วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์ ” จาก “ลก.1:5-25, 57-66”

ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -1-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เรื่อง ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์ จาก ลก.1:5-25, 57-66

ลก.1:5-13               ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดียมีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรนเขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลยแต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้วขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชาส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอยู่ภายนอก ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้นทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชาเมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัวแต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น               
พระวจนะในตอนนี้บันทึกเรื่องราวของเศคาริยาห์ ผู้ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้า ท่านและภรรยามีชีวิตที่ชอบธรรมจำเพราะพระพักตร์พระเจ้า ท่านได้พบทูตสวรรค์ที่นำข่าวดีจากพระเจ้ามาบอกกับท่านว่า พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานและจะประทานบุตรชายให้ ในขณะที่ท่านก็แก่ชรา อีกทั้งภรรยาก็เป็นหมัน ...
เรื่องราวของท่านที่ได้พบพระเจ้า และท่าทีที่ท่านมีต่อพระเจ้า ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราอย่างไร?

ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์
1. ชีวิตของเศคาริยาห์ สอนให้เรารู้ว่า ทุกชีวิตล้วนมีปัญหาและข้อบกพร่อง
ลก.1:5-7                 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดียมีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว
จากพระวจนะตอนนี้ ทำให้เราเห็นว่า ...
- เศคาริยาห์ เป็นคนที่มีชาติตระกูลดี อยู่ในตระกูลอาโรน ตระกูลปุโรหิต
ความเชื่อของท่านต้องดี ชีวิตของท่านต้องดี พระวจนะของพระองค์รับรองชีวิตเศคาริยาห์
- เศคาริยาห์ และภรรยา เป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า
หลายคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่ไม่ได้ชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า
แต่สำหรับเศคาริยาห์ พระเจ้ารับรองว่าท่านชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า
ถ้าชีวิตของผู้ใดชอบธรรมต่อพระเจ้า ก็ย่อมชอบธรรมต่อมนุษย์ เศคาริยาห์เป็นหนึ่งในนั้น
- เศคาริยาห์ ดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเจ้า ไม่มีที่ติเลย
ภาพรวมในชีวิตของท่าน เป็นคนที่ปราศจากตำหนิในทุกกรณี

แม้ว่าเศคาริยาห์ จะมีชีวิตที่ดีและปราศจากตำหนิ แต่ชีวิตของท่านก็ยังมี ปัญหา
ปัญหาของเศคาริยาห์ คือ ไม่มีบุตร
ลก.1:7                    แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว
ชีวิตของเศคาริยาห์ สอนให้เรารู้ว่า ทุกชีวิตล้วนมีปัญหาและข้อบกพร่อง
ปัญหาการไม่มีบุตรหรือปัญหาความบกพร่องด้านร่างกาย
ก็สืบเนื่องมาจากความบาปที่อดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรากระทำในสวนเอเดน
และเป็นผลที่มนุษย์ทุกคนต้องรับมาถึงปัจจุบัน
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -2-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ปฐก.3:17                พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่น ดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต

พระเยซูคริสต์เองก็ได้ตรัสแล้วว่า ในโลกนี้ เราต้องประสบความทุกข์ยาก
ยน.16:33                                เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
ในโลกที่เต็มด้วยความบาป โลกที่เต็มไปด้วยคำสาป โลกที่เต็มไปด้วยความบกพร่อง
มนุษย์ย่อมประสบกับปัญหาและความทุกข์ เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติชีวิต
แม้คนที่ดีที่สุดของโลก ก็หนีไม่พ้นปัญหา ... ทุกชีวิตมีจุดอ่อน มีข้อบกพร่องและมีรอยด่างของชีวิตทั้งสิ้น
แต่ปัญหานั้นก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสมอไป
พระเจ้าให้เกิดปัญหาขึ้น เพื่อเราจะตระหนักได้ว่า เราไม่ใช่คนวิเศษอะไร
พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้จักที่จะถ่อมใจและอ่อนน้อมถ่อม
กล้ายอมรับในความจำกัดของตัวเอง เพื่อเราจะได้รับพระคุณและพระเมตตาจากพระเจ้า

