วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

“หลักคิด เกี่ยวกับ ความคิด 10 ประการ”

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -1-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

หลักคิด เกี่ยวกับ ความคิด 10 ประการ

หลักคิด เกี่ยวกับ ความคิด 10 ประการ
ความคิด เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ เพราะความคิด กำหนดชีวิต
คนเป็นอย่างที่เขาคิด ... คิดอย่างไร ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างนั้น
สำหรับลูกพระเจ้า ควรมีหลักคิดเกี่ยวกับความคิดดังนี้

1. ตระหนักว่า ความคิดของคนไม่เท่ากัน
หลักคิดประการแรกเกี่ยวกับความคิด คือ ต้องตระหนักว่าความคิดของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ความกว้าง ความลึก ความไกลของความคิดคนไม่เท่ากัน
และก่อนที่จะรู้ระดับความคิดของคนอื่น เราต้องรู้จักระดับความคิดของตนเองเสียก่อน
มธ.13:8                   บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
พระวจนะตอนนี้อธิบายให้เราเห็นภาพความแตกต่างของการเกิดผลในแต่ละคน
สามารถมาประยุกต์ใช้เกี่ยวกับความคิดได้เช่นกัน บางคนคิดได้แค่ 30 บางคนคิดได้ 60 บางคนคิดได้ 100
เหมือนการเรียนในชั้นเรียนทุกระดับ เรียนเรื่องเดียวกัน แต่ระดับคะแนนที่ได้แตกต่างกันตามความคิด
แม้ในการคิดได้ 30 หรือ 60 หรือ 100 เหมือนกัน ก็ยังมีความแตกต่างในรายละเอียด
การเก่งในบางเรื่อง อย่าเหมารวมว่าเราจะเก่งได้ทุกเรื่อง
ในทำนองเดียวกัน การไม่เก่งในบางเรื่อง อย่าคิดว่าเราจะไม่เก่งทุกเรื่อง
บางคนเก่งงาน แต่ไม่เก่งเรียน บางคนเก่งเรียน แต่ไม่เก่งคน ... ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
สำคัญที่เราต้องรู้กำลังความคิดของตัวเอง
บุคคลใดไม่รู้ตน บุคคลนั้นไม่ใช่ปราชญ์ เพราะปราชญ์จะรู้กำลังของตน  

อฟ.3:18-19             ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
พระคัมภีร์พูดถึงความรัก แต่เราสามารถประยุกต์ใช้เรื่องความคิดได้
ความกว้าง ความลึก ความละเอียดในความคิดแต่ละคนไม่เท่ากัน
บางคนลึกบางเรื่อง แค่แคบในบางเรื่อง กว้างบางเรื่อง แต่ตื้นบางเรื่อง เป็นธรรมดา
มนุษย์ทุกคนล้วนมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย แต่เราต้องค้นหาตัวเองและค้นหาผู้อื่นให้เจอ
เราต้องกล้าที่จะลืมตา ยอมรับความเป็นจริง แล้วเราจะเป็นปราชญ์และสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้
แต่คนที่หลับตา ไม่ยอมรับความจริง คนนั้นเป็นคนโง่

การยอมรับและเข้าใจเรื่องความแตกต่างในความคิด ตระหนักว่าความคิดคนไม่เท่ากัน
จะทำให้เราไม่ดูถูกหรือดูหมิ่นผู้อื่น ขณะเดียวกันก็ไม่เย่อหยิ่งคิดว่าตัวเองเก่งเกินไปด้วย
เราเรียนเก่ง อย่าคิดว่าจะเก่งทุกเรื่อง เพราะว่าชีวิตจริงกับตำราเรียนต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โลกกว้างจะทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เรารู้นั้นเล็กน้อยเหลือเกิน โลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายให้เราเรียนรู้
นอกจากนี้ ความเข้าใจโลก ยังทำให้เราสงบได้มากขึ้น ไม่โทษฟ้า ไม่โทษดิน ไม่โทษผี  ไม่โทษพระเจ้า
พันธุกรรมของแต่ละคนต่างกัน เราต้องยอมรับ และพัฒนาส่วนที่เรามีให้ดีที่สุดเกิดผลที่สุด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -2-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

