วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ หายเหนื่อย ... เป็นสุข ” จาก “ มธ.11:28-30”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -1-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง หายเหนื่อย ... เป็นสุข จาก มธ.11:28-30

                มธ.11:28-30           บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
คำว่า หายเหนื่อย ... เป็นสุข เป็นคำสากล เป็นความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนในโลก
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ เป็นคำตอบ เป็นหนทางในการนำไปสู่การหายเหนื่อยและเป็นสุข
ความเหน็ดเหนื่อย เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนอยากหายเหนื่อย ... ได้หายเหนื่อยนั้น หลายคนว่าดีแล้ว แต่ทางพระเจ้าให้ดีกว่านั้น ให้มากกว่านั้น คือ หายเหนื่อย และเป็นสุขด้วย

1. ชีวิตจะหายเหนื่อย เป็นสุขได้ ต้องเข้าใจแก่นชีวิต
ชีวิตของเราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างถาวร เราต้องเข้าใจถึงแก่นชีวิต ดังนี้
1.1 ทุกชีวิตต้องเหนื่อย
แก่นชีวิตที่เราต้องตระหนักและยอมรับ คือ ทุกชีวิตต้องเหนื่อย
พระวจนะใช้คำว่า เหนื่อย ไม่ได้ใช้คำว่า ทุกข์ เราต้องแยกให้ออกระหว่าง 2 คำนี้
เรามาดูตัวอย่างในเรื่องนี้กันว่า ใครบ้างที่ต้องเหนื่อย และต้องเหนื่อยเพื่ออะไร?
ก. ถ้าพระเจ้าเป็นมนุษย์ การสร้างสรรพสิ่งนั้น พระองค์ต้องเหนื่อย
ในการทรงสร้างของพระเจ้านั้น ไม่ว่าจะเป็นโลก จักรวาล มนุษย์ พืช สัตว์ ฯลฯ
ถ้าพระเจ้าทรงเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ในการสร้างสิ่งต่างๆ พระองค์ก็ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา
แต่พระเจ้ายอมเหนื่อย ในการสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อมนุษย์ เพราะรักมนุษย์ และเห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
คส.1:16-17             เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้าง มีระบบระเบียบและคงอยู่ได้อย่างพอเหมาะพอดี เพราะพระเจ้ายอมเหนื่อย
ดังนั้น การเหน็ดเหนื่อย จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทุกชีวิต

ข. พระเยซูยอมเหนื่อย ยอมตาย เพราะรักมนุษย์ทุกคน
สิ่งที่พระเจ้าต้องเหนื่อย ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างสรรพสิ่งให้กับมนุษย์เท่านั้น
แต่พระเยซูคริสต์ ต้องยอมเหนื่อย ยอมตายเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ทุกคน เพราะความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นั่นเอง
อสย.53:3-6             ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่า ท่านถูกตี คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจแต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลายท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้ง หลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่านที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี
ฮบ.12:2                  หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -2-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เราทุกคนเป็นสุขอยู่ได้ พ้นนรกได้ พ้นมารได้ ก็เพราะพระเยซูยอมทนทุกข์ และยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อเรา
เราหายเจ็บ เพราะพระเยซูทรงเจ็บแทน เรามีความสุข เพราะพระเยซูทรงทนทุกข์แทนเรา
ความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ ก็เหมือนความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
พ่อแม่ยอมทุกข์ได้ เพื่อความสุขของลูก พ่อแม่ยอมเหน็ดเหนื่อยได้ เพื่ออนาคตและความมั่นคงของลูก

