วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ อวสานของโลก ” จาก “ 1ปต.4:7-11 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -1-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

เรื่อง อวสานของโลก จาก 1ปต.4:7-11

                1ปต.4:7-11             อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้ ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูด ก็ให้กล่าวเหมือนหนึ่งกล่าวพระภาษิตของพระเจ้า ถ้าคนใดกระทำบริการ ก็จงให้บริการตามกำลังซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้เกียรติในการทั้งปวง โดยทางพระเยซูคริสต์ พระสิริและไอศวรรยานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
ทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมีเริ่มต้น จะมีสิ้นสุด เมื่อมีเกิด จะมีตาย ... มีเพียง พระเจ้า เท่านั้นที่เป็น องค์นิรันดร์
พระวจนะในตอนนี้ พระเจ้าที่เป็นองค์นิรันดร์ กำลังเตือนมนุษย์ว่า ... อวสานของโลกกำลังเกิดขึ้น โลกกำลังจะสิ้นสุดลง โดยเริ่มต้นนับหนึ่งในยุคของเรา
เหตุการณ์และภัยพิบัตินานาประการที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ถือว่าเป็นเสียงเตือนจากพระเจ้า และเสียงแตรของพระองค์ก็กำลังดังขึ้นเช่นเดียวกัน
1คร.15:52               ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ มีประโยชน์มากสำหรับคนของพระเจ้าและคนทั่วไป เพราะพระองค์ไม่เพียงเตือนเราเท่านั้น แต่พระเจ้ายังทรงบอกแนวทางในการเตรียมตัวรับมือกับอวสานของโลกไว้ให้กับเราด้วย

1. พระวจนะเตือนว่า อวสานของโลก ใกล้เข้ามาแล้ว
1ปต.4:7                  อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
พระวจนะของพระเจ้าเริ่มต้นด้วยการเตือนเราว่า อวสานของโลกและสิ่งทั้งปวง ใกล้เข้ามาแล้ว
ไม่เพียงแต่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เตือนเรา
ในปัจจุบันยังมีอีกหลายสิ่งที่ยืนยันว่า โลกกำลังจะถึงกาลอวสานอย่างที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ด้วย เช่น
- ภาพยนตร์ที่ฉายกันทั่วโลก เรื่อง 2012 (วันสิ้นโลก)
สร้างโดยอ้างอิงจากคำทำนายของชนเผ่ามายันที่ว่า โลกจะถึงคราวดับสูญใน วันที่ 21 ธันวาคม 2012 
- ภาพยนตร์เชิงสารคดี โดย อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ เรื่อง AN INCONVENIENT TRUTH
หรือภาษาไทยใช้คำว่า เรื่องจริง ช็อคโลก ที่สร้างจากข้อมูลและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
- จัดการตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติในประเทศไทย
อันเนื่องจากการเกิดคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004)
- องค์การนาซ่ามีการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2012
เช่น ระบบอิเล็กโทรนิกส์ จำนวนมากจะทำงานผิดปกติ, การอพยพของฝูงสัตว์ ทำให้สูญเสียทิศทาง,
ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม
สนามแม่เหล็กโลก จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย
- ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ทั่วโลกและใกล้ตัวคือประเทศไทย
ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม อากาศหนาวเข้าขั้นวิกฤต ฯลฯ
เหล่านี้ยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อยืนยันถึงความจริงของพระวจนะพระเจ้าว่าอวสานของโลกใกล้มาถึงแล้วจริงๆ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -2-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ในพระคัมภีร์ ไม่เพียงแต่ 1ปต.4:7-11 เท่านั้นที่กล่าวถึงการสิ้นโลก แต่ยังมีพระวจนะอีกหลายตอนที่กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน
มธ.24:4-14             พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลงด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไปท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึงเพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่ในเวลานั้นเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเราคราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วยผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไปความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไปแต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอดข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
พระวจนะตอนนี้ เป็นตอนที่พระเยซูคริสต์ ตรัสกับสาวกถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนอวสานของโลก
เช่น มีเสียงสงคราม เกิดการกันดาร มีแผ่นดินไหว ความรักเยือกเย็นลง ข่าวประเสริฐแพร่ไปทั่วโลก
เหล่านี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วตามพระวจนะของพระเจ้า