2. ในสมัยก่อน ปุโรหิตเท่านั้นจึงจะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ แต่สมัยนี้ เราทุกคนเป็นปุโรหิตที่สามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้
ลก.1:8-10               ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชา ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอยู่ภายนอก ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น
ในสมัยพันธสัญญาเดิม ประชากรจะมาอธิษฐานกับพระเจ้าในวิหารเท่านั้น
และในวิหาร จะมีการอธิษฐาน 3 ชั้น คือ
1) ชั้นนอก (ด้านนอก) สำหรับประชาชนธรรมดา
2) ห้องชั้นใน สำหรับปุโรหิต
3) ห้องชั้นในสุด (อภิสุทธิสถาน) สำหรับมหาปุโรหิตเท่านั้น และเข้าไปได้เพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น
เศคาริยาห์ เป็นปุโรหิต จึงรับสิทธิพิเศษในการอธิษฐานในห้องชั้นใน ในขณะที่ประชาชนอยู่ได้เพียงด้านนอกเท่านั้น

แต่ในสมัยพันธสัญญาใหม่และเดี๋ยวนี้ ผู้เชื่อทุกคนสามารถอธิษฐานเข้าเฝ้าพระเจ้าได้เป็นการส่วนตัว
เราไม่จำเป็นต้องไปวิหารเพื่อการอธิษฐาน เพราะพระเยซูตรัสว่า ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า
ผู้เชื่อสามารถอธิษฐานและเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทุกที่ด้วยตัวเอง
1คร.6:19                 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
ผู้เชื่อทุกคน สามารถอธิษฐานและนมัสการพระเจ้าในอภิสุทธิสถานได้เลย ... นี่คือ พระคุณของพระเจ้า ...
เรารับพระคุณนี้ได้ เพราะวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่กางเขน
ม่านในวิหารได้ขาดเป็นสองท่อนตั้งแต่บนจรดล่าง
หมายความว่า อะไรที่ผูกมัด ขัดขวาง อะไรที่กั้นระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระองค์ได้ทรงทำลายไปหมดสิ้นแล้ว
ที่กางเขนของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนจึงสามารถเข้าเฝ้าพระบิดาได้เป็นการส่วนตัว
มธ.27:50-51           ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน

ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -3-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

1ปต.2:9                  แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์                         
เมื่อก่อนปุโรหิตเท่านั้น จึงจะสามารถถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าได้
แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าเรียกผู้เชื่อทุกคนว่าเป็น พวกปุโรหิตหลวง เราสามารถถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าได้โดยตรง
ทุกครั้งที่เราเข้าเฝ้าพระเจ้า อธิษฐานและนมัสการ เราคือปุโรหิตของพระองค์
ดังนั้น ในการอธิษฐานและนมัสการจำเพาะพระเจ้า เราจึงไม่สามารถทำอะไรเล่นๆ ได้ แต่ต้องทำด้วยความยำเกรง

มธ.18:20                 ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น
เมื่อเราอธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ พระองค์จะอยู่ท่ามกลางเรา
พระเจ้าไม่ได้อยู่ในวิหารเท่านั้น แต่พระเจ้าจะอยู่กับทุกคนที่ออกพระนามของพระองค์
ถ้าเราอธิษฐานและนมัสการด้วยความเข้าใจ เราจะรับพระพรจากพระองค์

วว.8:3-4                  และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำออกมายืนอยู่ที่แท่น พระเจ้าได้ทรงประทานเครื่องหอมเป็นอันมากแก่ทูตองค์นั้น เพื่อให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวงบนแท่นทองคำ ที่อยู่หน้าพระที่นั่งนั้นและควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
ทุกครั้งที่เราอธิษฐานและนมัสการ เป็นการที่เราถวายเครื่องหอมบูชาแด่พระเจ้า
เราต้องใช้สายตาฝ่ายวิญญาณมองให้เห็นภาพนี้ เมื่อเราอธิษฐานกับพระองค์
ความคิด ความผูกพัน การระลึกถึงพระเจ้า จะเป็นเครื่องหอมของเราลอยไปจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
และพระองค์จะทรงเทพระพรกลับลงมายังชีวิตของผู้ที่อธิษฐานนั้น

3. เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า จะไม่มีใครกลับออกมามือเปล่า
ลก.1:11-13             ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น
เมื่อเศคาริยาห์ ได้ถวายเครื่องหอมบูชาแด่พระเจ้า ทูตสวรรค์ของพระองค์ก็มาปรากฏแก่ท่าน
เศคาริยาห์ อธิษฐานและพระเจ้าทรงฟัง
เป็นบทเรียนที่สอนชีวิตคริสเตียนว่า เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า จะไม่มีใครกลับออกมามือเปล่า
ถ้าเราเข้าเฝ้าพระเจ้า เราจะพบกับพระองค์ ถ้าเราปล้ำสู้ในการอธิษฐาน เราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์
ปฐก.32:26-28        บุรุษนั้นจึงว่า "ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว" แต่ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจาก ท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า" บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า "เจ้าชื่ออะไร" ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ" บุรุษนั้นจึงว่า "เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล {แปลว่า เขาผู้ปล้ำสู้กับพระเจ้า หรือพระ เจ้าทรงปล้ำสู้} เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ"
ยาโคบ ปล้ำสู้ในการอธิษฐาน จนสามารถรับพระพรจากพระเจ้าได้
ในการอธิษฐานและเข้าเฝ้าพระเจ้านั้น เราจำเป็นต้องมีการปล้ำสู้
ปล้ำสู้อันดับแรก คือ การปล้ำสู้กับตัวเอง
มารซาตานจะพยายามหยุดยั้งและขัดขวางเราทุกทางไม่ให้อธิษฐานกับพระเจ้า
เพราะการอธิษฐาน การนมัสการ นำมาซึ่งพลังและฤทธิ์เดชของพระเจ้าในการทำลายกิจการของมาร
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -4-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

สดด.20:2                ขอพระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือมาจากสถานนมัสการและให้ความสนับสนุนท่านมาจากเมืองศิโยน
ที่ไหนมีการนมัสการ ที่นั่นมีการทรงสถิตของพระเจ้า
การนมัสการ เป็นการเชื้อเชิญให้พระเจ้ามาสถิตกับเรา เมื่อพระเจ้าประทับอยู่ด้วย พระพรก็อยู่กับเราด้วยเช่นกัน

เมื่อพระเจ้ามาปรากฏ พระองค์จะทรงนำพระพรมาถึงเราเสมอ
พระพรของพระเจ้านั้น อาจจะไม่ใช่ทรัพย์สินหรือวัตถุที่เราปรารถนา
แต่พระพรเป็นความเข้าใจ เป็นสติปัญญา เป็นความชื่นชมยินดีและเป็นการปกป้องจากสวรรค์
ในกรณีของเศคาริยาห์ พระพรที่พระเจ้านำมาพร้อมกับการปรากฏของทูตสวรรค์ คือ สัญญาว่าท่านจะมีบุตร
ลก.1:11-13             ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น
ลักษณะของบุตรที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้เศคาริยาห์ เป็นดังนี้
ลก.1:14-17             ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมาเพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่ครรภ์มารดาเขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลายเขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า"
ไม่เพียงแต่เศคาริยาห์เท่านั้นที่จะได้รับพร ได้รับคำตอบจากพระเจ้า
ผู้ใดที่เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความเข้าใจ ก็จะรับพระพรจากพระองค์เช่นกัน

4. ผู้ใดที่รับพรจากพระเจ้ามาก ก็ย่อมรับวินัยจากพระองค์มากเช่นกัน
ชีวิตของเศคาริยาห์ สอนเราในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนย่อมมีความทุกข์
ทั้งด้านการหนุนน้ำใจเราว่าพระองค์ทรงฟังและพระองค์ทรงพร้อมจะตอบคำอธิษฐานของเราเสมอ
และในอีกด้านหนึ่ง คือ การระมัดระวังที่จะยำเกรงพระเจ้า
ผู้ใดรับพระพรจากพระเจ้ามาก ก็จะต้องรับวินัยจากพระเจ้ามากเช่นกัน
ผู้ใดรับเกียรติมาก ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นด้วย ผู้ใดรับตำแหน่งสูง วินัยก็ยิ่งต้องเข้มข้นขึ้น
เศคาริยาห์ เป็นปุโรหิตที่จะนำคนเข้าเฝ้าพระเจ้า สอนให้ประชาชนเคารพยำเกรงพระองค์
ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ... แต่เมื่อพระเจ้าทรงตอบ ท่านกลับมีความสงสัย ไม่วางใจในพระองค์ ...
ลก.1:18                  เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า "ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว"
อธิษฐานกับพระเจ้ามาตลอด แต่เมื่อพระเจ้าตอบ กลับไม่เชื่อ