ค. เปาโล ยอมเหน็ดเหนื่อย เพราะรักคริสตจักร
เปาโล เป็นตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ยอมเหน็ดเหนื่อย เพื่อผู้เชื่อ เพื่อคริสตจักร เพื่อพระเจ้า
ท่านประกาศ สั่งสอน เตือนสติทุกคน เพราะเป็นหน้าที่ๆ พระเจ้าทรงมอบหมายให้สร้างลูกของพระเจ้า
หลายคนที่ไม่ได้ทำงานฝ่ายวิญญาณ อาจจะไม่เข้าใจว่าการเลี้ยงดูและการอภิบาลฝ่ายวิญญาณเป็นงานหนักมาก
กว่าคนหนึ่งจะเติบโตขึ้น พ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ ต้องใช้ความอดทนอดกลั้น และต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
บ่อยครั้งมีตา แต่ต้องทำเป็นมองไม่เห็น มีหู แต่ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน ... ในสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้องของแกะ
ให้โอกาสและรอเวลาที่เขาจะเติบโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ
นี่เป็นพระวจนะบางส่วนที่เปาโล ระบายความในใจว่าต้องเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนในการทำงาน
แต่ท่านยอมได้ เพราะรักผู้เชื่อ รักคริสตจักร และรักพระเจ้า
กท.4:19                  ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
คส.1:28-29             พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์ เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาห เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่
1ธส.2:9                   ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน

ง. อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ต้องเหน็ดเหนื่อย ทำงานหนักเพื่อร่างกายที่ดี
ไม่เพียงแต่ตัวอย่างที่เป็นบุคคลที่ยกขึ้นมาให้เห็นว่าทุกชีวิตต้องเหนื่อยเท่านั้น
ถ้าเราจะเปรียบเทียบกับภาพในร่างกาย ... อวัยวะทุกส่วนก็ต้องทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อย
เพื่อจะมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ หัวใจต้องเต้น สมองต้องคิด เลือดต้องสูบฉีด
เพื่อจะให้ชีวิตดำเนินอยู่ต่อไป อวัยวะต่างๆ จึงไม่สามารถที่จะหยุดการทำงานได้ ต้องเหนื่อยกันต่อไป

จ. ทุกความสำเร็จ มีความลำบาก มีปัญหา มีความเหน็ดเหนื่อย
หลักการเกี่ยวกับความสำเร็จและความลำบากที่ข้าพเจ้าชอบหยิบยกมาใช้บ่อยๆ คือ
ความสำเร็จ กับ ความลำบาก เป็นของคู่กัน
ถ้าเราประสบความสำเร็จ โดยปราศจากความลำบาก ... แสดงว่า มีคนลำบากมาก่อนหน้าเรา
ถ้าเราประสบความลำบาก โดยปราศจากความสำเร็จ ... แสดงว่า คนที่มาหลังเราจะพบความสำเร็จ
นี่เป็นแก่นชีวิต เป็นกฎของความจริงที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
เช่น ลูกๆ รับมรดกจากการทำงานหนักของพ่อแม่ (เขาไม่ได้ทำอะไร แต่เพราะพ่อแม่เขาทำเอาไว้) เป็นต้น

1.2 ความเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ ความบาป ทุกข์หรือเวรกรรม
แก่นชีวิตอีกประการที่เราต้องเข้าใจและเข้าให้ถึง นอกเหนือจากทุกชีวิตต้องเหนื่อยแล้ว
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -3-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

จำไว้ว่า ความเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ ความบาป ความทุกข์ หรือเวรกรรม
แต่ความเหน็ดเหนื่อย เกิดจากความรับผิดชอบ และเป็นเรื่องปกติของชีวิตที่ปกติ
ดังนั้น เมื่อเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อไร อย่าให้มารมาหลอกล่อความคิดของเราได้
ว่าเราเหนื่อย เพราะเราทำบาป เราเหนื่อยเพราะเป็นเวรกรรม
ใครก็ตามที่คิดเช่นนั้น จะไม่มีวันได้หายเหนื่อย และไม่มีวันได้ลิ้มรสความสุข