ส่วนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามพระวจนะ มีดังนี้
มธ.24:15-22           เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้นตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดีย หนีไปยังภูเขาผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของออกจากตึกของตนผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตนแต่ในวันเหล่านั้น อนิจจา น่าสงสารหญิงที่มีครรภ์ หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาว หรือในวันสะบาโตด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีกถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดีย หนีไปยังภูเขา ... หมายถึง ภูเขาหรือที่สูงเท่านั้นที่จะหนีน้ำท่วมได้
ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของ, อยู่ในทุ่งนา อย่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของตน
 ... เพราะถึงเวลาที่เกิดภัย สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตไม่ใช่ ทรัพย์สิน
สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือ การอธิษฐานขอให้พระเจ้าปกป้องเราจากภัยพิบัติทั้งปวง

วว.6:5-7                  เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สามนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินสัตว์ตัวที่สามร้องว่า "มาเถอะ" แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด ม้าดำตัวหนึ่งเข้ามา และท่านที่ขี่ม้านั้นถือตราชู แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียง เหมือนกับว่าดังออกมาจากท่ามกลางสัตว์ทั้งสี่นั้นว่า "ข้าวสาลีราคาทะนานละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบารลีสามทะนานต่อหนึ่งเดนาริอัน แต่เจ้าอย่าทำอันตรายแก่น้ำมันและน้ำองุ่น" เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สี่นั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสัตว์ตัวที่สี่ร้องว่า "มาเถอะ"  
ก่อนอวสานของโลก จะเกิดวิกฤตในด้านอาหารการกิน เพราะทุกอย่างส่งผลกระทบถึงกันหมด
อากาศหนาว พืชผักปลูกไม่ได้ ทำให้อาหารมีน้อยลง และเมื่อมีน้อย ราคาจึงแพงขึ้น ในที่สุดจะเกิดสงครามแย่งชิงอาหาร
นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนเราแล้ว ถ้าเรายังไม่ได้ยินเสียงเตือนของพระเจ้า
และนำตัวเองเข้าสู่ภัยพิบัติ ถึงนาทีนั้นคงพูดได้คำเดียวว่า สมน้ำหน้า

2. เมื่ออวสานของโลกใกล้เข้ามา พระวจนะเตือนให้เรามีท่าทีอย่างไร?
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า พระวจนะของพระเจ้าใน 1ปต.4:7-11 ไม่เพียงแต่เป็นการเตือนเท่านั้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -3-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

แต่พระเจ้ายังบอกถึงท่าทีที่เราจะใช้ในการรับมืออวสานของโลกด้วย ดังนี้
2.1 ต้องมีสติสัมปชัญญะ
1ปต.4:7                  ...เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ...
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อเตือนคนของพระเจ้าว่าใกล้จะถึงเวลาอวสานของโลกแล้ว
สิ่งที่เราต้องมี คือ สติสัมปชัญญะ
ลก.21:28                                เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะบังเกิดขึ้นนั้น ท่านทั้งหลายจงยืดตัวและผงกศีรษะขึ้น ด้วยการไถ่ท่านใกล้จะถึงแล้ว
ผงกศีรษะ คือ รู้ตัว ตื่นตัว มีสติอยู่กับตัวเสมอ
เหตุการณ์ต่างๆ ต้องทำให้เราตระหนักได้ว่าเวลาของพระเจ้าใกล้มาถึงแล้ว

ทต.2:11-12             เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว เพื่อช่วยคนทั้งปวงให้รอดสอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
เราต้องมีสติในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอภัยพิบัติต่างๆ
ต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ อย่าใช้ชีวิตอย่างไร้สติ ...
บางคนแม้รู้ว่าอวสานของโลกใกล้จะมาแล้ว ยังขาดโบสถ์กันอยู่เลย ยังนินทากันอยู่เลย ... แบบนี้เรียกว่าไม่มีสติ
เราจะมีสติได้ ต้องรู้จักใช้ความคิด คือ คิดอย่างปราชญ์ คิดอย่างสุขุม คิดอย่างรอบคอบ คิดด้วยความรู้และข้อมูล
สำคัญที่สุดเราต้องคิดอย่าง จักรพรรดิ เพราะเราเป็นลูกของกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง (1ทธ.6:15)
มองที่อนาคต อะไรผ่านได้ต้องผ่าน อะไรข้ามได้ ต้องข้าม อย่าทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์
อย่าคิดแบบขอทาน ที่แม้เงินบาทสองบาทก็ทำให้ฆ่ากันตายได้ ... แบบนี้เรียกกว่าไม่มีสติ