ท่าทีเช่นนี้ ทำให้ท่านถูกลงวินัยจากพระเจ้าทันที
ลก.1:19-20             ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า "เราคือ กาเบรียล ซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่หน้าพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง นี่แน่ะ เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเราถึงเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นตามกำหนด ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะสำเร็จ"
ทูตสวรรค์ที่มาปรากฏไม่ใช่เป็นทูตสวรรค์ธรรมดา แต่เป็นกาเบรียล ทูตสวรรค์ระดับสูงสุดของพระเจ้า
ทั้งๆ ที่เศคาริยาห์ ได้เห็นทูตสวรรค์นั้นด้วยตาของตัวเอง ยังมีความสงสัย
พระเจ้าจึงต้องลงวินัย ให้เขาเป็นใบ้จนกระทั่งเหตุการณ์เหล่านั้นจะสำเร็จ
นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำลังสอนเรา รับพรมาก ก็ต้องรับวินัยมากเช่นกัน
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -5-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

หลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนเศคาริยาห์ มั่นใจในขณะที่อธิษฐาน
แต่หลังจากที่อธิษฐานจบไปแล้ว กลับคิดในใจว่า จะได้ตามที่ขอหรือไม่?”
ขอมาตั้งนาน แต่พระเจ้าตอบกลับไม่เชื่อ ... เราเองต้องระวังท่าทีเช่นนี้ไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะรับการลงวินัยเช่นกัน
พระเจ้าที่เราอธิษฐานนั้น เป็นพระเจ้าที่ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
เราจะมาล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ ต้องยำเกรงสถานเดียวเท่านั้น

5. พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ ในการตอบคำอธิษฐานของเรา
ลก.1:21-25             ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์ก็ประหลาดใจเพราะท่านอยู่ในพระวิหารช้านาน เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับเขาไม่ได้ คนทั้งหลายจึงหยั่งรู้ว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร ท่านใช้ใบ้กับเขา และยังเป็นใบ้อยู่ เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับไปบ้าน  ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า  "พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย"
พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าเศคาริยาห์และภรรยาของท่านอธิษฐานกับพระเจ้านานเท่าใดพระเจ้าจึงตอบ
แต่คงเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร เนื่องจากเศคาริยาห์ชราแล้วในขณะที่พระเจ้าตอบ
และเมื่อพระเจ้าตอบนั้น เศคาริยาห์และภรรยาก็ยังต้องรออีกระยะหนึ่งกว่าที่เหตุการณ์นั้นจะสำเร็จ

ในเรื่องดังกล่าวนี้ พระเจ้าก็ให้ข้อคิดกับเราเช่นกัน
พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ในการตอบคำอธิษฐานของเรา
พระเจ้าต้องการฝึกให้เรามีวินัยชีวิต ต้องเรียนรู้จักที่จะรอคอย
ต้องให้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่เป็นไปตามใจของตัวเอง
ที่สำคัญ พระเจ้าสอนให้เราให้เกียรติพระองค์ ... พระเจ้ามีเวลาที่เหมาะสมในการประทานสิ่งต่างๆ ให้เรา

การที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานเรื่องใด กับใคร เงื่อนไขที่สำคัญ คือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ตราบใดที่เรายังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ เด็กฝ่ายคุณธรรม เราไม่สามารถรับพระพรที่ยิ่งใหญ่ได้
เพราะหากพระเจ้าให้มา แทนที่จะเป็น พร อาจจะกลายเป็น ภัย สำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้
ยน.3:27                  ยอห์น ตอบว่า "ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา
ไม่มีผู้ใดได้รับสิ่งใด นอกจากสวรรค์จะประทานให้
แต่ในขณะเดียวกัน สวรรค์จะประทานให้เราก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าเราสามารถดูแลรักษาสิ่งนั้นได้
กท.4:1-2                 ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์ จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้
เด็กก็ไม่ต่างจากทาส ไม่สามารถรับมรดกได้
เราจะรับมรดกจากพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อรับการสร้างให้เติบโตในทางของพระองค์