1.3 สาเหตุที่เราเหนื่อยไม่หยุด ทุกข์ไม่เลิก คือ ความบาปและความโลภ
ความเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ ความบาป ... แต่ความบาปต่างหากที่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย
เมื่อไรก็ตามที่เราเหน็ดเหนื่อยและมีความทุกข์ไม่สิ้นสุด
ลองพิจารณาหาสาเหตุดูว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดจากความบาปหรือความโลภในชีวิตของเราหรือไม่
ปญจ.4:6-8              ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการงานตรากตรำสองกำมือและการกินลมกินแล้ง แล้วข้าพเจ้าเห็นอนิจจังภายใต้ดวงอาทิตย์อีก คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาทำการงานไม่หยุดหย่อน ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า "ข้าตรากตรำทำงานและตัวข้าอดๆอยากๆเพื่อผู้ใด" นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์
ความบาปและความโลภ สนับสนุนให้เราเหนื่อยเปล่า เหมือนวิ่งจับลม ไม่ได้อะไรเลย
พระเจ้ากำลังเตือนสติลูกของพระองค์ วันนี้ถ้าเราจะเหน็ดเหนื่อย ขอให้เหน็ดเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
ไม่ใช่เหนื่อยเพราะบาปหนักหรือมีความโลภอย่างหนัก

2. เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้ ... ต้องมาหาพระเจ้า
สำหรับมนุษย์นั้น ลำพังการหายเหนื่อย ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว
แต่พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น คือ หลังจากที่เราหายเหนื่อยแล้ว เราจะเป็นสุขด้วย
สำคัญที่เราต้องทำตามขบวนการของพระเจ้า นั่นคือ มาหาพระองค์
แล้วพระเจ้าเองจะทำให้เราทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข
มธ.11:28                 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

2.1 มาหาพระเจ้า คือ มีพระเจ้าเป็นเจ้านาย เจ้าของชีวิต
ชีวิตของเราจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ต้อง มาหาพระเจ้า
คือ มีพระเจ้าเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของชีวิต และเป็นพระเจ้าเที่ยงแต่แต่องค์เดียว
ยน.17:3                  และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา
ถ้าเรามาหาพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิต เป็นเจ้านายเจ้าชีวิตของเรา
พระเจ้าจะถือว่าเราเป็นเหมือนตึกและไร่นาของพระองค์
1คร.3:9                   เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
เราลองคิดถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในโลกนี้ ย่อมได้รับการบำรุงและดูและเป็นอย่างดีฉันใด
ทรัพย์สินของพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ จะรับการดูแลมากฉันนั้นชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย
พระเจ้าจะสร้างชีวิตของเราให้เป็นตึกที่สวยและสง่างาม และจะสร้างชีวิตของเราให้เป็นไร่นาที่อุดมสมบูรณ์
เหตุนี้แหละที่ทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุขได้


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -4-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

2.2 มาหาพระเจ้า หมายถึง ทำตามคำสอนของพระองค์
หลายคนตีความคำว่า มาหาพระเจ้า คือ มาขอเงิน มาขอพร ... ที่จริงก็สอนไม่ผิด แต่เป็นการสอนที่ไม่ครบ
มาหาพระเจ้า คือ ต้องมารับคำสอน มารับการดูแล และมาทำตามคำสอนของพระองค์
คำสอนของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เพียงแค่ฟังไพเราะหรือเพลินเท่านั้น
แต่เราต้องนำเอาไปปฏิบัติตามด้วย ใครที่รับเอาคำสอนของพระเจ้ามาปฏิบัติ ล้วนได้รับพระพร
ไม่เพียงรับพระพรเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งหมดที่เรามี ไม่ใช่ของเรา เราเป็นเพียงผู้ดูแลเท่านั้น คิดได้อย่างนี้ ก็ไม่ยึดติด เมื่อไม่ยึดติด ก็ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์