2. ตระหนักว่า การเติบโตของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ไม่เพียงความคิดของแต่ละคนไม่เท่ากันเท่านั้น การเติบโตของแต่ละคนยังไม่เท่ากันด้วย
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือดวงดาวบางดวงก็ยังมีอีกดวงดาวอีกดวงเสมอ
หลักคิดของเรา คือ ต้องตระหนักว่าการเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ การมีวุฒิภาวะของแต่ละคนต่างกัน
อฟ.4:13                  จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
ระดับการเติบโต 3 ขั้นสำหรับคนของพระเจ้า คือ
1) โต 2) โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่  3) โตเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
นี่คือลักษณะการเติบโตที่แตกต่างกันของแต่ละคน ... บางคนรู้ว่าตัวเองยังไม่โต บางคนรู้ว่าตนเองโตในระดับหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเราเห็นผู้ใหญ่ด้านอายุหรือด้านตำแหน่ง อย่าคิดว่าทุกคนจะเติบโตหรือเก่งเหมือนกันหมด
นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง จะเอามาเทียบกับอีกประเทศหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นคนละคนกัน
ศิษยาภิบาลก็เช่นเดียวกันแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเอามาเทียบกันไม่ได้
คนเราจะเหมือนกันหมดไม่ได้ เพราะความเติบโตต่างกัน แต่ที่เหมือนกัน คือ เราทุกคนต้องเติบโตก้าวหน้าไม่มีสิ้นสุด
ถ้าเราเข้าใจความแตกต่างในการเติบโตนี้ เราจะอยู่ได้อย่างสงบและปราศจากการวิจารณ์
แต่จะเอาใจช่วยให้ทุกคนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในพระเจ้า
ใครที่บอกว่าตัวเองถึงที่สุดแล้ว คนๆ นั้นจะหยุดเติบโต  เมื่อหยุดเดิน หยุดก้าว ก็หยุดก้าวหน้า และหยุดก้าวไกล

ฟป.3:12                  มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
เปาโลได้เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ท่านมาไกลมาก เกิดผลมาก เติบโตมาก แต่ยังบากบั่นมุ่งไปเสมอ
จำไว้ว่าการขึ้นที่สูง เราต้องบากบั่น แต่การลงที่ต่ำไม่ต้องทำอะไรเลย ลื่นไหลลงได้ทันที
เมื่อใดที่เราหยุดคิด หยุดเรียน หยุดทำ เรากำลังเดินถอยหลังเมื่อนั้น
แต่การมุ่งมั่น ไม่หยุด ทำอย่างต่อเนื่อง แม้เราจะก้าวหน้าได้ทีละขึ้น แต่เราจะสูงขึ้นทุกวัน
คนที่เป็นผู้ใหญ่ในระดับใด หรือเติบโตในระดับใด เขาก็จะรู้ตัวเอง
1คร.14:32               วิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ
ผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่จะรู้ว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร และเราควรให้เกียรติหรือตามใคร
รม.13:7                   ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ ... ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ
หลักการของพระเจ้า สอนให้เราให้เกียรติทุกคนอย่างเหมาะสม เต็มที่ตามที่เขาควรจะได้รับ
การให้เกียรติอย่างเหมาะสมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการคนด้วย
เราจะตามใคร คนๆ นั้นต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องเติบโต และต้องนำเราได้
สภษ.10:13-14        ที่ริมฝีปากของผู้ที่มีความเข้าใจจะพบปัญญาแต่ไม้เรียวก็เหมาะสำหรับหลังของผู้ที่ขาดสามัญสำนึก ปราชญ์ก็ส่ำสมความรู้ไว้ แต่ปากของคนโง่นำความย่อยยับมาใกล้
สภษ.10:31              ปากของคนชอบธรรมนำปัญญาออกมา แต่ลิ้นของคนตลบตะแลงจะถูกตัดออก
คำว่าผู้ใหญ่ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ยศ ตำแหน่งหรืออายุ แต่เป็นวุฒิภาวะ ความเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ผู้ที่เป็นปราชญ์ จะไหลถ้อยคำที่มีสติปัญญาออกมา ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ก็จะมีผลงานอย่างผู้ใหญ่ออกมารองรับชีวิต


หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -3-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

บทสรุปของความเป็นผู้ใหญ่
เราจะรู้อย่างไรว่าใครเป็นผู้ใหญ่ระดับไหน ไม่ใช่ดูที่ใบปริญญาหรือตำแหน่งการงาน
แต่ดูที่ผลงานของคนๆ นั้น ว่า เขาสามารถเพิ่มเติมอะไรให้เราเราได้บ้าง?”
กท.2:6                    และจากพวกเหล่านั้นที่เขาถือว่าเป็นคนสำคัญ (เขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตาม ก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับข้าพเจ้าเลย พระเจ้ามิได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด)คนเหล่านั้นซึ่งเขาถือว่าเป็นคนสำคัญ ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ข้าพเจ้าเลย
เขาให้ข้อคิดเพิ่มเติมเราได้หรือไม่ ให้ความรู้เพิ่มเติมแก่เราได้หรือไม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่เราได้หรือไม่
ถ้าเขาไม่สามารถเติมอะไรให้กับเราได้ เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา

3. ตระหนักว่า ทุกคนจะมีขนาดของตัวเอง
ความคิด การเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ของแต่ละคนต่างกัน ... ทุกคนมีขนาดของตัวเอง
แมวตัวที่ใหญ่ที่สุด ก็ไม่เท่าสุนัขๆ ตัวที่ใหญ่ที่สุด ก็ไม่เท่าม้า เป็นต้น
รม.12:3                   ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
พระเจ้าจึงสอนไม่ให้เราคิดอะไรเกินตัว แต่ให้คิดเหมาะสมกับขนาดของตัวเอง
ถ้าเราคิดได้ ชีวิตของเราก็สงบได้ สำคัญที่เราต้องรู้ขนาดของตัวเอง
ทั้งขนาดความคิด ขนาดการเติบโต ขนาดของการเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์

แม้ขนาดของเราแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่พระวจนะของพระเจ้าก็เป็นบรรทัดฐานสำหรับมนุษย์ทุกคน
ในมนุษย์คนหนึ่งเขาจะเป็นได้ เก่งได้ไม่เกิน 5 อย่าง แต่จะมีความเก่งและถนัดที่สุดอย่างน้อย 3 อย่าง ดังนี้
อฟ.4:11                  ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
ของประทาน 5 อย่างจากพระเจ้า มนุษย์ทุกคนเก่งได้ไม่เกินกว่านี้
ไม่มีใครเป็นทุกสิ่ง เราทุกคนเป็นแค่บางสิ่ง ... พระเจ้าเท่านั้นเป็นทุกสิ่ง
บางคนทำงานสารพัด แต่ไม่ได้เรื่องสักอย่าง เพราะมนุษย์มีความจำกัด
แต่ตระหนักไว้เลยว่า เราเก่งอย่างน้อย 3 อย่าง
1ทธ.2:7                  และสำหรับการนี้ข้าพเจ้าจึงได้ถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดจริงไม่ปดเลย) และเป็นครูสอนความเชื่อและความจริงแก่คนต่างชาติ
ที่จริงเปาโล เป็นคนที่มีความเก่งในหลายเรื่อง แต่ความเก่ง 3 อย่างที่เป็นตัวตนของท่าน คือ
1) เป็นผู้ประกาศ 2) เป็นอัครทูต 3) เป็นครูสอนความเชื่อ
เราทุกคนก็มีความเก่งอย่างน้อย 3 อย่างในตัวเช่นกัน แต่เราต้องค้นหามันให้เจอ
คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แค่เก่งอย่างน้อยสามเรื่องในชีวิต ก็สามารถหาช่องทางในการประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
การตระหนักถึงหลักคิดในข้อนี้ได้ จะทำให้เราไม่อิจฉาเมื่อเห็นใครได้ดีกว่า
แต่ตรงกันข้าม เราจะยินดีด้วย จำไว้ว่า เราทุกคนเก่งในแบบของเราเอง  