6. ความไม่เชื่อของมนุษย์ ไม่สามารถหยุดงานของพระเจ้าได้
ลก.1:18                  เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า "ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว" ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า "เราคือ กาเบรียล ซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่หน้าพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง นี่แน่ะ เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเราถึงเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นตามกำหนด ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะสำเร็จ"
ลก.1:24                  ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์...
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -6-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ความไม่เชื่อของมนุษย์ ไม่สามารถหยุดงานของพระเจ้าได้
แม้เศคาริยาห์ จะไม่เชื่อในสิ่งที่ทูตสวรรค์สำแดง แต่แผนการของพระเจ้าก็ไม่ได้ล้มเลิกไป
ในที่สุดนางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้
แผนการของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างไร จะเป็นไปอย่างนั้นเสมอ
ถ้าแผนการที่พระเจ้ากำหนดและพระองค์เลือกเราเป็นเครื่องมือในแผนการนั้น พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ
แต่หากเราไม่ยอมให้พระเจ้าใช้เป็นเครื่องมือ พระองค์จะผ่านเลยเราไปใช้ผู้นั้น ให้ทำแผนการนั้นสำเร็จจนได้

ลก.1:57-65             ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดบุตรเป็นชายเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระมหากรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วยครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดาฝ่ายมารดาจึงตอบว่า "ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น" เขาพากันตอบว่า "ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น"แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถามว่า ท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไรบิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า "ชื่อของบุตรคือ ยอห์น" คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก ในทันใดนั้นปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้าเพื่อนบ้านของท่านก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย
พระวจนะได้บันทึกถึงแผนการที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้
นางเอลีซาเบธ คลอดบุตรชายตามที่พระเจ้าสัญญา และเศคาริยาห์ ตั้งชื่อตามที่พระเจ้าสั่งว่า ยอห์น
หลังจากนั้นเศคาริยาห์ จึงสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งหมดยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า

7. ก่อนที่พระเจ้าจะเทพร เราต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน
ข้อคิดประการสุดท้ายที่เราได้จากชีวิตของเศคาริยาห์
คือ ก่อนที่พระเจ้าจะเทพรให้กับผู้ใด ผู้นั้นต้องผ่านการทดสอบจากพระองค์เสียก่อน
กว่าที่เศคาริยาห์และภรรยาจะรับพระพร พวกเขาต้องผ่านการทดสอบจากพระเจ้า
ลูกของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกคน ย่อมได้รับสิทธิพิเศษจากพระเจ้า พระองค์ตรัสสิ่งใด เราจะได้รับสิ่งนั้น
แต่พระเจ้าที่เต็มไปด้วยพระคุณมากมายนี้ ก็เต็มไปด้วยวินัยที่เข้มข้นมากเช่นกัน
เหมือนพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้ดี ก็จะต้องมีวินัยให้กับลูก
เมื่อพระเจ้าจะอวยพรใคร พระเจ้าต้องมั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะรับพระพรนั้นได้

7.1 เราจะผ่านการทดสอบได้ ต้องมีความเชื่อ
ฮบ.11:6                  แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์      
ความไม่เชื่อ เป็นการไม่ให้เกียรติพระเจ้า
เมื่อเราไม่ให้เกียรติพระเจ้า เราจึงไม่สามารถรับพระพรและผ่านการทดสอบได้


7.2 ความไม่เชื่อของเรา ส่งผลถึงคนรอบข้างด้วย
ลก.1:18                  เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า "ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว"
ลก.1:24-25             ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า "พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย"
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -7-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ความไม่เชื่อของเศคาริยาห์ ทำให้ภรรยาต้องรับความอับอายไปด้วย

ปฐก.3:17                พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า "เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่น ดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต
รม.3:23                   เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
การไม่เชื่อฟังของอดัมและเอวา ทำให้มนุษย์ทุกคนรับโทษของความบาป
ดังนั้น เมื่อเจอการทดสอบเราต้องระมัดระวัง เพราะการไม่เชื่อฟังของเรา
ไม่เพียงทำให้ตัวเองเท่านั้นต้องลำบาก แต่การไม่เชื่อฟังนั้นจะส่งผลกระทบไปยังคนรอบข้างเราด้วย