ตัวอย่างในการนำคำสอนไปปฏิบัติ
ก. สดด.1:1-3          ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญ ขึ้น
พระวจนะตอนนี้ เป็นตัวอย่างที่เมื่อนำไปปฏิบัติ จะนำชีวิตเราไปสู่ความสำเร็จที่งดงาม
(1) ชำระชีวิต ... รอบตัวเราต้องมีแต่ความชอบธรรม ไม่ใช่เต็มด้วยความอธรรมหรือคนอธรรม
จำไว้ว่ารอบตัวเราเป็นอย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าตัวเราเป็นอย่างนั้น
(2) ชำระความคิด ... สิ่งที่ชำระความคิดมนุษย์ได้อย่างหมดจด คือ การตรึกตรองในพระวจนะของพระเจ้า
หลายข้อเราทำไม่ได้ แต่ให้อธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า ค่อยเป็นค่อยไป ทำไปทีละข้อ
(3) ลงมือทำตามคำสอน ... คำสอนของพระเจ้าเปรียบเหมือนริมธารน้ำ
เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี สนับสนุนให้เราเกิดผล เติบโตก้าวหน้า ชีวิตไม่เหี่ยวแห้ง มีแต่ความสุขความเจริญ
(4) มีพระเจ้าคอยอวยพรเพิ่มเติมให้
จุดเด่นของคริสเตียน คือ เรามีพระเจ้าอวยสนับสนุนและอวยพร
พระพรที่พระเจ้าประทานให้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น
มธ.6:33                   แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระเจ้าจะทรง เพิ่มเติม ให้ หมายถึง เราต้องมีอยู่แล้วบางส่วน
เช่น ความดีเราต้องมี ความชอบธรรมเราต้องมี ความขยันเราต้องมี ความเข้าใจเราต้องมี
แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้เรามีมากกว่าที่เรามี และมากกว่าที่เราจะเป็นได้
นอกจากนี้ การแสวงหาพระเจ้าก่อน คือ การทำอย่างถูกต้อง ทำอย่างชอบธรรม และทำอย่างสุดกำลัง
ที่เกินกำลังของพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นผู้จัดเตรียมให้
ถ้าเรานำเอาพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ ขอให้มั่นใจได้เลยว่า ชีวิตเราจะหายเหนื่อยและเป็นสุข

ข. ลก.12:15            แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า "จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย"
1ทธ.6:7-8               เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้นแต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด
เราสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขและหายเหนื่อยได้ ถ้าไม่เอาชีวิตไปแขวนอยู่กับของฟุ่มเฟือย
คนสมัยโบราณ ไม่ได้มีแก้วแหวนเงินทอง หรือเครื่องประดับมากมายเหมือนปัจจุบัน เขายังอยู่กันมาได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -5-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

แต่เวลานี้หลายคนกลับอยู่ไม่ได้หากไม่มีของฟุ่มเฟือย ... โง่หรือฉลาด เราต้องถามตัวเอง
เราต้องเอาคำสอนของพระเจ้ามาปฏิบัติ เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างพอเพียง รู้จักพอ รู้จักอิ่มในสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
ไม่ทำอะไรเกินตัว แล้วสุดท้าย เราจะมีเหลือ มีพอ

ค. รม.14:17            เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
แผ่นดินของพระเจ้า คือ แก่นสารชีวิตของมนุษย์
ที่สุดของคน คือ สันติสุข ... มีบ้านใหญ่ไปทำไม ถ้าคนในบ้านไม่มีความสุข
แก่นสารของชีวิต คือ คน คือ ความสุข ไม่ใช่วัตถุภายนอก
เราจะมีสันติสุขได้ ก็ต่อเมื่อเรามีองค์สันติราชและคำสอนของพระองค์อยู่ในชีวิต
ถ้าเราเข้าถึงแก่นของชีวิตได้ เราก็มีความสุขได้