4. ตระหนักว่า การดลใจจากพระเจ้ามาถึงทุกคนไม่เท่ากัน
บุคคลที่รับการดลใจจากพระเจ้ามากที่สุดคนหนึ่งของโลก คือ อัครทูตเปาโล
พระเจ้าดลใจให้ท่านเขียนพระคัมภีร์มากที่สุด ถ้าไม่ได้รับการดลใจ มนุษย์ไม่สามารถเขียนขึ้นเองได้

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -4-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

2ทธ.3:16-17           พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและการสำแดงจากพระองค์มากมายให้เปาโล
ท่านบุกเบิกก่อตั้งคริสตจักรจำนวนมาก และถูกพาไปสวรรค์ทั้งเป็น
แต่เมื่อท่านรับการสำแดงจากพระเจ้ามาก พระองค์ก็ต้องมีวิธีไม่ให้ท่านยกตัวจนเกินไป
2คร.12:7                 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป                          
การที่เราไม่ได้รับการดลใจมากอย่างอัครทูตเปาโล ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ที่ใช้การไม่ได้
เพราะเราต้องตระหนักว่า การดลใจจากพระเจ้ามาถึงทุกคนแตกต่างกัน
ใครจะรับการดลใจมากหรือน้อย ขึ้นกับความเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณของผู้นั้นมากหรือน้อยเพียงใด
อัครทูตเปาโล ได้รับการดลใจจากพระเจ้ามาก เพราะความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของท่านมากกว่าผู้อื่น
ในโลกฝ่ายวิญญาณก็ไม่ต่างจากโลกของการเรียน ความตื้น ลึก หนา บางของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เรียนมาด้วยกัน บางคนสอบตก บางคนสอบผ่าน บางคนฉลาดสุดๆ ก็มี ขึ้นกับความเข้าใจของแต่ละคน
การที่พระเจ้าสำแดงกับแต่ละคนไม่เท่ากัน และไม่สำแดงทุกเรื่องกับใครคนใดคนหนึ่ง
ก็เพื่อให้เราตระหนักว่า เราทุกคนเป็นแค่บางสิ่ง พระเจ้าเท่านั้น เป็นทุกสิ่ง
และเราจะเป็นทุกสิ่งได้ ก็ต่อเมื่อเรารวมตัวกันเท่านั้น

5. แม้ขนาดความคิดต่างกัน การเติบโตต่างกัน ขนาดต่างกัน การดลใจต่างกัน
แต่ทุกคนสามารอธิษฐานขอให้คิดได้มากขึ้น เติบโตได้มากขึ้น
แม้หลายสิ่งเราจะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เรามีเหมือนกัน คือ เราสามารถอธิษฐานขอจากพระเจ้าได้
ขอให้พระเจ้าขยายขอบเขตของความคิด ขอบเขตของการเติบโต ขอบเขตของความเข้าใจให้มากขึ้น
บทบาทสำคัญอย่างหนึ่งของผู้นำ คือ การยกระดับบุคลิกภาพและความสามารถของทีมงานให้สูงกว่าธรรมชาติที่เขามีอยู่
เหมือนช่างแต่งหน้ามืออาชีพ สามารถแต่งหน้าคนให้อ่อนหรือแก่ลงได้
พระเจ้าสามารถยกระดับเราได้ ถ้าเราอธิษฐานและยอมจำนนต่อพระองค์

ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่าคิดว่าแก้ไขไม่ได้ ทุกปัญหาเป็นครูในการปรับบุคลิกภาพของตัวเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นแรงกระตุ้นให้สมองของเราทำงาน
เราต้องยกระดับความรู้ ความเข้าใจ การรับรู้ สติปัญญาให้มากขึ้นทุกวันผ่านสถานการณ์ต่างๆ
อฟ.1:17-18             ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
ตาใจของเราต้องสว่างขึ้น ตาใจนั้น คือ สมอง คือ การหยั่งรู้
เราสามารถอธิษฐานขอจากพระเจ้าได้ และเราสามารถพัฒนาตัวเองได้ผ่านการอ่านหนังสือและการเรียนรู้

