ่น เหยียดหยามและหลายคนหาว่าบ้า ไม่มีทางเป็นจริงได้
แต่ความจริงแล้ว ทุกสิ่งที่ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ ย่อมเป็นความจริง
เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ความจริงนั้นจะปรากฏเท่านั้นเอง
มธ.24:21,29 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก, แต่พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
เหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ความจริง
ทุกวันนี้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว ไฟป่า
หรือความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศทั้งโลก
มันเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกกำลังจะถูกทำลายตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้
และไม่ต้องแปลกใจหากวันหนึ่งหิมะจะตกในประเทศไทย เพราะขณะนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ดังนั้น เมื่อสิ่งที่บันทึกในพระคัมภีร์กำลังปรากฏเป็นจริงทุกประการ
สิ่งที่ลูกพระเจ้าต้องตระหนัก คือ เราต้องดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างโง่เขลา
ที่น่ากลัวที่สุดมากกว่าภัยนานาประการ คือ ภัยที่เกิดจากใจแข็งกระด้างของเราเอง
ทั้งๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย และเรารู้ว่าวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
หลายคนยังขาดการนมัสการ หลายคนยังอิจฉาริษยา หลายคนยังบูชาเงินเป็นพระเจ้า
ขอพระเจ้าช่วยอย่าให้เราเป็นหนึ่งในคนที่ดำเนินชีวิตเช่นนั้น
ข. พระคัมภีร์เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ทางประวัติศาสตร์
พระคัมภีร์ หรือหนังสือเล่มนั้น ไม่เพียงเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ด้วย
ทุกคนยอมรับถึงความจริงที่พระคัมภีร์บันทึกไว้เกี่ยวกับมนุษยชาติ
(1) พระคัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ปฐก.9:18-19 บุตรของโนอาห์ซึ่งออกมาจากนาวา ชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอันสามคนนี้เป็นบุตรชายของโนอาห์ มนุษย์จึงกระจายออกไปทั่วโลกจากคนเหล่านี้
เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในโลก เริ่มต้นเริ่มจากบุตรชายของโนอาห์ คือ เชม ฮามและยาเฟท
ปฐก.9:24-27 เมื่อโนอาห์สร่างเมาแล้ว รู้ว่าบุตรสุดท้องทำกับท่านอย่างไรจึงพูดว่า "คานาอันจงถูกแช่ง ให้เป็นทาสแสนเลวของพี่น้อง"ท่านกล่าวด้วยว่า "ขอพระเจ้าของข้าพระองค์ ทรงอวยพระพรแก่เชม และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิดขอพระเจ้าทรงเพิ่มพูนยาเฟทให้ทวียิ่งขึ้น ให้เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเชม และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด"
ชะตาชีวิตของมนุษยชาติ เป็นไปตามคำที่โนอาห์กล่าวกับบุตรของตน
โนอาห์ อวยพรเชม ... เชม คือ ชนผิวขาว ทุกวันนี้เทคโนโลยีและความเจริญก้าวหน้า ล้วนมาจากเผ่าเชมทั้งสิ้น
โนอาห์ แช่งสาปฮาม (คานาอัน) ... ฮาม คือ ชนผิวดำ คนผิวดำมักจะถูกกดขี่ข่มเหง เป็นทาส
โนอาห์ อวยพรให้ยาเฟทเพิ่มพูน ... ยาเฟท คือ คนผิวเหลือง คนเอเชีย
ประชากรเอเชียมีมากที่สุดในโลก เช่น จีนและอินเดีย
หนังสือเล่มนั้น บันทึกเรื่องราวนี้ตั้งแต่ทั้งสามคนยังไม่มีบุตรด้วยซ้ำ
แต่เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ มนุษยชาติจึงเป็นไปตามนั้น
(2) ประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว
ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พรเราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
พระสัญญาและพระพรจากพระวจนะตอนนี้ พระเจ้าตรัสกับอับราฮัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติยิว
พระองค์ตรัสกับเขา ตั้งแต่เขายังไม่มีบุตร ว่าเขาจะกลายเป็นชนชาติใหญ่
ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของชนชาติยิว
ชนชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยเดียวกับยิว สูญสิ้นไปหมดแล้ว แต่ยิวยังอยู่
ยิวเคยร่อนเร่พเนจรมาตลอด แต่ท้ายที่สุดกลับมาตั้งเป็นประเทศอิสราเอลได้ เมื่อ ค.ศ.1948
เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้เพราะพระเจ้าเท่านั้น
ในประวัติของโลกนั้น ปรากฏว่ามีชนเชื้อชาติต่างๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นมา และได้ทำความเจริญแก่โลกไว้แล้วหลายเชื้อชาติ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เป็นต้นว่า พวกชาวอียิปต์โบราณ พวกชาวกรีกโบราณและพวกโรมัน แต่คนเหล่านั้นก็ได้สาบสูญหมดไปแล้ว
ชนชาติยิว ได้ถือกำเนิดมาพร้อมกับคนโบราณต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงนี้ แต่จนบัดนี้ก็ยังมิได้สาบสูญไป
พวกยิวได้ใช้เวลาประมาณ 4,000 ปี สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นตลอดมา คนเชื้อชาติยิวได้ให้อะไรแก่โลกไว้มาก
ศาสนาใหญ่ที่สุดในโลก คือ ศาสนาคริสต์ พระเยซู ก็เป็นยิว
ศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาใหญ่ที่สุดอีกศาสนาหนึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากศาสนาของพวกยิว
ผู้เริ่มลัทธิใหญ่อีกลัทธิหนึ่งในโลก คือ ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น ก็เป็นยิวชื่อว่า คาร์ล มาร์กส์
นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ชื่อ อับเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นผู้เปิดทางให้มนุษย์เข้าสู่ยุคปรมาณู
และเป็นผู้ชี้ทางให้มนุษย์เดินทางไปถึงดวงจันทร์ ด้วยทฤษฎีฟิสิกส์ของเขาก็เป็นยิว
นักจิตวิทยาใหญ่ของโลกอีกคนหนึ่ง ชื่อ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ผู้ซึ่งได้เปิดเผยจิตของมนุษย์ออกให้คนได้ศึกษา ก็เป็นยิว
ชาวยิวเป็นหนึ่งในชนชาติที่ฉลาดที่สุด ลึกลับที่สุด และร่ำรวยที่สุดของโลก
สถิติระบุว่า ในบรรดาชาวอเมริกันทั้งหมดมีชาวอเมริกันเชื้อสายยิวอยู่เพียง 2%
แต่มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการคัดเลือกจากนิตยาสาร FORTUNE ในแต่ละปีนั้น
กลับมีนักธุรกิจเชื้อสายยิวมากถึง 20-25% ยิ่งไปกว่านั้น
หากพิจารณาในขอบเขตที่กว้างขึ้นก็จะเห็นได้ว่าในบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกนั้นมีอยู่กว่าครึ่งทีเดียวที่มีเชื้อสายยิว
(บางส่วนจากหนังสือคำเทศนาเรื่อง “พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระสัญญาศักดิ์สิทธิ์ กรณีศึกษาจากยิว”)
ประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว สอนเราให้ตระหนักว่า พระวจนะของพระเจ้าไม่มีวันผิดพลาด
เราอยากทราบเรื่องอะไร สิ่งใด ให้ค้นดูพระวจนะ เพราะพระวจนะจะเป็นคำตอบให้กับเรา
แต่พระวจนะของพระเจ้าหลายอย่างเป็นรหัส เป็นคำอุปมา เราอ่านเองไม่เข้าใจต้องปรึกษาผู้รับใช้พระเจ้า
คริสเตียนก็ถือเป็นชนชาติยิวเช่นกัน แต่เป็นยิวฝ่ายวิญญาณ เป็นบุตรหลานอับราฮัมทางความเชื่อ
ดังนั้น พระพรและพระสัญญาที่พระเจ้าตรัสไว้กับชนชาติยิว ก็มีผลต่อคริสเตียนด้วย
กท.3:6-9 ดังที่อับราฮัม ได้เชื่อพระเจ้า และ การที่เชื่อนั้น พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่านฉะนั้นคนที่เชื่อนั่นแหละเป็นบุตรของอับราฮัมและพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้าเหตุฉะนั้นคนที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ
แต่เงื่อนไข คือ เราต้องรักษาความเชื่อ ตราบใดเรามีความเชื่อ ตราบนั้นเรามีสิทธิรับพระพร
(3) ประวัติศาสตร์ของชาวอาหรับ
