วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ สวรรค์ 3 ชั้น ” จาก “ ฟป.2:10 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -1-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เรื่อง สวรรค์ 3 ชั้น จาก ฟป.2:10

ฟป.2:10                  เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู
พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ ให้ภาพของ 3 โลก ดังนี้
1) สวรรค์ 2) แผ่นดินโลก 3) นรก (ใต้พื้นแผ่นดินโลก)   
เรื่องสวรรค์และนรก เป็นศาสนศาสตร์ที่ผู้เชื่อควรศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องในโลกใบนี้ ระหว่าง สวรรค์ กับ นรก นั้น มีโลกเป็นฐาน ... ตายจากโลกนี้แล้ว มนุษย์จะไปสวรรค์หรือไปนรก ขึ้นกับเขาทำอย่างไรและใช้ชีวิตอย่างไรในโลกนี้ จึงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า โลกใบนี้จึงเป็นสนามสอบของมนุษย์ทุกคน
                หนังสือเรื่องสวรรค์ 3 ชั้นนั้นเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนรก 3 ขุม ดังนั้น เพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์ควรอ่านทั้งสองเรื่องคู่กัน เพื่อจะทำให้เราเข้าถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ และใช้ชีวิตด้วยความเคารพยำเกรงพระเจ้า

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ขอกล่าวคำนำเพื่อความเข้าใจ ดังนี้
ธรรมชาติสร้างจินตนาการ แต่อุดมการณ์สร้างความสำเร็จ
ธรรมชาติที่สวยงามก่อให้เกิดจินตนาการ และอุดมการณ์จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยจินตนาการ แต่หากมีเพียงจินตนาการโดยปราศจากความเชื่อ อุดมการณ์ก็เกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน
ความเชื่อและอุดมการณ์ เป็นสิ่งที่กำหนดวิถีชีวิตของคน เราเชื่ออย่างไร เราก็ดำเนินชีวิตอย่างนั้น
สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า โลกนิรันดร์ นรกและสวรรค์ อาจจะเป็นพียงจินตนาการ แต่สำหรับผู้เชื่อพระเจ้านั้น เชื่อว่าโลกนิรันดร์มีจริง นรกมีจริงและสวรรค์มีก็จริงเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดอุดมการณ์ในการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง ...
เราใช้ชีวิตในโลกนี้ เพื่อส่งผลไปถึงโลกหน้า ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้จบสิ้นในโลกนี้เท่านั้น แต่จบลงในโลกนิรันดร์กาล เพียงแต่ว่าจะเป็นสุขนิรันดร์หรือทุกข์นิรันดร์ ไปอยู่สวรรค์นิรันดร์หรือนรกนิรันดร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง (ตามความเชื่อและการกระทำของแต่ละคนในโลกนี้)

1. เราสามารถเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ได้อย่างไร?
เรื่องนรกและสวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เชื่อกันได้ง่ายๆ เพราะคนที่ตายไปแล้ว ไม่ได้มีใครกลับมาบอกเรา
แต่สำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าสวรรค์และนรกมีจริง คือ พระคัมภีร์
เรามองไม่เห็นนรกและสวรรค์ แต่เรามองเห็นพระคัมภีร์
พระคัมภีร์ หรือ Holy Bible เป็นหนังสือเล่มแรกของโลก เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก
เป็นหนังสือที่แปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุดในโลก และเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์มากที่สุดในโลก
มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าพระคัมภีร์เขียนขึ้นมาแล้วหลายพันปี
(พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นประมาณ 1,400 ปี ก่อนคริสตศักราช)
และบันทึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นและกลายเป็นความจริงในที่สุด
ดังนั้น เราสามารถเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ได้โดยมีพระคัมภีร์ เป็นเครื่องยืนยัน

ถ้าพระคัมภีร์เป็นเพียงจินตนาการของมนุษย์ สิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์นั้นไม่มีวันสำเร็จเป็นจริง
แต่เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า วิทยาศาสตร์ยิ่งล้ำยุค และการศึกษายิ่งก้าวไกลมากเท่าใด
แทนที่เราจะจับผิดพระคัมภีร์ได้มากขึ้น เรากลับพบความจริงของพระคัมภีร์มากขึ้นทุกวัน

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -2-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ปฐก.12:1-3            พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวของอับราฮัม ต้นตระกูลของชนชาติยิว
พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า ชนชาติของเขาจะเป็นชนชาติใหญ่และรับพระพรจากพระเจ้า
พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมในขณะที่เขายังไม่มีบุตรเลยสักคน
แต่ทุกวันนี้ความจริงข้อนี้ได้ปรากฎ ชาวยิว ชนชาติเล็กๆ แต่สามารถควบคุมและมีอิทธิพลอยู่ในทุกวงการของโลก
ยิวถูกข่มเหง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถูกรุมทำสงคราม แต่ยิวยังรอดอยู่ได้ถึงปัจจุบันราวปาฏิหาริย์
นั่นเพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์
(เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องยิว ขอให้อ่านหนังสือเรื่อง พระเจ้าและพระสัญญาศักดิ์สิทธิ์ กรณีศึกษาจากยิว)

ปฐก.16:11-12        ทูตพระเจ้ากล่าวแก่นางอีกว่า "นี่แน่ะเจ้ามีครรภ์แล้ว จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่าอิชมาเอล เพราะพระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า บุตรนั้นจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเขา"
พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวของอิชมาเอล ที่เป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับ
ชาวอาหรับจะมีชื่อเสียงในการต่อสู้ และไม่ว่าจะถูกทำลายอย่างไร เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อหน้าพี่น้องของเขาเสมอไป
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีพระคัมภีร์หลายตอนที่บันทึกถึงวันสิ้นโลก วันที่โลกจะถึงกาลอวสาน
ปัจจุบันเราสามารถจับต้องมองเห็นเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด ทั้งเรื่องโลกร้อน เรื่องสงครามระหว่างประเทศ
เรื่องความกันดารอาหารและภัยพิบัตินานาประการ ...
มธ.24:6-8               ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่
2ปต.3:10-12           แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วย เสียงที่ดังกึกก้องและโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป
พระเจ้าบันทึกไว้ในพระวจนะของพระองค์หมดแล้วตั้งแต่ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยซ้ำ
(เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน กรุณาอ่านหนังสือเรื่อง อวสานของโลก เพิ่มเติม)

สำคัญที่สุดพระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเรื่องสวรรค์เอาไว้ด้วย
ยน.14:2-3               ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย
พระวจนะตอนนี้ เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ยืนยันถึงความจริงเรื่องสวรรค์
ในพระนิเวศของพระองค์มีที่อยู่เป็นอันมากสำหรับผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -3-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ถ้าสิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริง และกำลังเดินหน้าเข้าสู่ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
พระวจนะในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นเดียวกัน

ที่จริงแล้วไม่เพียงอักษรที่บันทึกในพระคัมภีร์เท่านั้นที่สามารถยืนยันความจริงเรื่องสวรรค์
แต่ประสบการณ์ที่ผู้เชื่อมีกับพระเจ้าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ ...
พระเจ้านำสวรรค์ลงมาในโลก นำสวรรค์ลงมาในชีวิตของเรา ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เชื่อเรื่องสวรรค์หลังความตาย
สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าอยากจะเน้นกับผู้เชื่อ คือ ถ้าแม้นรกและสวรรค์จะไม่มีจริง
การที่คริสเตียนเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าอย่างจริงจัง ... ถามว่าเราขาดทุนอะไร? มีอะไรที่เราด้อยกว่าศาสนาอื่น?
เพราะทางของพระเจ้ามีแต่ประโยชน์และความสุขใจ ไม่มีขาดทุน ไม่มีด้อยกว่าใคร
1ทธ.6:6                  จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ
แต่ถ้านรกและสวรรค์มีจริง ... คนที่ขาดทุนและเสียหายอย่างยับเยิน คือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้านั่นแหละ

2. สวรรค์ 3 ชั้น
โลกนิรันดร์ ชีวิตหลังความตายนั้นมีจริง มีนรก 3 ขุม รอรับคนที่ไม่เชื่อ และมีสวรรค์ 3 ชั้น รอรับคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า
สวรรค์ 3 ชั้น มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 สวรรค์ชั้นที่ 3
สวรรค์ชั้นที่ 3 เป็นสวรรค์ชั้นต่ำที่สุด
มีชื่อเรียกทั้งหมด 3 ชื่อ คือ (1) สวรรค์ชั้นที่ 3 (2) เมืองบรมสุขเกษม และ (3) อกของอับราฮัม
2คร.12:2-4             ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม
พระวจนะตอนนี้บันทึกโดยเปาโล ผู้ที่มีโอกาสได้ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ 3
ซึ่งในข้อนี้ เรียกสวรรค์ชั้นนี้ว่า สวรรค์ชั้นที่ 3 หรือเมืองบรมสุขเกษม
ในสวรรค์ชั้นที่ 3 นั้น เปาโลกล่าวว่าท่านได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้
หมายความว่า ในสวรรค์เราสวมกายทิพย์ และติดต่อกันด้วยภาษาใจภาษาความคิด ไม่ใช่ภาษาพูด
เปาโล ผู้ซึ่งมีทุกอย่างในโลกนี้ มีเกียรติ มีการศึกษา มีคนนับหน้าถือตา
แต่เมื่อท่านได้พบพระเจ้าและได้เห็นสวรรค์ชั้นที่ 3 ท่านจึงเขียนจดหมายมาบอกคริสเตียนในเมืองฟิลิปปี
อันที่จริงเป็นการเตือนคริสเตียนทุกคนว่า ทุกสิ่งที่เรามีในโลกนี้ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับสวรรค์
ฟป.3:8                    ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
ทุกสิ่งที่มีเป็นเพียงหยากเยื่อ ... นี่แค่เป็นการเทียบกับสวรรค์ชั้นที่ 3 เท่านั้น

นักศาสนศาสตร์ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ช่วงเวลาที่เปาโลถูกรับไปสวรรค์ชั้นที่ 3 นั้น
เป็นช่วงที่ท่านถูกหินขว้างและประชาชนคิดว่าท่านตายไปแล้ว ตามที่บันทึกไว้ใน ...
กจ.14:8-19             ที่เมืองลิสตรามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใช้เท้าไม่ได้ เขาเป็นง่อยตั้งแต่กำเนิด ยังไม่เคยเดินเลย คนนั้นได้นั่งฟังเปาโลพูดอยู่ เปาโลจึงเขม้นดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพอจะหายโรคได้ จึงร้องสั่งด้วยเสียงอันดังว่า "จงลุกขึ้นยืนตรง" คนง่อยนั้นก็กระโดดขึ้นเดินไป เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า "พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -4-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

มาหาเราแล้ว" เขาจึงเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส เพราะเปาโลเป็นคนพูด ปุโรหิตประจำรูปพระซุสซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงโค และถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชน แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินดังนั้น จึงฉีกเสื้อผ้าของตนเสียวิ่งเข้าไปท่ามกลางคนทั้งหลายร้องว่า "ดูก่อนท่านทั้งหลาย เหตุไฉนจึงทำการอย่างนี้ เราเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย และมากล่าวข่าวประเสริฐให้ท่านกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ ให้ท่านมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทะเลและสิ่งสารพัด ซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น ในกาลก่อน พระองค์ได้ทรงยอมให้บรรดาประชาชาติประพฤติตามชอบใจ แต่พระองค์มิได้ทรงให้ขาดพยาน คือพระองค์ได้ทรงกระทำคุณให้ฝนตกจากฟ้าและให้มีฤดูเกิดผล ท่านทั้งหลายจึงอิ่มใจยินดีด้วยอาหาร"แม้จะได้กล่าวคำเหล่านั้นแล้ว อัครทูตก็ยังห้ามหมู่ชน มิให้เขากระทำสักการบูชาถวายแก่ท่านทั้งสองนั้นได้โดยยาก แต่มีพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอก และเมืองอิโคนียูม เมื่อได้ชักชวนประชาชนแล้ว เขาก็ได้เอาหินขว้างเปาโลและลากท่านออกไปจากเมือง คิดว่าท่านตายแล้ว
พระวจนะในตอนนี้ นอกจากทำให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เปาโลถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่ 3 แล้ว
ยังทำให้เห็นท่าทีที่ถูกต้องของผู้รับใช้พระเจ้าด้วย คือ การไม่หวังลาภยศสรรเสริญจากมนุษย์ หวังเพียงรับใช้พระเจ้า
ผู้รับใช้ต้องไม่พอใจที่มนุษย์จะกราบไหว้เขา แทนที่จะกราบไหว้พระเจ้า
อีกทั้ง การที่เปาโลถูกหินขว้างจนผู้คนคิดว่าท่านตาย ยังทำให้เราเห็นถึงกฎแห่งการหว่านของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์
กท.6:7                    อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
เราหว่านสิ่งใด ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กฎแห่งกรรมนี้ไม่มีใครหนีพ้น แม้กระทั่งผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม
เปาโล เคยตามล่า ข่มเหงและฆ่าคริสเตียน เมื่อท่านได้เชื่อและรับใช้พระเจ้า ท่านก็เจออย่างเดียวกันกับที่ท่านเคยทำ

สวรรค์ชั้นที่ 3 ไม่เพียงบันทึกไว้ใน 2คร.12:2-4 เท่านั้น แต่ยังมีบันทึกไว้ในพระธรรมตอนอื่นด้วย ดังนี้
ลก.16:22                                อยู่มาคนขอทานนั้นตาย และเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้
ขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัสผู้ที่ได้เชื่อในพระเจ้า ทันทีที่ตายทูตสวรรค์นำจิตวิญญาณเขาไปที่อกของอับราฮัม
อกของอับราฮัม คือ ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของสวรรค์ชั้นที่ 3
สวรรค์ชั้นที่ 3เมืองบรมสุขเกษม อกของอับราฮัม อยู่ที่ไหนและไปอย่างไรไม่มีมนุษย์คนใดทราบ
เพราะอยู่คนละมิติกับโลกมนุษย์ คนในโลกนี้ไม่สามารถข้ามไปที่โลกนั้นได้ เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์
ลก.16:26                                นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้
แต่เป็นเรื่องปกติของวิญญาณและพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะเดินทางไปที่นั่นได้
ทันทีที่ความตายมาถึงมนุษย์ จิตวิญญาณของผู้เชื่อ จะถูกทูตสวรรค์พาไปยังสวรรค์ชั้นที่ 3
และจิตวิญญาณของผู้ที่ไม่เชื่อ จะถูกทูตสวรรค์พาไปยังแดนมรณา (อ่านหนังสือเรื่อง นรก 3 ขุม)
ทุกพิธีกรรม ทุกความเชื่อ ทุกศาสนา พยายามที่จะส่งจิตวิญญาณของผู้ตายไปสวรรค์
แต่ความจริง คือ พิธีกรรม ความเชื่อและความพยายามของมนุษย์ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาไปสวรรค์ได้
ความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น เจ้าของสวรรค์ (พระเจ้า) จึงจะอนุญาตให้เราเข้าไปได้
เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น ทูตสวรรค์จะพาเราไปสวรรค์ชั้นที่ 3
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ไปสวรรค์ไม่ถูก ไปสวรรค์ไม่ถึง ไปได้แค่เพียงแดนมรณาเท่านั้น

ลักษณะของสวรรค์ชั้นที่ 3
ลก.16:25                                แต่อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความแสนระทม
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -5-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ที่สวรรค์ชั้นที่ 3 ที่นั่นจะมีแต่การเล้าโลม มีแต่ความสุข มีแต่ความอิ่มเอิบ มีแต่ความชื่นชม
ในโลกนี้แสนระทมทุกข์ เต็มไปด้วยปัญหา แต่ในสวรรค์ชั้นที่ 3 เต็มไปด้วยความสุขและการเล้าโลม
เปาโลไปที่นั่นมาแล้ว และอยากให้ผู้เชื่อทุกคนไปถึงที่นั่นด้วย
ข้าพเจ้าจึงมักพูดบ่อยๆ ในงานไว้อาลัยของผู้เชื่อว่า ... จิตวิญญาณทุกดวงที่ไปถึงที่นั่นจะกล่าวว่า รู้อย่างนี้ตายตั้งนานแล้ว
เพราะสำหรับผู้เชื่อ ตาย คือ ไม่ตาย หลังความตายมีชีวิตและเป็นชีวิตที่สุขนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเจ้า

2คร.5:1-5               เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์ เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์ เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
ที่สวรรค์ชั้นที่ 3 ที่นั่นจะมีกายทิพย์ กายที่ตั้งมั่นคงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์
ความตายในโลกนี้ ทำให้จิตวิญญาณถูกแยกจากร่างกาย ... ร่างกายมาจากดินกลับไปสู่ดิน
แต่พระวจนะย้ำว่า แม้กายดินจะพังไป ผู้เชื่อก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะหลังความตายจิตวิญญาณของเราจะมีกายทิพย์
เป็นกายที่มีศักดิ์ศรีและมีพระสิริอย่างพระเจ้า คงอยู่เป็นนิรันดร์ ไม่มีเปื่อยเน่าผุพังอีกต่อไป
ที่นี่ไม่เพียงแต่ติดต่อกันด้วยภาษาใจหรือภาษาความคิดเท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพาหนะใดๆ
เพราะกายเราเป็นกายทิพย์ เคลื่อนที่ได้เร็วเหมือนความคิด
สถานที่นี้พระเจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์เท่านั้น

เปาโล จึงย้ำกับเราในพระวจนะอีกข้อหนึ่งว่า ...
ฟป.1:21                  เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร
ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้เชื่อควรอยู่เพื่อพระเจ้า และเมื่อตายไป เขาจะได้กำไรจากสิ่งนั้น
เมื่อเปาโลไปเห็นสวรรค์ชั้นที่ 3 จึงลังเลใจว่าจะอยู่ในโลกนี้ดี หรือจะอยู่ในสวรรค์ที่ประเสริฐกว่าโลกนี้นัก
แต่ข้าพเจ้าขอย้ำว่า ตราบใดงานที่เราได้รับมอบหมายจากพระเจ้ายังไม่เสร็จ
ตราบใดที่เรายังไม่ได้เรียนรู้เรื่องของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เรายังตายไม่ได้
เรียนไม่จบ ทำงานไม่เสร็จ ตายไม่ได้ เพราะแทนที่ตายแล้วจะได้กำไร เราจะตายอย่างขาดทุน

ขณะนี้จิตวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน อยู่ที่สวรรค์ชั้นที่ 3 และจิตวิญญาณของผู้ไม่เชื่อ อยู่ที่แดนมรณา
เพื่อรอวันสุดท้าย คือ วันพิพากษา ... ทุกสิ่งที่มนุษย์กระทำในโลกนี้ จะปรากฏในสายตาและความรู้สึกของทุกคน
ทุกคนจะมีหนังสือแห่งชีวิต บันทึกสิ่งที่ทำในปัจจุบัน และตัดสินสถานที่ๆ จะไปในอนาคต
วันสุดท้าย จะไม่มีใครต่อว่าพระเจ้าได้ว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม เพราะพระเจ้าจะพิพากษาตัดสินตามหนังสือแห่งชีวิตของแต่ละคน
วว.20:12-15            ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ
เมื่อถึงวันพิพากษา ในพริบตาเดียว ผู้เชื่อ จะย้ายจากสวรรค์ชั้นที่ 3 ไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 2
และผู้ที่ไม่เชื่อถูกย้ายจากแดนมรณา ไปบึงไฟนรก
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -6-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

2.2 สวรรค์ชั้นที่ 2
วว.21:1-2                ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นวิสุทธนคร คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี
เป็นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นมาจากชั้นที่ 3 เป็นสวรรค์ที่แท้จริงของมนุษย์ พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับผู้เชื่อ
ในพริบตาเดียวหลังจากมีการพิพากษา ผู้เชื่อจะถูกพาตัวจากสวรรค์ชั้นที่ 3 มาอยู่สวรรค์ชั้นที่ 2

วว.21:3-4                ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า "ดูเถิดพลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขาความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว"
สวรรค์ชั้นที่ 2 คือ ที่ๆ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจอีกต่อไป
มีแต่ความสมบูรณ์จากพระเจ้า เป็นที่ๆ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์

ลักษณะของสวรรค์ชั้นที่ 2
วว.21:11-21            นครนั้นประกอบด้วยพระสิริของพระเจ้า ใสสว่างดุจแก้วมณีอันหาค่ามิได้ เช่นเดียวกับแก้วมณีโชติอันสุกใสและเป็นผลึก นครนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีทูตสวรรค์สิบสององค์ และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อเผ่าของพวกอิสราเอลสิบสองเผ่า ทางด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตูและทางด้านตะวันตกมีสามประตู และกำแพงนครนั้นมีฐานศิลาสิบสองฐาน และที่ฐานศิลานั้นจารึกชื่ออัครทูตสิบสองคนของพระเมษโปดก ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้นถือไม้วัดทองคำเพื่อจะวัดนคร และวัดประตู และกำแพงของนครนั้น นครนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากัน และท่านเอาไม้วัดนครนั้นได้สองพันกว่ากิโลเมตร {คำเดิมว่า หนึ่งหมื่นสองพันสทาดิโอน} กว้างยาวและสูงเท่ากัน ท่านวัดกำแพงนครนั้นได้ร้อยสี่สิบสี่ศอกตามมาตราวัดของมนุษย์ ซึ่งเหมือนกันกับของทูตสวรรค์ กำแพงนครนั้นก่อด้วยแก้วมณีโชติ และนครนั้นสร้างด้วยทองคำเนื้อบริสุทธิ์สุกใสดุจแก้ว ฐานของกำแพงนครนั้นประดับด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นแก้วมณีโชติ ที่สองไพฑูรย์ ที่สามโมรา ที่สี่มรกต ที่ห้าโกเมน ที่หกทับทิม ที่เจ็ดบุษราคำน้ำแก่ ที่แปดเพทาย ที่เก้าบุษราคำน้ำอ่อน ที่สิบหยก ที่สิบเอ็ดนิล ที่สิบสองเป็นพลอยสีม่วง ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในนครนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว
นี่คือลักษณะของนิเวศที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้เชื่อ เต็มไปด้วยความอลังการ เพชรนิลจินดา
แม้กระทั่งทองคำที่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ยังเป็นเพียงแค่ถนนของสวรรค์เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงสอนเราเสมอว่าอย่ารักโลก
เพราะว่าสิ่งที่มีอยู่ในโลก เทียบไม่ได้เลยกับสวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา
ฮบ.1:14                  ทูตสวรรค์ทั้งปวง เป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดกระนั้นมิใช่หรือ
ที่นี่ไม่เพียงมีความสวยงามเป็นนิรันดร์เท่านั้น แต่ผู้เชื่อยังมีเหล่าทูตสวรรค์คอยปรนนิบัติอีกด้วย

วว.22:1-5                ท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้าดูแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนแก้วไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และพระที่นั่งของพระเมษโปดก ไหลไปตามกลางถนนในนครนั้น และริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกๆเดือนและใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย จะไม่มีสิ่งใดถูกสาปแช่งอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะนมัสการพระองค์ เขาเหล่านั้นจะเห็นพระพักตร์

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -7-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

พระองค์ และพระนามของพระองค์จะประทับอยู่ที่หน้าผากเขา กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่ต้องการแสงตะเกียงหรือ
แสงอาทิตย์ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างของเขา และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
พระวจนะในตอนนี้ ให้ภาพความงดงามของสวรรค์ชั้นที่ 2 ไว้เพิ่มเติม
มีต้นไม้ มีแม่น้ำแห่งชีวิต มีสรรพสิ่งที่เป็นนิรันดร์
ใบของต้นไม้สำหรับรักษาโรค ไม่ได้หมายความว่า สวรรค์จะมีโรคภัยไข้เจ็บ
แต่เป็นสิ่งที่เล็งถึงความประเสริฐจากพระเจ้า ดังคำที่กล่าวว่า การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
กลางคืนไม่มีอีกต่อไป หมายถึง ในสวรรค์ไม่มีกาลเวลา ในสวรรค์เป็นนิรันดร์
ในสวรรค์ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีกาลเวลา มีแต่เรากับพระเจ้าเท่านั้น
ท้ายที่สุด ผู้เชื่อกับพระเจ้าจะครอบครองสวรรค์ร่วมกันเป็นนิตย์


พระวจนะในพระธรรมวิวรณ์สองบทนี้ ทำให้เห็นความงดงามของสวรรค์ จนอดที่จะอยากไปอยู่ที่นั่นเร็วๆ ไม่ได้
แต่อย่าลืมว่า ตราบใดงานไม่เสร็จ เรียนไม่จบ ตราบนั้นเรายังตายไม่ได้
การได้เห็นรายละเอียดของสวรรค์ผ่านตัวอักษรว่างดงามแล้ว การได้ไปถึงสถานที่จริงงดงามกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หากอยากรู้ว่าสถานที่จริงเป็นอย่างไร ต้องรักษาความเชื่อไว้ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
จำไว้ว่า เราเลิกเชื่อเมื่อใด เราก็ไม่มีสิทธิ์เข้าสวรรค์เมื่อนั้น

พระเยซูตรัสว่าผู้เชื่อในพระองค์ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์
ยน.5:24                  เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
และเมื่อเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้วนั้น จงยึดมันไว้ให้มั่นอย่าให้หลุดมือไปเป็นอันขาด
1ทธ.6:12                                จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
ในชีวิตนี้เราจะสูญเสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่างเดียวที่เราจะสูญเสียไม่ได้ คือ ความเชื่อ
ฝากไว้เป็นพิเศษสำหรับลูกๆ ที่มีพ่อแม่ไม่เชื่อ หรือผู้ที่มีสามีภรรยาไม่เชื่อพระเจ้า
สำหรับพ่อแม่นั้น ลูกๆ ต้องเคารพและกตัญญู แต่ต้องยอมขัดใจหากท่านสั่งให้เลิกเชื่อพระเจ้า
สำหรับสามีภรรยานั้น เราต้องให้เกียรติตามสมควร แต่ต้องยอมขัดใจหากอีกฝ่ายสั่งให้เลิกเชื่อพระเจ้า
เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตในโลกนี้เราได้ แต่ไม่มีใครสามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่เราได้นอกจากพระเจ้า
สามีภรรยาก็เช่นกัน เป็นผู้ที่เรารัก ทำให้เรามีความสุข แต่สามีภรรยาไม่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่กันได้
พระเจ้าเท่านั้นให้ชีวิตนิรันดร์แก่ผู้เชื่อได้

ศาสดาและศาสนาต่างๆ ใฝ่ฝันอยากให้มนุษย์ไปถึงสวรรค์
แต่พระเยซูคริสต์เท่านั้น เป็นทางไปสวรรค์สำหรับมนุษย์ทุกคน ...
พระองค์มาทำให้หลักคำสอนและความปรารถนาของศาสนาต่างๆ สำเร็จ เป็นจริง
มธ.5:17              อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะเรามิได้มาเลิกล้างแต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ
สวรรค์ไม่ได้อยู่ในจินตนาการเท่านั้น แต่สวรรค์เป็นความจริง


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -8-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

2.3 สวรรค์ชั้นที่ 1
สวรรค์ชั้นที่ 1 คือ สวรรค์ชั้นสูงสุด หรือที่เรียกกันว่า สวรรคสถาน
อฟ.1:20                  ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน
อฟ.2:6                    และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์
สวรรคสถาน คือ ที่ประทับของพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่บริสุทธิ์เหนือความบริสุทธิ์
เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระบิดาทรงโปรดให้พระองค์สถิตอยู่กับพระองค์ที่สวรรคสถาน
และที่สำคัญที่สุด พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้เชื่ออยู่ที่นั่นกับพระเยซูคริสต์ด้วย

ภาพของสวรรคสถานที่ชัดเจนที่สุด
วว.4:1-11                ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น ได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า" ในทันใดนั้นพระวิญญาณก็ทรงดลใจข้าพเจ้า และนี่แน่ะ มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น และท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจแก้วมณีโชติและแก้วทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งแก้วมรกต และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ มีฟ้าแลบฟ้าร้อง และเสียงต่างๆดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีคบเพลิงเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมองดูเหมือนทะเลแก้วผลึกและบริเวณรอบพระที่นั่งทั้งสองข้างนั้น มีสัตว์สี่ตัวซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงห์ สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา" เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำโมทนาแด่พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์คราวใด ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"
ที่สวรรคสถาน เต็มไปด้วยพระบารมี พระสิริ ฤทธานุภาพ พลังและอำนาจของพระเจ้าตลอดเวลา
พระเจ้าไม่หลับ พระเจ้าไม่ตาย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปและทรงฤทธิ์เป็นนิรันดร์
สวรรค์ จึงเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีที่ผู้เชื่อได้รับจากพระเจ้า ให้อยู่ในที่ประทับของพระองค์

3. ข้อคิดสำหรับชาวสวรรค์
สวรรค์มีจริง และผู้เชื่อวางใจจะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าจริงๆ ตามพระสัญญาของพระองค์
แต่ก่อนที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้า เรายังเป็นชาวสวรรค์ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลก
เพียงแต่ความคิด ทัศนคติและการดำเนินชีวิตของเราต้องต่างจากโลก
เราอยู่ในโลก แต่ไม่ได้เป็นของโลก เราอยู่ในโลก แต่เป็นชาวสวรรค์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า
3.1 ข้อคิดจาก ฟป.3:18-21
ฟป.3:18-21            เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -9-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์
ก. ชาวสวรรค์ ต้องมีพฤติกรรมที่ชัดเจน ไม่เป็นศัตรูต่อกางเขนของพระเจ้า
ลก.9:23                  พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
เราต้องแบกกางเขนตามพระเจ้า ไม่ใช่เป็นศัตรูของกางเขน ขัดขวางงานของพระเจ้า
แม้ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่บางคนก็เป็นศัตรูกางเขน เพราะเป็นผู้รับใช้ปลอม
อย่าคิดว่าคนที่รับใช้พระเจ้าทุกคนเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริง เพราะบางคนเป็นเพียงแค่ผู้รับจ้าง (มีเงินก็รับใช้ ไม่มีเงินก็เลิกรับใช้)
เราสามารถแยกแยะความเป็นผู้รับใช้จริงหรือปลอม โดยดูที่ผลงาน ชีวิตและความประพฤติ
วันสุดท้ายผู้รับใช้ปลอม คริสเตียนปลอม ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าด้วยชีวิตของเขาเอง