ง. 1ปต.5:7              จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย
ความสุขยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่ได้ขึ้นกับเราได้รับอะไร แต่ขึ้นกับเราปล่อยวางอะไร
การยึดติดหลายอย่างทำให้เราเจ็บปวด หากอยากจะมีความสุข พระวจนะจึงสอนให้เรารู้จักปล่อยวาง
เช่น ปล่อยวางหัวโขนที่เราแบกไว้จนหนัก, ปล่อยวางการเอาชนะคะคานกันบ้าง
ปล่อยวางความเจ็บปวดที่ค้างคาใจมาเป็นเวลานาน คิดอย่างพระคัมภีร์ คือ อภัยไม่มีสิ้นสุด
เราทำไม่ได้ แต่พระเจ้าทำได้ ละไว้กับพระองค์ ... อย่าแบกไว้ให้หนัก
ถ้าทุกคนยึดสิ่งเหล่านี้ ยึดคำสอนของพระเจ้าได้ ก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างแท้จริง

2.3 มาหาพระเจ้า หมายถึง การอยู่กับพระเจ้าตามลำพัง
การอยู่กับพระเจ้าตามลำพัง ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการเก็บตัวและตัดขาดจากโลก แต่เป็นการมีเวลาเฉพาะเจาะจงกับพระเจ้า
การอยู่กับพระเจ้าตามลำพัง ถ้าเปรียบกับศาสนาอื่น ก็เหมือนกันการทำสมาธินั่นแหละ
แต่สำหรับคริสเตียนมันมากกว่านั้น เพราะเราได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า

ก. พระวจนะเกี่ยวกับการอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า
พคค.3:28               ให้เขานั่งเงียบๆ อยู่แต่ลำพัง เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง
อยู่ลำพัง คือ อยู่กับพระเจ้า ปลีกตัวจากความสับสนวุ่นวาย
พระเจ้าจะทำให้เราคิดได้ พระองค์จะทำให้เรามีสติ รู้ว่าอะไรที่เราทำได้ อะไรที่เราทนได้

โยบ.3:13                                ถ้าหาไม่แล้ว ข้าจะนอนเงียบสงบอยู่ ข้าจะหลับ แล้วข้าจะได้หยุดพักอยู่
โยบ.13:5                                โอ ท่านน่าจะนิ่งเสีย และความนิ่งนั้นจะเป็นสติปัญญาของท่าน     
การนิ่ง ทำให้เราเกิดสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนิ่งกับพระเจ้า พระองค์จะประทานพระปัญญาของพระองค์ให้เรา

สดด.39:2-3            ข้าพเจ้าก็เป็นใบ้เงียบไป ข้าพเจ้านิ่งเงียบแต่ไม่สำเร็จ ความทุกข์ใจของข้าพเจ้ารุนแรงขึ้น จิตใจข้าพเจ้าร้อนอยู่ภายในข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรำพึงอยู่นั้นไฟก็ลุก ข้าพเจ้าจึงพูดด้วยลิ้นของข้าพเจ้าว่า
การที่เราไม่นิ่ง ไม่เงียบ ความทุกข์จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ภายในลุกเป็นไฟ
สภษ.10:19              การพูดมากก็จะสะสมการทรยศ แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้หยั่งรู้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -6-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สภษ.11:12              บุคคลที่เหยียดเพื่อนบ้านของตนย่อมขาดสามัญสำนึกแต่คนที่มีความเข้าใจก็ยังนิ่งอยู่
สภษ.17:28              ถึงคนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่าเป็นคนฉลาด เมื่อเขาหุบริมฝีปากของเขาก็นับว่าเขามีความคิด