คนมีสติ จะรู้จักแยกแยะความสำคัญและเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง
สภษ.20:12              หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเจ้าทรงสร้างมันทั้งสอง
ลูกพระเจ้าต้องมีตาที่มองเห็น มีปัญญาเข้าใจได้ รู้จักแยกแยะในการดำเนินชีวิต 

ข้อคิดเกี่ยวกับการมีสติในการเรียงลำดับความสำคัญของชีวิต
มธ.6:33-34             แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ "เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว
คนมีสติ จะตระหนักและให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ มาก่อนเรื่องวัตถุ
พระเจ้าต้องมาก่อน คุณธรรมต้องมาก่อน ความชอบธรรมต้องมาก่อน ความรอดต้องมาก่อน
อย่าทุ่มเทหรือกังวลเรื่องวัตถุมากเกินไป เพราะเรามาตัวเปล่า ในที่สุดต้องจากไปตัวเปล่า
แต่เราจะไม่ไปสวรรค์มือเปล่า หากเราได้ทุ่มเทให้กับพระเจ้าและจิตวิญญาณก่อนสิ่งอื่นเสมอ

ลก.9:24-25             เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอดเพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
คนมีสติ จะรู้ว่าได้ของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิต จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ได้เป็นเจ้าของทองคำทั้งโลก เพชรทั้งโลก แต่พรุ่งนี้ต้องตายด้วยโรคมะเร็ง จะมีประโยชน์อะไร
ได้เงินเดือนมากขึ้น บ้านใหญ่ขึ้น รถแพงขึ้น แต่บ้านแตกสาแหรกขาด จะมีประโยชน์อะไร
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -4-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ถึงเวลาวิกฤตและเกิดภัยพิบัติ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ชีวิต
ตราบใดมีชีวิต ตราบนั้นเราสามารถหาทรัพย์สินได้ไม่มีสิ้นสุด
ดังนั้น ต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง แทนที่จะมุ่งสร้างวัตถุ ควรมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตดีกว่า

รม.14:17                 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
คนมีสติ จะรู้ว่า เราต้องกินและดื่ม แต่เราไม่ได้อยู่เพื่อกินและดื่ม เราอยู่เพื่อทำประโยชน์
สิ่งสำคัญกว่าการมีท้องที่กินอิ่ม หรือมีร่างกายสำหรับเครื่องนุ่งห่ม
คือ สันติสุข ความชอบธรรมและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าเรามีสติ เราจะสามารถจัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้อย่างถูกต้อง
และถ้าเราเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าอวสานของโลกจะเกิดขึ้นวันไหน เราก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

2.2 ต้องรู้จักสงบใจ
1ปต.4:7                  ...และจงรู้จักสงบใจ...
ข้อนี้สืบเนื่องจากเรื่องของการมีสติ ... ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการมีสติ ในที่สุด เราจะเป็นผู้ที่สงบใจได้
คำว่า สงบ ง่ายต่อการพูด ฟังไพเราะ แต่ยากในการลงมือกระทำให้เป็นรูปธรรม
ความสงบ เป็นเรื่องความมั่นคงของจิตใจ
สงบใจ ไม่ได้หมายถึง อยู่เฉยๆ ไม่ทำการทำงานหรือไม่ทำอะไร
แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจที่รู้สึกสงบอย่างแท้จริง
เป็นภาพสะท้อนของผู้ที่มีวุฒิภาวะ ผู้ที่เติบโตทางจิตวิญญาณ
การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเกิดความสงบทางจิตใจได้ คนๆ นั้นต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง
วุฒิภาวะในที่นี้ ไม่ได้ขึ้นกับอายุฝ่ายร่างกาย แต่ขึ้นกับความเติบโตด้านจิตใจและจิตวิญญาณ

ก. ความสงบ เกิดขึ้นได้เพราะความเข้าใจชีวิต
เราจะเกิดความสงบได้ ความจำเป็นประการแรก คือ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจชีวิต
เข้าใจชีวิตของตัวเอง เข้าใจชีวิตของผู้อื่น เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ เข้าใจธรรมชาติของโลก
มธ.5:18                   เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว
เราต้องเข้าใจว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยผ่านพระคัมภีร์
การอวสานของโลกก็เช่นกัน พระเจ้าเตือนไว้แล้ว ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่ตื่นตระหนก แต่เราจะสงบใจ

ลก.1:37                  เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้
บ่อยครั้งเราทุกข์และไม่สามารถสงบได้ เพราะมีหลายอย่างที่เราทำไม่ได้และแม้ทำได้ก็อาจจะไม่ได้ดั่งใจ
เราจะสงบได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจความจำกัดของมนุษย์ ...
แม้เราทำดีที่สุด แต่ยังมีช่องโหว่ที่มนุษย์ทำไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถทำสำเร็จได้ทุกสิ่ง
หากเราได้ทำทุกอย่างเต็มกำลังแล้ว ยึดไว้เลยว่า พระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่า มนุษย์
สิ่งที่เราทำไม่ได้ พระเจ้าทำได้ ... ข้อควรระวัง คือ เราต้องทำสุดกำลังของเราก่อน จึงจะเข้าสู่กำลังของพระเจ้า
ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เข้าใจได้อย่างนี้ เราจะมีความสงบเกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าต้องเผชิญสถานการณ์อย่างไรก็ตาม
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -5-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ข. ความสงบ เกิดขึ้นได้เพราะไว้วางใจพระเจ้า
เราจะเกิดความสงบในชีวิตได้ ขึ้นกับ 2 ใจ คือ 1) ต้องมีความเข้าใจ 2) ต้องมีความไว้วางใจ
แต่เราจะวางใจในพระเจ้าได้ ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในพระองค์ก่อน
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โลกจะวิกฤติขึ้นในทุกรูปแบบ เมื่อเรายังอยู่ในโลกนี้เราต้องเผชิญสิ่งนั้นด้วย
แต่อย่าลืมว่า เรายังมีพระเจ้า ... มนุษย์จะสงบได้อย่างถาวรที่สุด ก็ต่อเมื่อมนุษย์ผู้นั้นมีพระเจ้าและไว้วางใจในพระองค์
เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราไม่รู้ว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งภัยของมนุษย์
แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องยึดพระวจนะและพระสัญญาของพระเจ้า
วางใจในพระองค์ ให้พระเจ้านำ และเราต้องเชื่อฟังพระองค์สุดใจ

ตัวอย่างพระสัญญาของพระเจ้า
ยน.10:28                                เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
ในทุกวิกฤต ในทุกปัญหา ในทุกความยากลำบาก เราจะมีทางออก
พระเจ้าสัญญาแล้วว่าเราจะไม่พินาศ พระองค์เป็นผู้ดูแลรักษาเราเอง
ลก.12:7                  ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น อย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว
แม้ผมของเราพระเจ้ายังทรงนับ ทุกปัญหา ทุกหยุดน้ำตา พระเจ้าทรงนับไว้หมดแล้ว
ขอให้เราเชื่อวางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยเหลือเราเสมอ
อสย.43:2                                เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะ ไม่เผาผลาญเจ้า
เมื่อเราลุยน้ำ หรือลุยไฟ น้ำและไฟ จะไม่ท่วมเรา พระเจ้ามีวิธีปกป้องเรา
อสย.46:4                                จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะ ช่วยให้รอด
อสย.49:16              ดูเถิด เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา กำแพงเมืองของเจ้าอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
ชื่อของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราเป็นของพระองค์ เราเป็นลูก พระบิดาจะทรงดูแลเรา
แต่พระเจ้าจะดูแลเราก็ต่อเมื่อเรายอมให้พระเจ้าดูแลเท่านั้น
ขาดโบสถ์เป็นประจำ ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีเวลาอธิษฐาน แต่ขอพระเจ้าดูแล พระองค์ทำไม่ได้
เพราะเราไม่ยอมทำตามเงื่อนไขของพระองค์ และเมื่อถึงเวลาที่เราต้องรับภัย เราไม่สามารถโทษพระเจ้าได้
เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายปล่อยเรา เราเองต่างหากที่ปล่อยพระองค์