ปฐก.16:11-12 ทูตพระเจ้ากล่าวแก่หญิงนั้นว่า "เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน"ทูตพระเจ้ากล่าวแก่นางอีกว่า "นี่แน่ะเจ้ามีครรภ์แล้ว จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่าอิชมาเอล {แปลว่า พระเจ้าทรงรับฟัง} เพราะพระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้าบุตรนั้นจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเขา"
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าชาวอาหรับไม่ได้เป็นมุสลิมทุกคน และมุสลิมทุกคนก็ไม่ได้เป็นชาวอาหรับ
แต่ส่วนใหญ่ของชาวอาหรับคือมุสลิม และมีชาวอาหรับอีกมากมายที่ไม่ใช่มุสลิม
และมีหลายแห่งที่ชาวอาหรับไม่ใช่มุสลิมมากกว่าชาวอาหรับที่เป็นมุสลิม
“อิชมาเอล” เป็นต้นกำเนิดของชาวอาหรับ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
พระเจ้าตรัสว่าเขาจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และเขาจะอาศัยอยู่ตรงหน้าพี่น้องของเขา
พระเจ้าตรัสตั้งแต่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พระเจ้าตรัส กลายเป็นชะตาชีวิตของชาวอาหรับ
ชีวิตเต็มไปด้วยการต่อสู้ รบราฆ่าฟัน ผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ
แต่ทำลายอย่างไรก็ไม่มีวันหมด เขายังอยู่ตรงหน้าพี่น้องตามที่พระเจ้าตรัส
ค. พระคัมภีร์เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ในปัจจุบัน
(1) ผู้เชื่อ รับความรอด รับชีวิตนิรันดร์ ปลอดภัย ไม่พินาศ
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
ความจริงของพระคัมภีร์ที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้เรามั่นใจในปัจจุบันและอนาคต
เมื่อพระเจ้าทรงสัญญา ไม่ว่าจะอย่างไร มันจะเป็นไปตามนั้น
ผู้เชื่อวางใจทุกคน รับความรอด รอดจากนรก รอดจากบาป รอดจากเวรกรรม
ผู้เชื่อวางใจทุกคน รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่สุขนิรันดร์ ชอบธรรมนิรันดร์กับพระเจ้า
ผู้เชื่อวางใจทุกคน รับชีวิตที่ปลอดภัย ไม่มีอะไร สิ่งใด ใครจะพรากเราไปจากพระเจ้าได้
ทั้งหมดนี้ไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นในอนาคต
เพราะประสบการณ์ส่วนตัวที่ผู้เชื่อมีกับพระเจ้า ทำให้เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน
(2) ผู้เชื่อ มีอำนาจเหนือภูตผีปีศาจ ฤกษ์ยาม วันเดือนปี ฯลฯ
ลก.10:19-20 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลยแต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์ เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์"
คส.2:14-15 พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนพระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น
อะไรที่เคยผูกมัด ทำร้ายหรือทำลายเรา พระเจ้าทรงทำลายมันไปหมดแล้ว
ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นกับวันเดือนปี ฤกษ์ยาม แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
เราคงเคยได้ยินคำว่า “แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนา แข่งกันไม่ได้”
คนที่เชื่อพระเจ้าและปฏิบัติตามพระคัมภีร์ คนนั้นแหละมีบุญวาสนาอย่างแท้จริง
ผู้เชื่อไม่เพียงรับชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้าเท่านั้น แต่เรายังรับพระพรในโลกนี้ด้วย
มก.10:29-30 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเราในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
สละ เป็นมากกว่าให้ และต้องสละด้วยความเต็มใจ เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรที่จิตใจ ไม่ใช่ภายนอก (1ซมอ.16:7)
หลายคนภายนอกดูทุ่มเท แต่กลับขาดพระพร เพราะเขามีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง
แต่ใครทำอย่างถูกต้อง ก็รับพระพรที่ถูกต้องจากพระเจ้า
โลกนี้รับพระพร โลกหน้ารับศักดิ์ศรีนิรันดร์ร่วมกับพระเจ้า
ฉธบ.28:13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบบ่าย” -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ชีวิตของเราจะเป็นหัวไม่ใช่หาง ในชาตินี้แหละ ไม่ใช่ชาติหน้า
แต่เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ความเชื่อและการประพฤติตามของเรา
3. ใครทำตามพระคัมภีร์ (หนังสือเล่มนั้น) พระเจ้าทรงเรียกว่า “สหาย”
ผู้ที่เชื่อฟังและประพฤติตามพระคัมภีร์นั้น ไม่เพียงจะรับพระพรตามพระสัญญาเท่านั้น
แต่พระเจ้ายังทรงเรียกผู้นั้นว่า “สหาย” อีกด้วย
ยน.15:14-15 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเราเราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
สหาย คือ คนที่พระเจ้าทรงแคร์ ทรงห่วงใยเป็นพิเศษ
คนที่เป็นสหายนั้น พระเจ้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดกับเขา แต่ตรงกันข้ามพระเจ้าจะทรงเปิดเผยทุกสิ่ง
อสย. 41:8 แต่เจ้า อิสราเอล ผู้รับใช้ของเรา ยาโคบผู้ซึ่งเราได้เลือกไว้เผ่าพันธ์ของอับราฮัมสหายของเรา
ยก. 2:23 อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความชอบธรรมของแก่ท่าน และท่านได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า
ปฐก.18:17 พระเจ้าตรัสว่า "ควรหรือที่เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเราจะกระทำนั้นมิให้อับราฮัมรู้...
อับราฮัม เป็นหนึ่งในผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกว่าสหาย และพระเจ้าไม่ปิดบังสิ่งใดต่อเขา
พระเจ้าจะบอกล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำให้สหายรู้
และเราทุกคนสามารถเป็นสหายของพระเจ้าได้ ถ้าเราประพฤติตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้
เราพึงระวังให้ดี เพราะชีวิตของเรามีเพียงชีวิตเดียว ต้องใช้ให้ถูกต้อง
พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีสิ่งใดที่เราทำแล้วจะเล็ดลอดจากสายพระเนตรของพระเจ้า
พระองค์ทรงมองไม่ใช่จับผิด แต่มองด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาจะอวยพระพรผ่านชีวิตของเรา
ผู้ที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ยำเกรงพระคัมภีร์ย่อมได้รับพระพรนั้น
4. ความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ คือ ห้ามเพิ่มเติมหรือลบข้อความใดๆ ในหนังสือเล่มนั้น
พระคัมภีร์ทุกตอน ทุกอักษร ทุกคำ ทุกขีด ทุกจุด ศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระคัมภีร์เป็นพระเจ้า มาจากพระเจ้า
ไม่เพียงมนุษย์ต้องเชื่อฟังและกระทำตามพระคัมภีร์เท่านั้น
แต่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะเพิ่มเติมหรือลบ ถ้อยคำของพระเจ้าด้วย
ใครเพิ่มเติม พระเจ้าจะเพิ่มภัย และใครลบ พระเจ้าจะลบพระพร
ฉธบ.4:1-2 บัดนี้ โอคนอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังกฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลาย จงประพฤติตามเพื่อท่าน ทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ของท่านทรงประทานแก่ท่านท่านทั้งหลายอย่าเสริมเติมคำที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ และอย่าตัดออกเพื่อท่านทั้งหลายจะรักษาพระบัญญัติของพระ เยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน
วว.22:18-19 ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต และที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย
นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือเล่มนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น