มธ.13:31-32           เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้" พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด"
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -5-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ธรรมชาติของลูกพระเจ้า คือ ความเป็นพิเศษ
ต้นไม้ของพระเจ้า เริ่มต้นจากเมล็ดเล็กๆ และค่อยๆ เติบโต จนกระทั่งกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตกว่าต้นอื่นๆ
โตจนกระทั่ง แม้นกกายังต้องมาอาศัย นี่คือขบวนการเติบโตของลูกพระเจ้า
เราทุกคนสามารถเติบโตได้ ถ้าเราอยู่ในขบวนการของพระองค์

ข้อคิดเพื่อการพัฒนาความคิดและเพื่อการเติบโต คือ ต้องทำงานที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
การแข่งขันจะก่อให้เกิดการพัฒนา ถ้าไม่มีคู่แข่ง ไม่กล้าทำงานยากขึ้น ก็ยากที่จะเติบโตและพัฒนา
สมองมนุษย์ถูกสร้างจากพระเจ้า แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้มันเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ลองคิดง่ายๆ ว่าระหว่างวิ่งธรรมดา กับ วิ่งหนีเสือ ... เราจะวิ่งอย่างใดเร็วกว่ากัน
ที่จริงศักยภาพและความสามารถในตัวมนุษย์มีมาก แต่มนุษย์นำออกมาใช้น้อย เพราะไม่มีแรงกระตุ้น
ดังนั้น เราควรบังคับตัวเองให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นจะมีสถานการณ์บางอย่างบังคับเราเอง
เช่น ไม่ขยัน ก็อาจจะตกงาน, ไม่อ่านหนังสือสอบ ก็อาจจะสอบตก เป็นต้น

6. ต้องมีศิลปะในการนำความคิด ความฝัน นำจินตนาการ นำเป้าหมายที่มีอยู่ มาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริง
ความคิด ความฝัน จินตนาการและเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราต้องมีศิลปะในการนำสิ่งเหล่านั้นมาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริงด้วย
ซึ่งจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องใช้สติปัญญา ความสามารถ ความมุ่งมั่น โอกาส และต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า
สำหรับงานของพระเจ้านั้น สิ่งที่จะทำให้คนรวมตัวกันทำงานและร่วมมือกันทำงาน คือ นิมิต
งานพระเจ้า ต้องมีนิมิต ต้องมีเป้าหมาย ต้องมีพันธกิจ คือ กิจที่เราต้องรวมกันเป็นพันธะ
ไม่ใช่เป็นการรวมตัวกันสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงาน
งานอื่นๆ ก็เช่นกัน ต้องมีศิลปะในการนำความฝัน นำเป้าหมายมาแปลงเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้จริง

ฟป.4:13                  ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
พระวจนะข้อนี้เป็นคำตอบของศิลปะที่ว่านี้
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่ง คือ ข้าพเจ้าทำทุกสิ่ง หมายถึง เราต้องทำทุกสิ่ง ทำไม่เลือก ทำงานให้มาก
เพราะยิ่งทำงานมากเท่าใด เราจะยิ่งพบความชำนาญของเรามากเท่านั้น
เมื่อเรารู้ว่าอะไรที่เป็นความชำนาญ ก็ต้องทำสิ่งนั้นสุดกำลัง โดยมีพระเจ้าคอยเสริม
พระเจ้าจะเสริมเราก็ต่อเมื่อเราทำสุดกำลังเท่านั้น
ผู้คนทั่วไปก็เช่นกัน จะสนับสนุนคนที่มุ่งมั่นในการทำงานเท่านั้น คนเฉยๆ ไม่มุ่งมั่น ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย

ในการแปลงความฝันเป็นรูปธรรมได้นั้น ความฝันและความคิดของเรา ต้องเป็นไปได้ด้วย
พระเจ้าสอนให้เราคิดในแง่บวก แต่อย่าเผลอคิดแบบเพ้อเจ้อ
ความคิดแง่บวกต้องควบคุมได้ด้วย ต้องรู้จักจังหวะ ต้องรู้จักคอยเวลา และต้องคิดบนพื้นฐานของพระคัมภีร์
แล้วพระเจ้าจะสนับสนุนแนวคิดนั้นให้เป็นรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้จริง