7.3 การไม่เชื่อฟัง ถือเป็นการละเมิดพระเจ้าอย่างรุนแรง
บางครั้งเราอาจจะคิดว่าการไม่เชื่อฟัง ไม่น่าจะมีผลกระทบกับชีวิตของเรามากนัก
แต่ในทัศนะของพระเจ้า การไม่เชื่อฟัง ถือเป็นการละเมิดพระองค์อย่างรุนแรง
เมื่อเราไม่เชื่อฟัง เราจึงถูกลงวินัยจากพระเจ้า
กดว.20:12              พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "เพราะเจ้ามิได้เชื่อเราจึงมิได้ถวายความศักดิ์สิทธิ์แก่เราต่อหน้าคนอิสราเอล เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจะมิได้นำคนที่ประชุมนี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา"
การไม่เชื่อฟังของโมเสส นำวินัยสูงสุดมาสู่ชีวิตของท่าน
เพียงแค่ท่าน ตีหิน แทนที่จะ พูดกับหิน อย่างที่พระเจ้าสั่ง ... พระเจ้าลงโทษทันที
เพื่อสอนให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เป็นแม่ทัพ เป็นจอมทัพในสงคราม
ในการปกครอง พระองค์มีกฎและกติกาของพระองค์ที่เราต้องกระทำตาม
การขัดคำสั่งหรือการไม่เชื่อฟัง ถือว่าละเมิดต่อพระเจ้า

ฉธบ.34:1-5            และโมเสสก็ขึ้นไปจากทุ่งราบโมอับถึงภูเขาเนโบถึงยอดปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเจ้าทรงสำแดงให้ ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน ทั้งนัฟทาลีทั่วหมด เห็นแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ ทั่วแผ่นดินยูดาห์ไกลไปถึงทะเลตะวันตก ทั้งเนเกบและที่ลุ่ม คือที่ลุ่มเมืองเยรีโค เมืองต้นอินทผลัมไกลไปจนถึงโศอาร์ และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า "นี่คือแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณต่ออับราฮัม ต่ออิสอัคและต่อยาโคบว่า "เราจะให้แก่พงศ์ พันธุ์ของเจ้า" เราให้เจ้าเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น" เหตุฉะนั้นโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับตาม พระดำรัสของพระเจ้า
โมเสส นำประชาชนออกมาจากอียิปต์ แต่ไม่มีโอกาสได้เข้าแผ่นดินที่พระเจ้าเตรียมไว้
ท่านทำได้แค่มองดูเท่านั้น ... วินัยของพระเจ้าแรงมาก เราต้องระวัง
แต่ให้เรารู้ว่า เหตุที่พระเจ้าต้องลงวินัย ก็เพราะปรารถนาให้เราเติบโตและไม่ทำผิดต่อพระองค์

7.4 การเชื่อฟัง เป็นเหตุที่ทำให้เรารับพรและผ่านการทดสอบจากพระเจ้า
ฟป.2:5-9                                ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือแต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขนเหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
ตัวอย่างของการเชื่อฟังอย่างดีที่สุด คือ พระเยซูคริสต์
พระองค์เชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา ยอมจนกระทั่งถึงความมรณาที่กางเขน
ข้อคิดจากชีวิตเศคาริยาห์                                                                   -8-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

แต่เพราะการยอมเชื่อฟังนั้นเอง ที่ทำให้พระเยซูคริสต์ได้รับการยกชูขึ้นเหนือนามทั้งปวง

ฉธบ.28:13              ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง
การเชื่อฟังและกระทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า จะทำให้เราเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง
พระพรจากพระวจนะ จะได้รับเมื่อเราปฏิบัติตามเท่านั้น
ทุกคนฟังพระวจนะ แต่น้อยคนพรจะสำเร็จตามนั้น ขึ้นกับการเชื่อฟังและกระทำตาม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชีวิตของเศคาริยาห์จะสอนชีวิตของเรา
อะไรที่ดีและถูกต้อง เราควรทำตามนั้น แต่อะไรที่เป็นความผิดพลาด เราก็เรียนรู้ไว้ที่จะไม่กระทำตาม
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรทุกท่าน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น