วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว ”

เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -1-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เรื่อง เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว
จาก อสย.43:18-19

                2ทธ.3:16-17           พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
                พระวจนะของพระเจ้าทุกบท ทุกตอน ทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด มุ่งหมายให้คนของพระเจ้าดีขึ้น ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น
                คุณภาพ ในที่นี้ หมายถึง
คุณภาพชีวิต ... เป็นอะไร เป็นให้ดีที่สุด อยู่ที่ไหน อยู่อย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
คุณภาพความคิด ... ทัศนคติ ความเข้าใจและความรู้ต้องมีคุณภาพ
คุณภาพการทำงาน ... ไม่ว่าทำงานอะไร ทำอย่างดีที่สุด ถวายเกียรติพระเจ้าสูงสุด

อสย.43:18-19         ตรัสดังนี้ว่า อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร และแม่น้ำในที่แห้ง แล้ง
                พระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมข้อนี้ เป็นอีกตอนหนึ่งที่จะช่วยให้คนของพระเจ้าก้าวไปสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ ถ้าเราอ่าน ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดี เราจะมีแนวทางในการพัฒนาตนเอง
                พระเจ้าตรัสว่า สิ่งใหม่จะเกิดขึ้น พระองค์ต้องการให้เราทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นในชีวิตอยู่เสมอ
                สิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้น พระคัมภีร์ให้คำว่า งอก นั่นหมายถึง สิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป (ลองนึกถึงภาพของเมล็ดพืชงอกขึ้นเป็นต้น) เป็นขบวนการที่ต้องใช้เวลา ไม่ใช่เติบโตขึ้นมาในทันที
พระเจ้าจะทำให้ ถิ่นทุรกันดาร กลายเป็น แม่น้ำ
ในความแห้งแล้งกันดาร ในความขัดสัน ในความยากจน ในความไม่รู้ ในความไม่มี ... พระองค์จะกลับทำให้มีหนทาง พระองค์จะสร้างชีวิตของเราให้เป็นธารน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์ ... พระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางการสร้างคุณภาพชีวิตของเรา ถ้าชีวิตเรามีคุณภาพ เราจะไม่มีความขาดแคลนไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม
คุณภาพชีวิตต้องมาก่อน แล้วคุณภาพความคิดจะตามมา เมื่อทั้งคุณภาพชีวิตถูกต้อง คุณภาพความคิดถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคุณภาพการทำงานเลย เพราะมันจะถูกต้องด้วย และนำชีวิตเรารับพระพรอย่างมากมาย

เส้นทางสู่คุณภาพ จาก อสย.43:18-19 คือ อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่า
อสย.43:18-19         ตรัสดังนี้ว่า อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร และแม่น้ำในที่แห้ง แล้ง
ชีวิตเราจะก้าวไปสู่คุณภาพได้ ต้องไม่จดจำสิ่งล่วงแล้ว และไม่พิเคราะห์สิ่งเก่า
หากอยากก้าวไปข้างหน้า ต้องไม่ให้ อดีต หรือ สิ่งที่เคยทำ เคยเป็น เคยผิดพลาด เคยล้มเหลว ... มาฝังตัวเรา
ถ้าเราไม่มีแนวคิดจากพระเจ้าอย่างนี้ เราจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
แต่ตรงกันข้าม เราจะจมอยู่กับอดีต ก้าวไม่พ้นปัจจุบัน คิดใคร่ครวญถึงเรื่องแย่ๆ ตลอดเวลา
คิดวนไปวนมาว่า ทำไมเราทำอย่างนั้น ทำไมเราเป็นอย่างนี้ ตลอดเวลา

พคค.3:16-20          พระองค์กระทำให้ฟันข้าพเจ้าเคี้ยวก้อนกรวด และทรงเหยียดข้าพเจ้าให้อยู่ในกองขี้เถ้า จิตวิญญาณของข้าพเจ้าขาดความสงบสุข จนข้าพเจ้าลืมความสำราญว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้าจึงว่า "ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญไปแล้วและความหวังใน
เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -2-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

พระเจ้าก็ดับหมด" ขอทรงจำความทุกข์ใจและความถูกบีบคั้นของข้าพเจ้าอันเป็นบอระเพ็ดและดีหมี จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังนึกถึงเนืองๆ และต้องค้อมลงภายในตัวข้าพเจ้า
ชีวิตของหลายคนไม่ต่างจากพระวจนะในตอนนี้ ตลอดชีวิตเหมือนเคี้ยวก้อนกรวด เหมือนชีวิตจมอยู่กับกองขี้เถ้า
ยามที่ชีวิตตกต่ำที่สุด แล้วเห็นคนอื่นเจริญเติบโตก้าวหน้า ... ก็ขาดความสงบสุข
เป็นความรู้สึกของความทุกข์ทรมานเหมือนไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยในชีวิต
หดหู่ ห่อเหี่ยว หมดแรง และรู้สึกแห้งแล้งในทุกทาง ไม่มีกำลังในการก้าวไปข้างหน้า

แต่พระเจ้าทรงหนุนใจและสอนเราท่ามกลางสถานการณ์นั้นว่า
อย่าจดจำ อย่าพิเคราะห์ แต่ต้องเริ่มต้นใหม่
ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ การทำงานจะเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ ต้องไม่จมอยู่กับอดีต
ข้าพเจ้าสอนเสมอๆ ว่า
เราไม่สามารถห้ามนกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถห้ามไม่ให้มันทำรังบนหัวเราได้
ฉันใดก็ฉันนั้น เราไม่สามารถห้ามความคิดของเราได้ แต่สิ่งที่เราสามารถห้ามได้ คือ ห้ามจมอยู่กับความคิดนั้น
เราต้องพยายามลืมมันให้ได้ อย่าไปจดจำ อย่าไปพิเคราะห์สิ่งที่ผ่านมาแล้ว
ชีวิตของเราจะก้าวไปสู่ความมีคุณภาพได้ เราต้องไม่จมกับอดีต
ทุกคนเคยผิดพลาด เคยล้มเหลวกันได้ แต่อย่าลืมว่าพระเจ้าให้โอกาสเราเสมอ
ยน.8:7                    และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน"
ยน.8:10-11             พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ" นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก"
ตราบใดเรามีลมหายใจ ตราบนั้นเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอ

รายละเอียดเกี่ยวกับ อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่า
1. อย่าจดจำ อย่าพิเคราะห์
อสย.43:18              ตรัสดังนี้ว่า อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน
รายละเอียดที่เราต้องเข้าใจเรื่อง อย่าจดจำหรืออย่าพิเคราะห์ คือ
จำไว้ว่า มารซาตานจะหลอกเราด้วย อดีต หลอกเราด้วยสิ่งที่ล่วงแล้ว หลอกเราด้วยสิ่งเก่าเสมอ
ในขณะที่พระเจ้าสอนเราไม่ให้จดจำ ไม่ให้พิเคราะห์สิ่งล่วงแล้ว
มารซาตานทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าเสมอ
มันขึ้นอยู่กับว่าเราฟังและกระทำตามผู้ใดระหว่าง พระเจ้า หรือ มารซาตาน
บ่อยครั้งธรรมชาติชีวิตก็เล่นตลกกับมนุษย์ ...
สิ่งที่อยาก จำ กลับ ลืม ส่วนสิ่งที่อยาก ลืม เรากลับ จำ
แต่คนของพระเจ้าต้องมีสติอยู่เสมอ และต้องนำแนวคิดของพระเจ้าไปปฏิบัติ

ตัวอย่าง เปาโล
เปาโล เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีอดีตที่ไม่ดีนัก แต่สามารถก้าวไปข้างหน้าและไม่พิเคราะห์สิ่งเก่าได้
เราเองก็เห็นแล้วว่า ผลสุดท้ายชีวิตของท่าน เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีคุณภาพเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งด้านชีวิต ด้านความคิดและด้านการทำงาน ... ท่านเป็นแรงบันดาลใจในทุกๆ ด้านสำหรับผู้เชื่อ
เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -3-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

อดีตของเปาโล ชื่อเดิมของท่าน คือ เซาโล
ท่านข่มเหงและเป็นผู้นำในการพาคนฆ่าคริสเตียน เพราะความเข้าใจผิดคิดว่าพวกคริสเตียนหมิ่นพระเจ้า
กจ.7:58-60             แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟน ได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย" สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้" เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป
กจ.8:1                     การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น เซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย
สเทเฟน ผู้รับใช้ของพระเจ้า ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาของเปาโลและในขณะนั้นท่านก็เห็นชอบกับความตายของสเทเฟนด้วย
เราลองคิดถึงภาพของคนที่ถูกหินขว้างจนตาย ย่อมไม่ใช่การตายธรรมดา แต่เป็นความตายที่ทรมานที่สุด
หินแต่ละก้อนที่ขว้าง ความเจ็บปวดแต่ละครั้งที่ได้รับ จนกระทั่งถึงแก่ความตาย

ภาพนั้น ติดตาของเปาโล ... จนกระทั่งเมื่อท่านได้พบพระเจ้าและเชื่อในพระองค์
เปาโลจึงกล่าวว่า ในบรรดาคนบาปนั้น ท่านเป็นคนที่บาปที่สุด
1ทธ.1:15                                คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก
บาปในที่นี้ ไม่ใช่บาปเพราะเปาโลไปฆ่าข่มขืน ไปปล้นหรือลักขโมยใคร
แต่บาปที่สุด เพราะท่านได้ฆ่านักบุญ ท่านฆ่าคนดี
ไม่ใช่เป็นการฆ่าแค่คนเดียว หรือฆ่าแค่ครั้งเดียว แต่ท่านฆ่าและข่มเหงผู้เชื่อมากมาย

กจ.9:1-2                 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิตประจำการ ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
ในระหว่างทางที่เปาโลจะไปทำร้ายคริสเตียนนั้น ท่านได้พบพระเจ้า
เป็นการพบอย่างรุนแรงที่ถึงกับทำให้ท่านล้มลง ตาบอด และต้องหนีตาย เพื่อเอาชีวิตรอด
ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เปาโลพบกับสัจธรรมของชีวิต ตระหนักว่าตนเองเคยทำผิดบาปต่อพระเจ้าและคนของพระองค์
แต่สิ่งที่ท่านทำในอดีตนั้น พระเจ้าทรงลืม พระเจ้าทรงให้อภัย พระเจ้าทรงให้โอกาส
พระเจ้าทรงใช้เปาโลในทางตรงกันข้าม จากคนที่เคยข่มเหงคนของพระเจ้า กลายเป็นคนที่ยอมตายเพื่อพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าทรงลืม ทรงอภัยและทรงให้โอกาส เปาโลเองก็ต้องลืมอดีตและให้โอกาสตัวเองเริ่มต้นใหม่ด้วย
สดด.103:8-12        พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง พระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอ หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์ พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง เท่านั้น ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น
อดีตไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะผิดพลาดมากแค่ไหน ล้มเหลวมากเท่าไร หรือเลวร้ายเพียงใด
ปัจจุบันเราเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราเป็นคนใหม่แล้ว
อดีตไม่สามารถทำร้ายหรือทำลายเราได้อีกต่อไป เราจะมีแต่อนาคตที่ดีและมีคุณภาพเท่านั้น

ฟป.3:12-14            มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว
เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -4-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
เมื่อเปาโลได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า ท่านจึงเขียนพระวจนะตอนนี้ขึ้นมาเพื่อหนุนใจผู้เชื่อทุกคน
เราต้องลืมอดีต ต้องก้าวไปสู่อนาคต ด้วยความบากบั่น
อย่าให้อดีตหรือของเดิมๆ มามัดเราไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า
การลืมอดีตหรือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วนี้ หมายถึงอดีตเรื่องชีวิต อดีตเรื่องความคิดและอดีตเรื่องการทำงานด้วย
เราต้องไม่คิดเหมือนเดิม ไม่ทำเหมือนเดิม แต่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า คนที่ทำเหมือนเดิม คือ คนโง่
ในที่สุด คนที่เดินอยู่กับที่ทุกวัน ก็เท่ากับคนที่เดินถอยหลังนั่นเอง
ดังนั้น ลูกพระเจ้าต้องไม่อยู่กับที่ ต้องไม่ถอยหลัง ต้องไม่อยู่ที่เดิม แต่เป็นผู้ที่ก้าวหน้าเสมอ
ทุกวันเราต้องกล้าประเมินตัวเอง ประเมินชีวิต ประเมินความคิด ประเมินการทำงาน ... เราดีขึ้นหรือไม่?