7. ต้องมีความสามารถในการนำสิ่งที่มี สิ่งที่รู้ ไปประยุกต์กับความรู้และความมีที่แตกต่าง
หลักคิดข้อนี้ คือ การประยุกต์เอาความเหมือนและความต่างมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เราอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่า ร่วมสมัย ก็ได้ ไม่ล้าสมัย และไม่นำสมัย แต่เป็นการร่วมสมัย
หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -6-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

สิ่งที่มีที่ดีอยู่แล้ว สิ่งที่รู้มากอยู่แล้ว จะเกิดประโยชน์มากขึ้นหากเรารู้จักนำสิ่งนั้นไปประยุกต์กับความรู้อื่นๆ ที่แตกต่าง
ความแตกต่าง จะก่อให้เกิดความงดงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
ความรู้ในโลกนี้มีไม่จำกัด  และสิ่งที่ผู้อื่นมี เมื่อเสริมกับที่เรามีและเสริมกับที่เรารู้ ประโยชน์ย่อมมากขึ้นด้วย

8. ต้องคิดแบบบูรณาการ
คำว่า บูรณาการ มาจากคำว่า บูรณะ คือ การซ่อมแซมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
เอามาประยุกต์ใช้กับความคิด ... คิดแบบบูรณาการ จึงหมายถึง การคิดแบบภาพรวม
ไม่มองอะไรเป็นส่วนๆ แต่มองทุกอย่างให้เป็นองค์รวม
เช่น ถ้าจะมองป่า ก็ต้องมองป่าทั้งผืน ไม่ได้มองต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งในป่าเท่านั้น

พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่าง ทรงเป็นต้นแบบของการคิดแบบบูรณาการ
พระองค์เห็นว่า การที่ทุกคนรวมตัวกัน ยิ่งมีความหลากหลายมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
พระองค์จึงนำอัครทูต 12 คนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งฐานะ การศึกษา รสนิยม ความคิด มาอยู่ร่วมกัน
พวกเขาเป็นตัวแทนของคนหลากหลาย และถูกฝึกให้ยอมรับความแตกต่างของแต่ละคน
พระเจ้าต้องการสอนให้เราคิดว่า ทุกคนสำคัญ ทุกคนมีคุณค่า ทุกสิ่งมีคุณค่าเมื่ออยู่รวมกัน

ปฐก.1:31                พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก...
พระวจนะข้อนี้ พระเจ้าตรัสว่าสิ่งทั้งปวงดีนัก ทุกสิ่งดี ทุกอย่างดี ไม่มีข้อจำกัดเลย
เพียงแต่เราต้องมีความสามารถในการนำประโยชน์ของทุกสิ่งมาใช้ร่วมกัน
ศาสตร์ทุกศาสตร์ในโลกนี้ ล้วนมีความเชื่อมโยง สอดคล้องกันและมีผลกระทบระหว่างกัน
หากเราสามารถคิดอย่างบูรณาการได้ ชีวิตเราก็มีความสุข คนรอบข้างเราก็มีความสุขเช่นกัน
จะคิดอย่างบูรณาการได้ ต้องคิดกว้าง อย่าคิดแคบ ต้องรู้จักคิดแบบเชื่อมโยง
เมื่อเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ เราจะหงุดหงิดน้อยลง และมองโลกในแง่ดีขึ้น