ข. ตัวอย่างบุคคลที่รู้จักเงียบ นิ่งตามลำพัง ส่งผลให้ชีวิตเป็นสุขและมีพลัง
การนิ่งสงบ เป็นการพักเพื่อเริ่มต้นใหม่อย่างมีพลัง มีตัวอย่างมากมายที่สนับสนุนให้เราทำเช่นเดียวกันนั้น
(1) พระเยซูอยู่สงบตามลำพังกับพระเจ้าเสมอ
มธ.14:23                 และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกลง พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว
แม้พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์เองยังทรงต้องมีเวลาหยุดพัก เพื่อเติมกำลัง
เราเองก็เช่นกัน ถ้าเหน็ดเหนื่อยนัก ก็ให้พักอยู่กับพระเจ้า
(2) โมเสสอยู่กับพระเจ้าตามลำพังเสมอ
โมเสสนั้นอยู่กับพระเจ้าเสมอ และเคยอยู่สูงสุดนานถึง 40 วัน (อพย.24:12-18)
การอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า พระองค์จะเสริมพลัง ปัญญา และเราเองจะรับการพักฟื้น
(3) บุคคลผู้ประสบความสำเร็จ จะมีนิสัยอยู่ตามลำพัง โดยเฉพาะต้องเผชิญการตัดสินใจที่สำคัญ
การอยู่ตามลำพัง ช่วยทำให้ตัดสินใจถูกต้อง
(4) อริสโตเติล กล่าวว่า ความสุขแฝงอยู่ในยามว่าง โสเครติส กล่าวว่า เวลาว่างเป็นสิ่งงดงาม
แต่ในมุมกลับสำหรับคนโง่ ยามว่างเป็นความตายอีกรูปแบบหนึ่งของมนุษย์
ว่างมากก็กิน เที่ยว เล่น เสพ ผลาญเวลาอันมีค่าไปกับเรื่องไร้สาระ
การใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่าที่สุด คือการใช้อยู่ตามลำพังกับพระเจ้า

3. เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้ ... ต้องเอาแอกแบกไว้
มธ.11:29-30           จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
การหายเหนื่อยและการเป็นสุขสำหรับคริสเตียนไม่ได้มีเพียงด้านเดียวที่เราพึ่งพาพระเจ้า
อีกด้านที่เราต้องทำควบคู่กันไป คือ เอาแอกของพระองค์แบกไปด้วย
กล่าวคือ คริสเตียน ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ และทำสิ่งที่มีคุณค่า สิ่งนี้จะสร้างความสุขอย่างถาวรในชีวิต

3.1 ชีวิตคริสเตียนต้องเป็นรถ 3 ล้อ
ลก.9:23                  พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
คริสเตียนผู้ติดตามพระเจ้า จะต้องแบกกางเขนของตัวเองตามพระเจ้า และต้องตามอย่างมีสมดุลในชีวิตด้วย
ก. ล้อหน้าสุด คือ พระเจ้า
ในชีวิตของเราพระเจ้าต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ นั่นจึงจะทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข
พระเจ้ามาก่อน คือ คุณธรรมมาก่อน ความชอบธรรมมาก่อน ใครทำได้ชีวิตก็มีความสุขได้

ข. ล้อหลังด้านขวา คือ ครอบครัว
คนที่รักพระเจ้า จะต้องเป็นคนที่รักครอบครัวของตัวเอง
คนที่ไม่รักและไม่ดูแลครอบครัวของตัว แสดงว่า ไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 เม.ย. 2010 รอบเช้า                                          -7-                                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ถ้าคนในครอบครัวเขายังดูแลไม่ได้ ในชีวิตนี้เขาจะดูแลใครได้
1ทธ.5:8                  ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก

ค. ล้อหลังด้านซ้าย คือ การงาน
กางเขนที่เป็นรูปธรรม คือ หน้าที่การงานของเรา เราต้องรับผิดชอบและทำอย่างดีที่สุด
ลูกพระเจ้าต้องมีความรับผิดชอบ เป็นเกลือและแสงสว่างอย่างแท้จริง
มธ.5:13-16             ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้นท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

3.2 สูงสุดของแอกที่เราแบก คือ การให้ออกไปไม่มีสิ้นสุด
2คร.9:8-9               และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์
การให้ออกไป ทำให้เราได้รับกลับมา ... ถ้าเรายอมแพ้ เราจะได้รับชัยชนะ
นี่คือหลักการของพระเจ้า ถ้าชีวิตเราเต็มไปด้วยการให้ และให้อย่างไม่มีสิ้นสุด
เราเหนื่อย ก็จะหายเหนื่อยได้ และเต็มใจที่จะเหนื่อย เพื่อชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น