2. อยากหายเจ็บ ต้องลุกจากสิ่งที่ทำให้เราเจ็บ
การที่ชีวิตของเราจะก้าวไปสู่คุณภาพนั้น ไม่เพียงแต่ไม่จดจำหรือพิเคราะห์สิ่งเก่าเท่านั้น
แต่อะไรที่มันทำให้เราเจ็บ ... อยากหายเจ็บ ต้องลุกออกจากสิ่งนั้น
ถ้าการกระทำในอดีตใดๆ หรือความคิดใดๆ หรือการทำงานใดๆ ทำให้เราเจ็บ ... เราต้องรีบออกจากสิ่งนั้น
เราทุกคนทำผิดกันได้ แต่ก็แก้ไขได้เช่นกัน เราคิดได้ แต่ก็เราคิดผิดได้เช่นกัน
สภษ.24:16              เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
คนของพระเจ้าไม่ว่าจะล้มลงกี่ครั้งก็ตาม เราสามารถลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ
สำคัญที่เราต้องทำตามหลักการของพระเจ้า คือ ไม่จดจำ ไม่พิเคราะห์
และต้อง ลุก จากสิ่งที่ทำให้เรา เจ็บ

ถ้าเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากใครบางคน ... เราก็ต้องลุกออกจากคนนั้น
ใครทำผิดกับเรา ต้องระวัง แต่อย่าระแวง อย่ามองโลกในแง่ลบ
เราให้อภัย ให้โอกาสทุกคน แต่ใครก็ตามที่ไม่กลับใจใหม่ เขาเองจะรับภัยจากการกระทำนั้นอย่างแน่นอน
พระเจ้าทรงสอนแล้วว่า ความรักก็ต้องเชื่อในส่วนดีของผู้อื่น
และในส่วนที่ไม่ดีของเขานั้น ... เขาก็จะรับเอง เราผู้เป็นคนที่ให้อภัยไม่ได้สูญเสียอะไรเลย
ตรงกันข้าม กลับรับความโปรดปรานจากพระเจ้าอีกด้วย

พคค.3:21-23          ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้ ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้นเมื่อคิดได้ว่า ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุดเป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก
ช่วงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ย่อมมีบางเวลาที่เราเจ็บปวด แต่เราจะหายเจ็บได้ ต้องลุกออกจากสิ่งที่ทำให้เราเจ็บนั้น
เราจะลุกจากสิ่งที่ทำให้เราเจ็บได้ ... ต้องมีสติ ต้องคิดได้
คนที่คิดไม่ได้ คนที่ไม่มีสติ ก็จะจมอยู่กับความเจ็บปวด จมอยู่กับสิ่งที่ทำให้เราเจ็บ จมอยู่กับคนที่ทำให้เราเจ็บ
ความคิด การงานก็เช่นกัน ถ้ามันทำให้เราเจ็บ ก็อย่าดันทุรังทำ ต้องจบมันให้ได้ อย่าสนใจคำพูดของคน
แนวทางของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐาน การนมัสการ การฟังคำสอน ทำให้เรามีสติ หวนคิดขึ้นมาได้
เมื่อเราคิดได้ เราก็หลุดจากความเจ็บปวดได้
เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -5-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ฟป.4:8                    ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
พระคัมภีร์สอนให้เราใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม
สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ สิ่งที่ล้ำเลิศ ...
โดยสรุป คือ พระคัมภีร์ให้เราใคร่ครวญถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเจ็บ
ที่จริงแล้วในชีวิตของเรามีสิ่งดีมากมาย แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใคร่ครวญถึงสิ่งที่ดี
เรามักใคร่ครวญถึงสิ่งที่ร้ายและทำลายชีวิตของเรา ... จึงทำให้เราเจ็บและไม่สามารถลืมอดีตได้

3. พระเจ้ามีสิ่งใหม่ให้เราเสมอ
สำหรับคนของพระเจ้านั้น ไม่เพียงมีสิ่งดีมากมายเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งดีอีกมากมายรอเราอยู่ข้างหน้าด้วย
รม.8:28                   เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
พระเจ้ามีของใหม่ มีสิ่งดี สิ่งใหม่มอบให้เราเสมอ เราต้องยึดพระวจนะตอนนี้ไว้
จะทำให้เราก้าวพ้นจากอดีตไปสู่อนาคตที่มีคุณภาพได้