9. ต้องคิดเชิงอนาคต
คิดเชิงอนาคต คือ คิดถึงอนาคต คิดเพื่ออนาคต
ทุกคนต้องการมีอนาคต แต่เราจะไม่มีอนาคต ถ้าเราไม่รู้จักคิดถึงอนาคต
องค์ประกอบในการคิดเชิงอนาคต คือ
9.1 ต้องเอาอดีตเป็นครู หรือมองอดีตอย่างแจ่มชัด
เรียนรู้จากความผิดพลาดของคน เรียนรู้แล้วอย่าไปเดินซ้ำประวัติศาสตร์
เราจะมองอดีตได้อย่างแจ่มชัดขึ้น ต้องลืมตามอง อย่าหลับตามอง
แม้ผิดพลาด ทุกคนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทั้งสิ้น แม้จะถึงจุดหมายช้ากว่าคนอื่นไม่เป็นไร
9.2 ต้องมองปัจจุบันอย่างทะลุปรุโปร่ง
เราจะมีอนาคตได้ ต้องมองอดีตอย่างแจ่มชัด และต้องมองปัจจุบันอย่างทะลุ
ปัจจุบันเราทำอะไรได้ เราต้องทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ แต่คิดไว้เสมอว่าเราจะไม่ทำอยู่อย่างนี้ตลอดไป เราจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตคริสเตียน เป็นชีวิตของการใช้ความเชื่อ คือ เชื่อในพระคุณของพระเจ้า
ทำให้สุดกำลังของเราก่อน แล้วในที่สุดเราจะเข้าสู่พระคุณของพระเจ้า

หลักคิดเกี่ยวกับความคิด                                                                    -7-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

9.3 ต้องมองอนาคตอย่างทะลุทะลวง
เราจะสามารถมองอนาคตอย่างทะลุทะลวงได้ ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
ประกอบกับการมีจิตใจที่มุ่งมั่น แน่วแน่ แล้วอนาคตที่ดีจะเป็นของเรา

10. ต้องคิดเชิงกลยุทธ
การคิดเชิงกลยุทธ เป็นเทคนิคของการคิดอย่างหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
องค์ประกอบในการคิดเชิงกลยุทธ คือ
10.1 เราจะแปลงความคิดที่เรามีอยู่ให้เป็นภาคปฏิบัติได้ ต้องมีกลยุทธ
กลยุทธ ก็คล้ายๆ กับการเล่นกล
หลายอย่างแสดงให้เห็นแบบตรงๆ ไม่ได้ แต่การใช้กลยุทธ ทำให้ขบวนการน่าติดตามมากขึ้น
การบรรลุวัตถุประสงค์ของทุกอย่าง ล้วนจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธทั้งสิ้น ไม่ได้ทางหนึ่งก็ต้องหาอีกทางหนึ่งให้ได้
10.2 กำหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อบรรลุเป้าหมาย
แม้เป้าหมายอย่างเดียวกัน แต่วิธีการไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป
แต่ละคนจะมีวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตัวเองเสมอ เราต้องรู้จักคิด
เช่น อยากให้คนให้เกียรติ ก็ต้องให้เกียรติผู้อื่นก่อน
10.3 กำหนดแนวทางที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด
ความจำกัดของเรามีต่างกัน เช่น จำกัดด้วยเงิน จำกัดด้วยเวลา จำกัดด้วยคน
ภายใต้เงื่อนไขความจำกัดต่างๆ เราต้องกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด
เช่น สำหรับคริสตจักร ย่อมอยากได้ผู้เชื่อมาเป็นสมาชิก แต่ถ้าเขาไม่สามารถมาเป็นสมาชิกของเราได้
อย่างน้อยที่สุด เป็นพันธมิตรก็ยังดี ต้องรู้จักหว่านให้มาก เราก็จะได้เกี่ยวเก็บมากเช่นกัน
10.4 ต้องรอจังหวะและโอกาส อย่าใจร้อน
อะไรก็ตามกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ ล้วนต้องใช้เวลารอคอยทั้งสิ้น
กลยุทธหนึ่ง คือ ต้องรู้จักจังหวะและเวลา อย่าใจร้อน
อย่าคิดว่าจะชนะใจใครในชั่วเวลาวันเดียว ต้องรักษาสัมพันธ์และมีการพูดคุยเป็นระยะๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักคิดเกี่ยวกับความคิดที่ลูกพระเจ้าควรจะมี
ถ้าเรามีหลักคิด เราจะเข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีหลักมากขึ้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะสร้างแนวคิดให้กับเราได้มากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพร




1 ความคิดเห็น: