วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้าสอนให้คริสเตียน “ เ ป็ น ลู ก ก ตั ญ ญู ”

พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -1-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเ ป็ น ลู ก ก ตั ญ ญู

            มีคำกล่าวว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
            คนดีนั้น ไม่ได้ดูหรือวัดกันได้ง่ายๆ ไม่ได้วัดจากสภาพที่อยู่อาศัยว่าใหญ่หรือเล็ก ไม่ได้วัดจากการแต่งกายว่าดูดีหรือซอมซ่อ ไม่ได้วัดจากการศึกษาว่าจบดอกเตอร์หรือไร้การศึกษา คนเก่ง คนมีความสามารถ คนร่ำรวย ไม่ได้เป็นอัตโนมัติว่าจะเป็นคนดี หรือเป็นคนกตัญญู
            เครื่องมือในการวัดคน วัดใจคน วัดความดีของคนนั้นในปัจจุบันยังไม่มี แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่าบุคคลนั้นเป็นคนดีหรือไม่ คือ การแสดงออกภายนอกของบุคคลนั้นๆ (ต้องเป็นพฤติกรรมที่ทำประจำไม่ได้ทำเพื่อหวังผล หรือทำเพราะจำใจ) เช่น การแสดงความกตัญญู การให้เกียรติ การให้ความเคารพ แก่ครูบาอาจารย์ แก่ผู้มีพระคุณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบิดามารดาของตน
            มนุษย์คนใดก็ตามหากแม้นกับบิดามารดาของตนยังอกตัญญูได้ เขาจะเป็นตัวอันตรายของสังคมอย่างแท้จริง เขาจะสามารถทำลาย ทำร้าย ทรยศ หักหลัง คนที่อยู่รอบข้างของเขาได้ทุกคน เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขา นั่นเพราะเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่ว่าเขาผู้นั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาเป็นเครื่องมือชั้นเลิศของมาร
            ในสังคมเราจึงมีคำสอน มีสุภาษิตและข้อคิดมากมาย เพื่อสอนให้คนรู้จักกตัญญูรู้คุณคน เช่นคำว่า
กตัญญูในบ้านดีกว่าเครื่องเซ่นหน้าหลุมศพ อันหมายถึง เราควรทำดีกับพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณในขณะที่ท่านเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อท่านตายไปแล้ว ต่อให้เราไปคร่ำครวญหรือหาอาหารชั้นเลิศไปวางหน้าหลุม ท่านเหล่านั้นก็คงไม่รับรู้สิ่งใด
            ขอยกตัวอย่างข้อคิดดีๆ เรื่องหนึ่ง ดังนี้

            มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ในฟาร์ม พ่อลูกคู่หนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ฝ่ายพ่อนั้นเป็นชายชราอายุมากพอสมควร ส่วนลูกชื่อจอห์นนั้นยังหนุ่มยังแน่น บ่ายวันนั้นมีวัวตัวหนึ่งเล็มหญ้าอยู่ในฟาร์ม
พ่อถามขึ้นมาว่า  จอห์น นั่นตัวอะไรลูก
            จอห์น ตอบพ่อว่า อ๋อ วัวนะพ่อ
            เวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที พ่อก็หันไปถามจอห์นอีกครั้ง
จอห์น นั่นตัวอะไรนะลูก
            จอห์น ตอบพ่อว่า วัวครับพ่อ
            เวลาผ่านไปอีกประมาณ 10 นาที พ่อก็หันไปถามจอห์นอีกครั้ง
นั่นมันตัวอะไรนะลูก
            จอห์นเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด ตอบว่า ก็วัวไงพ่อ วัวตัวเดิมนั้นแหละ
            เวลาผ่านไปอีกสักพัก พ่อยังคงถามคำถามเดิมกับจอห์น
มันเป็นตัวอะไรนะลูก
            จอห์นมีอารมณ์ฉุนเฉียวและโมโหพ่อของตัวเองมากขึ้น กล่าวเสียงดังว่า
ก็วัวนั่นแหละพ่อ ถามคำถามเดิมอยู่ได้ ผมบอกแล้วไงว่านั่นวัว วัว วัว เขาเรียกว่าวัวครับพ่อ ถ้าพ่อยังถามคำถามเดิมอีกผมจะไม่พูดกับพ่อแล้วนะ

พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -2-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

            เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชายชรายังคงถามคำถามเดิมกับลูกชาย
นั่นมันตัวอะไรนะลูก
            ครั้งนี้ทำให้จอห์นโมโหมาก เอะอะโวยวายใส่พ่อของตนว่า พ่อนี่ท่าทางแก่จนเลอะเทอะ จำอะไรไม่ได้ ถามซ้ำถามซากอยู่ได้ ผมไม่อยู่ด้วยแล้ว ไปอยู่ในบ้านดีกว่าว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้ชายชรานั่งอยู่ตามลำพัง
เวลาผ่านไปจนเย็นและค่ำ ชายหนุ่มเตรียมอาหารเย็นและสังเกตว่าพ่อของตนยังไม่ได้เข้ามาในบ้าน จึงเดินออกไปดูที่ระเบียงหน้าบ้าน และพบว่า ท่านยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ด้วยสายตาที่เหม่อมองไปนอกบ้าน ข้างตัวท่านมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งวางอยู่ ซึ่งดูก็รู้ว่าเจ้าของคงเพิ่งบันทึกเรื่องราวบางอย่างลงไป
            ลูกชายถือวิสาสะ เปิดหนังสือเล่มนั้นอ่านโดยไม่ได้ขออนุญาตจากพ่อ พบใจความที่สำคัญว่า
            เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมีลูกชายที่น่ารักคนหนึ่ง เขาเป็นเด็กน่ารักมาก ผมตั้งชื่อเขาด้วยตัวเองว่าจอห์น ในครั้งที่เขาเพิ่งเริ่มหัดพูด เขาก็พูดมากอย่างเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ผมรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กที่พูดได้น่ารักที่สุดในโลก ผมพาเขาออกมานั่งเล่นรับลมที่ระเบียงหน้าบ้าน
            ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักตัวอะไรมากนัก มีวัวตัวหนึ่งกินหญ้าอยู่หน้าบ้าน จอห์นถามผมว่า นั่นตัวอะไรครับพ่อผมก็ตอบว่า วัวจ๊ะลูกผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็ถามผมอีกว่า นั่นตัวอะไรครับพ่อผมก็ตอบด้วยความชื่นใจว่า วัวจ๊ะลูกผมจำได้ว่าบ่ายวันนั้นทั้งวันเขาเฝ้าเพียรถามคำถามเดิม ถามแล้วถามเล่า ไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกรำคาญ ไม่รู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิด  แต่กลับชื่นใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ตอบคำถามของลูก
            แต่ในวันนี้ ผ่านไป 30 ปี ในสถานที่เดิม คำถามคำเดิม คู่สนทนาคู่เดิม แต่เปลี่ยนจากผู้ตอบเป็นผู้ถาม และผู้ถามเป็นผู้ตอบ ผมถามเขาแค่ 5 ครั้ง เขากลับหงุดหงิด รำคาญ โมโหและหาว่าผมเป็นคนแก่ที่คนเลอะเลือน
            จอห์นปิดบันทึกเล่มนี้ด้วยน้ำตา และก้มกราบพ่อของตน
อ่านแล้วท่านได้ข้อคิดหรือไม่? หลายครั้งเราเองก็ทำตัวเหมือนจอห์นนั่นแหละ
            สำหรับคริสเตียนนั้น พระเจ้าสอนให้คนของพระองค์เป็นลูกที่กตัญญู ให้เกียรติและเคารพบิดามารดาของตน โดยมีพระวจนะมากมายที่ยืนยันเรื่องนี้

1.       พระวจนะสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู
สุภาษิต 1: 8-9          บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังคำเตือนของพ่อเจ้าและอย่าทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า เพราะทั้ง
สองนั้น เป็นมงคลงามสวมศีรษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า
พระเจ้าสอนให้คริสเตียนฟังคำสอน คำแนะนำ คำตักเตือนของบิดาและมารดา เพราะทั้งสองอย่างนั้น หมายถึง
(1)     มงคลงามสวมศีรษะ
การรับคำสั่งสอน คำเตือนของพ่อแม่นั้น เป็นความสง่างามของชีวิต เป็นสิริมงคลในชีวิตลูก
(2)     จี้ห้อยคอ
หลายคนสวมจี้ห้อยคอเป็นเครื่องประดับ หลายคนใช้เป็นเครื่องลางของขลัง เป็นวัตถุมงคล สำหรับคนที่ฟังคำสอนและคำเตือนของพ่อแม่นั้น ก็ถือเป็นความสวยงามของชีวิต อีกทั้งยังทำให้ชีวิตปลอดภัย เพราะคำสอนของพ่อแม่เป็นมงคล เป็นเหมือนวัตถุมงคลประจำตัวลูก

พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -3-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

มาระโก 7:10            จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า และ ผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย
พระวจนะตอนนี้ตรงตามตัวอักษร คือ พระเจ้าสอนว่า เป็นคริสเตียนต้องให้เกียรติบิดามารดาของตน
และผู้ที่ประณาม ผู้ที่ดูถูก ดูหมิ่น บิดามารดาของตนมีโทษถึงตาย เป็นกฎที่ชัดเจนและเด็ดขาดที่คริสเตียนทุกคนไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
ในสมัยโบราณนั้นผู้ใดประณามบิดามารดาของตนจะถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย ซึ่งไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ถ้าจะเปรียบกับปัจจุบัน คือ พระพร ความเจริญ ความสง่างาม เกียรติของชีวิตได้ตายจากผู้นั้นไปแล้ว

เอเฟซัส 6:1-3            ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้น
เป็นการถูก จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย เพื่อเจ้าจะไปดีมาดี
และมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก
จากพระวจนะนี้ พระเจ้าสอนให้เราเป็นลูกที่กตัญญู ดังนี้
(1)     นบนอบเชื่อฟังบิดามารดา
นบนอบเชื่อฟัง คือ การเชื่อฟังบิดามารดาด้วยความเคารพ อ่อนน้อม เต็มใจ มิได้เชื่อฟังเพราะถูกบังคับ
หรือเชื่อฟังเพราะเราหวังผลตอบแทนจากท่าน
(2)     ให้เกียรติแก่บิดามารดา
ให้ความเคารพ ยกย่องท่านเสมอทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ทำสิ่งใดที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและเกียรติยศ
ของพ่อแม่
(3)     ผลที่ได้เมื่อเรากระทำตามพระวจนะ
-          ไปดีมาดี : จะไปไหนมาไหนพระเจ้าจะคุ้มครอง
-          มีอายุยืนยาว : พระเจ้าจะอวยพรให้เรามีชีวิตที่ยืนยาว พร้อมความสุขใจ

2ทิโมธี 3:1-5             แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่
ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัย
กัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือ
ศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่น แท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ
พระเยซูไม่เพียงสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญูเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงต่อว่าและไม่เห็นด้วยกับคนที่อกตัญญู โดยจัดรวมคนพวกนี้อยู่ในกลุ่มของพวกคนไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม เป็นคนเกลียดชังความดี และถือศาสนาแต่เปลือกนอก แต่ละเลยแก่นแท้ของศาสนา และพระองค์ย้ำกับเราว่า หากเจอคนประเภทนี้อย่าไปคบ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเข้มงวดเรื่องความกตัญญูรู้คุณคน
1ทิโมธี 5:8   ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก
พระวจนะตอนนี้เป็นอีกข้อหนึ่งที่ยืนยันว่าพระเจ้าไม่เห็นด้วยกับความอกตัญญู คนที่ไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน พระเจ้าถือว่าได้ปฏิเสธพระศาสนา คือ ได้ปฎิเสธพระเจ้า ไม่ต่างจากผู้ที่ไม่เชื่อเลย
พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -4-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ลองคิดดูว่า คนที่ไม่ดูแลและเลี้ยงดูบิดามารดาของตน พระเจ้าจะทรงต่อว่าหนักแค่ไหน
คริสเตียนไม่เพียงแต่ต้องให้เกียรติ ต้องเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่เท่านั้น แต่หน้าที่ของลูกกตัญญู
คือ เลี้ยงดูและดูแลท่านเป็นการตอบแทนพระคุณที่ท่านได้ดูแลเรามา

ลูกา 14:26-33           ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยาและพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของ
ตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้
ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จหรือไม่
เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเยาะเย้ยเขา ว่า คนนี้ตั้งต้นก่อ แต่ทำให้
สำเร็จไม่ได้ หรือมีกษัตริย์องค์ใดเมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อื่น จะมิได้นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่า ที่ตน
มีพลทหารหมื่นหนึ่ง จะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่ ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกัน ก็จะใช้พวกทูต
ไปขอเป็นไมตรีกัน ก็เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้
พระวจนะตอนนี้เป็นปัญหามากสำหรับผู้ที่ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม
หรือไม่ได้อ่านพระวจนะทั้งบริบท จับแต่ข้อนี้ ตอนนี้ โดยเฉพาะคำว่า ชังบิดามารดาของตนมาโจมตี
แล้วสรุปว่าพระเยซูสอนให้คริสเตียนชังบิดามารดาของตน

ขออธิบายพระวจนะตอนนี้ ดังนี้
คำว่า ชังไม่ได้หมายความว่า เกลียดเพียงแต่พฤติกรรมที่แสดงออกมาบางประการอาจทำให้คนภายนอก
เข้าใจว่าคริสเตียนเกลียดชังบิดามารดาของตน เพราะพระวจนะตอนนี้พระเยซูกำลังสั่งสอนถึงการเสียสละในการเป็นศิษย์ของพระองค์ พระเจ้ามิได้ตรัสว่าให้ ชังบิดามารดาเท่านั้น แต่คริสเตียนต้อง ชังตนเองด้วย
ขอยกตัวอย่าง ดังนี้
(1)     คริสเตียนบางท่านถูกพ่อแม่ห้ามไม่ให้เชื่อพระเจ้า ห้ามไม่ให้เป็นคริสเตียน แต่เขาก็ยังเชื่อพระเจ้า เขายังเป็นคริสเตียน พฤติกรรมนี้ อาจทำให้พ่อแม่บางท่านเสียใจ ร้องไห้ ซึ่งดูภายนอกแล้วเหมือน ชังบิดามารดาของตน
(2)     ลูกชายที่เป็นคริสเตียน หลายคนเจอคำขอร้องของพ่อแม่ที่ยังไม่เชื่อให้บวชตามหลักศาสนาให้พ่อกับแม่ แต่เมื่อลูกมาเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะบวชได้อีก เพราะการบวชนั้นจะได้พรได้บุญก็ต่อเมื่อผู้ที่บวชต้องมีความศรัทธาในพระศาสนาอย่างแท้จริง
การไม่บวช ไม่ได้หมายความว่า ไม่เคารพศาสนาอื่น ไม่เคารพพ่อแม่ แต่เพราะการเป็นคริสเตียนนั้นเราถือว่าได้บวชใจและเป็นการบวชตลอดชีวิตด้วย ซึ่งพฤติกรรมนี้ก็ดูเหมือน ชังบิดามารดาของตน
(3)     คริสเตียนบางท่านเมื่อเชื่อพระเจ้า ก็มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าจนอยากเป็น มิชชั่นนารี เป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา (คือไม่ทำงานอื่นใดนอกจากรับใช้พระเจ้า) ในขณะที่พ่อแม่ของเขาอาจคาดหวังให้เขาประกอบอาชีพอื่นๆ ที่มีหน้ามีตาในสังคมมากกว่า มีรายรับที่มั่นคงมากกว่า มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีมากกว่า (ตามความคิดของพ่อแม่) เช่น เป็นนายแพทย์ เป็นข้าราชการ เป็นนักธุรกิจ เป็นต้น เมื่อเขาไม่สามารถทำตามที่พ่อแม่คาดหวังว่าจะดีสำหรับเขาได้ พฤติกรรมนี้ก็ดูเหมือน ชังบิดามารดาของตน
พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -5-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

(4)     แม้ชีวิตของตนเอง เราก็ยังต้อง ชัง
หมายถึง เราเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อเข้มแข็ง เมื่อเสร็จจากหน้าที่การงานประจำของตนเองแล้ว เรายังจัดเวลาในการรับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หนุนใจ การเยี่ยมเยียน หรือสอนพระวจนะแก่พี่น้องในคริสตจักร

โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เสียสละเวลาในการพักผ่อน เวลาในการท่องเที่ยว เวลาในการสนุกสนาน เพื่อทุ่มเทให้งานของพระเจ้า หรืออีกตัวอย่างเช่น เราทำงานหาเงิน เก็บสะสมเงิน เพื่อจะซื้อสิ่งของอำนวยความสะดวกในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยาน ตู้เย็น แอร์ รถยนต์ ฯลฯ แต่ในขณะนั้นคริสตจักรกำลังระดมทุนเพื่อราชกิจในส่วนต่างๆ เช่น งานพันธกิจ งานสร้างพระวิหาร ฯลฯ เราก็สละความสะดวกสบายส่วนตัว ล้มเลิกสิ่งที่เราจะซื้อ แต่นำเงินส่วนนั้นมาถวายให้กับพระเจ้าผ่านคริสตจักรด้วยความยินดี พฤติกรรมที่แสดงออกนั้นก็ดูเหมือน ชังตัวเองซึ่งการชังตัวเองในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง การเอามีดมาเฉือนเนื้อตัวเอง หรือทรมานตัวเองในรูปแบบต่างๆ แต่เป็นการเสียสละความสุขของตนเองเพื่อผู้อื่น เพื่องานของพระเจ้า
(5)     ใน ข้อ 33 กล่าวว่า ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้
ไม่ได้หมายความว่ามาเป็นคริสเตียน มาเป็นสาวกของพระเจ้าแล้วจะต้องขายบ้านทุกหลังที่มี ขายรถทุกคัน ขายทรัพย์สินสารพัดที่ตนมีอยู่ แต่หมายถึง ชีวิตที่อุทิศเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เพื่อนำคนไปสวรรค์ ช่วยให้คนได้พ้นทุกข์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีการเสียสละเวลาของตนเอง เหมือนกับหมอที่สงสารคนไข้ แม้ไม่ได้อยู่เวรก็ยังมารักษาคนป่วย เหมือนพ่อแม่ที่เสียสละเวลาด้วยความยินดีในการดูแลลูกตลอดชีวิต บางท่านทำงานหนัก เก็บออมเงิน เพื่อทิ้งมรดกให้ลูกหลาน เก็บเงินให้ลูกเป็นแสน เป็นล้าน เป็นหลายล้าน แต่ตัวเองใช้จ่ายอย่างประหยัด พฤติกรรมเช่นนี้ก็จัดอยู่ในหมวดเดียวกับ ไม่รักตัวเอง ชังตัวเอง

2.       ข้อคิดเกี่ยวกับพระคุณของบิดามารดา

เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก

-     พ่อแม่เริ่มดูแลลูกตั้งแต่ยังไม่คลอด เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไว้รอลูก โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งแม่ต้องบำรุงตัวเอง ดูแลตัวเองอย่างดี เสียเงินพบหมอไม่ขาดเพื่อให้ลูกคลอดมาสมบูรณ์
-    เมื่อคลอดมาเป็นทารก พ่อแม่ใส่ใจและทุ่มเททุกอย่างให้ลูก อยากกินก็ได้กิน อยาก
     นอนก็ได้นอน จะอุจจาระปัสสาวะ พ่อแม่เช็ดให้เสร็จสรรพ
เข้าสู่วัยเรียน
-   โตขึ้นมาหน่อย ก็เป็นธุระของพ่อแม่ที่จะหาโรงเรียนให้เรียน หาชุดนักเรียนให้ใส่
     หาเงินให้ไปโรงเรียน
-   อยู่ในวัยเรียนลูกอยากได้อะไรทัดเทียมกับเพื่อนๆ ก็พ่อแม่นั่นแหละเป็นผู้หาให้ เช่น
กระเป๋าใหม่ รองเท้าใหม่ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่พ่อแม่ยินดีหาให้ด้วยความเต็มใจ (ถ้าทำได้)
-   ยิ่งเรียนสูงค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่ม แต่พ่อแม่ทุกคนปรารถนาให้ลูกของตนเรียนสูงที่สุด

พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -6-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เข้าสู่วัยทำงาน
-    หลายคนเรียนจบก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะฝากงานให้ หางานให้ทำ
-    หลายคนขี้เกียจหางานทำ หรือหางานไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดู
-    หลายคนทำงานมีเงินเดือนแล้ว แต่ก็ยังพึ่งพ่อแม่กิน ต้องให้พ่อแม่จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าโทรศัพท์ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถยนต์ และผ่อนอื่นๆ อีกจิปาถะ ซึ่งแน่นอนว่าพ่อแม่ทำด้วยความยินดี
เข้าสู่วัยมีครอบครัว
-     เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องหาสินสอดทองหมั้น หาเงินเพื่องานแต่งงานลูก
-    เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกให้ลูก (เลี้ยงหลาน) โดยไม่รับค่าจ้าง และไม่เห็น  แก่ความเหน็ดเหนื่อย
-    เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องดูแลบ้านแทนลูก (เพราะลูกต้องไปทำงาน) กวาดบ้าน ล้างจาน ตัดหญ้า ทำสวน ฯลฯ ซึ่งหากเราต้องไปจ้างคนอื่นคงต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่พ่อแม่ทำให้ด้วยความเต็มใจ
ภารกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุดของพ่อแม่
-    เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่หาได้ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี ตลอดชีวิต เพื่อสร้าง
     ชีวิตให้ลูก สร้างความมั่นคงให้ลูก สร้างอนาคตให้ลูก สร้างมรดกให้ลูกทั้งสิ้น
-   ทำงานหนัก เหน็ดเหนื่อย เสียสละ แบกภาระ เพื่อลูก ไม่เคยคิดมูลค่าหรือราคา ทำด้วยความยินดี
และเต็มใจที่จะทำตลอดชีวิตของการเป็นพ่อแม่
-    ให้อภัยและให้โอกาสแก่ลูกตลอดชีวิต ผิดแค่ไหน ชั่วแค่ไหน อภัยเสมอ
-    รัก  ห่วงใย ปรารถนาดี ไม่มีที่สิ้นสุด
ในสังคมปัจจุบัน เป็นภาพชินตาที่พ่อแม่ถูกลูกทอดทิ้งยามแก่ชรา หลายคนถูกส่งไปบ้านพักคนชรา หลายมีชีวิตยามยถากรรมไปวันๆ หรือแม้บางคนได้อยู่กับลูกหลาน แต่ไม่เคยได้รับเกียรติและการเอาใจใส่เลย ซึ่งคนของพระเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพราะคำสอนของพระเจ้าก็ได้สอนเรา และเราควรที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักคำสอนของพระองค์ และเราจะเห็นว่ามีพรมากมายตามมาสำหรับคนที่ให้เกียรติและเคารพเลี้ยงดูบิดามารดาของตน ในขณะเดียวกันก็มีภัยพิบัติมากมายหากลูกคนใดอกตัญญูต่อบิดามารดาของตน

ขอฝากพระวจนะ กาลาเทีย 6:9 ที่ว่า อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี
เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร
การทำความดี เป็นเรื่องที่ออกต้องแรง ต้องเหนื่อย ต้องลงทุน พระเจ้าจึงหนุนใจเรา
ไม่ให้เมื่อยล้าในการทำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำดีตอบแทนผู้มีพระคุณต่อชีวิต
ของเรา คิดถึงสิ่งที่พ่อแม่ได้ทำเพื่อเรา เราจะมีกำลังในการทำดีกับท่าน

มีคำพูดของผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าท่านหนึ่งกล่าวว่า
ถ้าเรากำลังจะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นสำหรับคนอื่น ก็ขอจงทำอย่างรวดเร็ว
เพราะเวลากำลังจะหมดไป


พระเจ้าสอนให้คริสเตียนเป็นลูกกตัญญู                               -7-                                              โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

 ข้าพเจ้าอาจผ่านเส้นทางนี้เพียงครั้งเดียว
เพราะฉะนั้นการใดๆ ที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้ หรือความเมตตาใดที่ข้าพเจ้าสามารถ
แสดงออกได้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทำเดี๋ยวนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เหนี่ยวรั้ง ผ่อนผัน
หรือละเลย ไม่ใส่ใจ เพราะว่าข้าพเจ้าอาจไม่ได้ผ่านเส้นทางนี้อีกครั้ง
การกตัญญูต่อบิดามารดานั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องคิดนาน ไม่ใช่สิ่งที่เราควรเหนี่ยวรั้งหรือผัดผ่อน
เพราะใครจะรู้ว่าหากเราไม่ทำดีต่อท่านในวันนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำดีกับท่านเลยก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น