2คร.5:17                 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
การเชื่อในพระคริสต์ การมีพระคริสต์อยู่ในชีวิต (ไม่ใช่การนับถือศาสนาคริสต์) เราสามารถมีชีวิตใหม่ได้เสมอ
อย่าคิดว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ เพราะในพระคริสต์เปลี่ยนได้เสมอ
เราทำไม่ได้ เราเปลี่ยนด้วยตัวเองไม่ได้ แต่พระเจ้าช่วยเราเปลี่ยนได้ ... จากไม่ดี กลายเป็นดีได้ จากไม่เก่ง กลายเป็นเก่งได้
ดังนั้น ใครก็ตามที่ตัดสินใจเชื่อวางใจในพระคริสต์ แม้ไม่เข้าใจ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนได้
จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของผู้เชื่อเสมอ เป็นประสบการณ์ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง
พระวจนะย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นการเปลี่ยนใหม่ทั้งนั้น
คือ เปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่า ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย
พระเจ้าเปลี่ยนที่ความคิด ทัศนคติ พระเจ้าเปลี่ยนแปลงภายในของเราใหม่
เมื่อข้างในเปลี่ยนใหม่ ข้างนอกถึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ชั่วครั้งชั่วคราว

ในพระคริสต์ คือ ในคำสอนของพระคริสต์ ...  พระเจ้าสามารถเปลี่ยนนิสัยเราได้
เราเคยบาป แต่พระเจ้าสามารถเปลี่ยน คนบาป ให้กลายเป็น นักบุญ ได้
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน คือ การเปรียบกับหินในหอยมุก
หินที่สกปรกไม่มีค่า เมื่อได้ซ่อนตัวอยู่ในหอยมุก ... หินนั้น กลายเป็นไข่มุกที่มีค่าได้
คนบาปที่ซ่อนตัวอยู่ในพระคริสต์ ในคำสอนของพระองค์ สามารถเปลี่ยนเป็นนักบุญได้เช่นกัน
หรือจะเปรียบเหมือนหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ
เริ่มต้นด้วยความน่าขยะแขยง แต่ธรรมชาติสามารถเปลี่ยนชีวิตมันให้สวยงามได้

คำสอนของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้า ฤทธิ์เดชของพระเจ้า สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราให้สวยงามได้เช่นกัน
ผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้น วิถีของพระเจ้าจะปรากฏในชีวิตของเรา
ชีวิตของเราจะค่อยๆ งดงามเหมือนแสงอรุณในยามเช้าจรดเที่ยง หรือเหมือนเมล็ดพืชที่ค่อยๆ งอกขึ้น
เส้นทางสู่คุณภาพ ตอน อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้ว                                                       -6-                                                                   โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เราจะกลายเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหาง เราจะสูงขึ้นทางเดียว ไม่มีตกต่ำลงเลย
สภษ.4:18                แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน
ฉธบ.28:13              ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง
มธ.13:31-32           พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช {ตามภาษากรีกว่าเมล็ดผักกาด ซึ่งในประเทศปาเลสไตน์ต้นผักกาดบางต้นขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน} เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"                   
แต่ขบวนการทั้งหมด ต้องอาศัยเวลาในการเปลี่ยนแปลง เราต้องอดทนและหวังใจในพระคริสต์
แล้วสิ่งดี สิ่งใหม่ จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอ

4. พระเจ้าจะช่วยเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยรม.31:31-34         "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่น ดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลายและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็น ประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จัก เราหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะ ไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป"
พระวจนะตอนนี้ เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง
ยุคนี้พระเจ้าจะทำพันธสัญญาของพระองค์ และจะเปิดเผยพร้อมทั้งสำแดงกับเราอย่างชัดเจน
พระเจ้าจะบรรจุพระธรรมของพระองค์ไว้ในใจของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้ าจะอยู่ใจจิตวิญญาณ ในทัศนคติ ในแนวคิดของมนุษย์
ไม่ใช่เพียงแค่รู้ผ่านหัวสมองเท่านั้น แต่รู้เข้าไปถึงจิตวิญญาณ เราจะใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจ
เราเป็นประชากรของพระเจ้า พระองค์จะเป็นพระเจ้าของเรา พระองค์จะดูแลชีวิตของเรา
พระเจ้าสัญญาว่าจะไม่จดจำอดีตอันเลวร้าย ความบาปอันชั่วร้าย การกระทำที่ผิดพลาดของเรา
แต่พระองค์สัญญาว่าจะสร้างสิ่งใหม่ สร้างชีวิตของเราใหม่
สำคัญที่เราต้องเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระองค์
ต้องไม่จดจำ ไม่พิเคราะห์สิ่งเก่าหรือสิ่งล่วงไปแล้ว แต่เชื่อและหวังใจในสิ่งใหม่ที่จะได้รับจากพระเจ้า
แล้วชีวิตของเรามุ่งสู่คุณภาพในทุกด้านตามประสงค์ของพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น