ข. ชาวสวรรค์ ต้องยึดว่า หากพระเยซูคริสต์ได้รับประโยชน์ เราจะขอรับใช้
ชาวโลก พระของเขา คือ กระเพาะของเขาเอง
ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ตอบสนองความอิ่มของตัวเอง ทำเพื่อเงิน ลาภยศ สรรเสริญ
แต่พระของชาวสวรรค์ คือ พระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว
ชาวสวรรค์ต้องไม่ทำอะไรเพื่อเงิน ไม่ทำอะไรเพื่อเกียรติ แต่ทำอะไรก็ตามที่พระเยซูคริสต์ได้รับประโยชน์

ค. ชาวสวรรค์ ต้องสนใจเรื่องวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องวัตถุ
ชาวโลกยกเอาความน่าอายมาอวด ... ความน่าอายนั้นได้แก่วัตถุทางโลก ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราว
แต่ชาวสวรรค์ เราอวดพระเจ้า อวดเรื่องวิญญาณ อวดความดี อวดความชอบธรรม ซึ่งเหล่านี้คงอยู่ถาวรนิรันดร์

3.2 ข้อคิดจาก ปฐก.1:26-28
ปฐก.1:26-28          แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จง ครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
พระวจนะตอนนี้ เป็นพิมพ์เขียวของมนุษย์ เป็นวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์
คือ สร้างมนุษย์จากพระฉายให้สะท้อนพระลักษณะของพระเจ้า สร้างมนุษย์ให้ปกครองโลก
ดังนั้น ท่าทีของชาวสวรรค์เมื่ออยู่ในโลก จึงควรเป็นดังนี้
ก. อยู่ในโลกเพื่อทำประโยชน์ ... เพราะพระเจ้าสร้างให้เราปกครองโลก
ยิ่งเราทำประโยชน์ให้โลกมาเท่าใด เรายิ่งรับประโยชน์จากโลกมากขึ้นเท่านั้น
ชาวสวรรค์ไม่เป็นของโลก ไม่รักโลก แต่เราต้องอยู่เพื่อทำประโยชน์ให้โลก
ข. อยู่ในโลกเพื่อสร้างสันติและสร้างสรรค์ ... เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นพระฉายพระเจ้า
เมื่อใดที่เราสร้างสงคราม หรือมีความคิดในการทำลายทำร้ายกัน นั่นกำลังสะท้อนภาพของมารซาตาน
ค. อยู่ในโลกเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ของพระเจ้า ... เพราะพระเจ้าตรัสสั่งให้เรามีลูกดก
ขยายเผ่าพันธุ์ในที่นี้ หมายถึง ลูกฝ่ายร่างกาย เราต้องสร้างให้ถวายเกียรติพระเจ้า ไม่ใช่สักแต่ว่ามีลูกโดยไม่สร้าง
นอกจากนี้ยังหมายถึง ลูกศิษย์ ลูกฝ่ายวิญญาณ เป็นการขยายอุดมการณ์ของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 30 ม.ค. 11 รอบเช้า                                            -10-                                                               โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

พระเจ้าให้เราอยู่ในโลกใบนี้ เพื่อเตรียมชีวิตกลับสู่สวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้า
ดังนั้น ตราบใดเรามีชีวิต ตราบนั้นต้องรับการสร้างอย่างเข้มข้นจากพระเจ้า
เพื่อว่าวันที่เราตายจากไป เราจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้กำไรและอยู่ในสวรรค์ด้วยความภาคภูมิใจ
สุดท้ายนี้อยากจะย้ำอีกครั้งว่า สวรรค์มีจริง ไม่ได้มีอยู่ในจินตนาการเท่านั้น
ถ้าเราเข้าใจเรื่องสวรรค์ แม้ต่อให้ต้องแลกกับความตาย เราก็จะไม่เลิกเชื่อพระเจ้า
เพราะท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนก็ต้องตาย แต่ผู้เชื่อเท่านั้นที่พระเจ้าค้ำประกันว่าจะได้ไปสวรรค์
ดังนั้น ขอหนุนใจให้เรารักษาความเชื่อไว้ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ขอพระเจ้าอวยพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น