2.3 ต้องอธิษฐานและอธิษฐาน
1ปต.4:7                  ...และจงรู้จักสงบใจ เพื่อแก่การอธิษฐาน
คำว่า อธิษฐาน ดูเหมือนง่าย แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำยากสิ่งหนึ่งในชีวิตคริสเตียน
เพราะเป็นขบวนการรบฝ่ายวิญญาณ มารรู้ว่าไม่มีเครื่องมือใดที่ทรงพลังเท่ากับการ อธิษฐาน
มนุษย์ต่อสู้กับมารไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ต่อสู้มารได้ด้วยกำลังของพระเจ้าผ่านการอธิษฐาน
มันจึงเข้ามาขัดขวางเราทุกวิถีทาง ...
ให้เราคุยเรื่องไร้สาระ คุยกันได้ทั้งวัน แต่เมื่อจะอธิษฐาน เรากลับไม่มีคำพูด
คุยเรื่องทั่วไปต่อให้เวลายาวแค่ไหน ก็ดูเหมือนสั้น ... แต่เมื่ออธิษฐานทีไร ต่อให้เวลาสั้นแค่ไหนก็ดูเหมือนยาว
พระเจ้าจึงเตือนว่าเมื่ออวสานใกล้เข้ามา เราต้องยิ่งอธิษฐานและอธิษฐานมากขึ้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -6-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

สำหรับคริสเตียนนั้น การอธิษฐานก็เปรียบเหมือนการชาร์ตแบตฯ ฝ่ายวิญญาณ
เมื่อแบตฯ หมด กำลังหมด ความหวังหมด ความท้อใจเกิดขึ้น เราต้องรีบชาร์ตแบตฯ กับพระเจ้า
และที่จริงแล้ว การอธิษฐาน ก็ไม่ต่างกับการพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารระหว่างคนที่รักกัน
สามีภรรยา พ่อแม่ลูก คนที่รักกัน ต้องพูดคุยกันทุกวันฉันใด การอธิษฐานก็เป็นฉันนั้น
เราเป็นลูก พระเจ้าเป็นพ่อ เราเป็นเจ้าสาว พระเจ้าเป็นเจ้าบ่าว เราเป็นทาส พระเจ้าเป็นนาย เป็นต้น
แต่ในการอธิษฐาน เราก็ต้องอธิษฐานอย่างมีสติ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาอธิษฐานตลอดเวลา ไม่ทำการทำงาน
เราต้องวางใจในพระเจ้าอย่างมีสติ อธิษฐานอย่างคนที่รู้จักพระเจ้า

เราควรอธิษฐานอย่างไรและเรื่องอะไร เมื่ออวสานของโลกใกล้เข้ามา
ก. อธิษฐานขอกำลัง ขอการทรงนำ ขอสติปัญญาจากพระเจ้า
เราสามารถขอกำลังจากพระเจ้าได้ ผ่านคำอธิษฐาน
มธ.26:41                 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลองจิตใจพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลัง
สดด.28:7                พระเจ้าทรงเป็นพระกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้าจิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ และจิตใจของข้าพเจ้าก็ปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
สดด.46:1                พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก
กำลังของมนุษย์มีจำกัด แต่กำลังของพระเจ้ามีไม่จำกัด เมื่อเราหมดกำลัง เราขอรับกำลังจากพระเจ้าได้เสมอ

เราสามารถขอการทรงนำจากพระเจ้าได้ ผ่านคำอธิษฐาน
ยน.6:44                  ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามา...
2คร.2:14                 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย...
เรามาถึงพระเจ้าได้ ก็เพราะพระเจ้าทรงนำ
ดังนั้น เราจะผ่านพ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ ก็ต้องขอให้พระเจ้าทรงนำเราเช่นกัน
เรามองไม่เห็นอนาคต แต่เราสามารถฝากมอบอนาคตของเราไว้ให้พระเจ้าทรงนำได้
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องการรับใช้ เรื่องครอบครัว หรือเรื่องของคริสตจักร

เราสามารถขอสติปัญญาจากพระเจ้าได้ ผ่านคำอธิษฐาน
ยก.1:5                     ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญาก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
เมื่อเรามีปัญญา เราจะรู้จักความจริง เมื่อเรารู้จักความจริง ความจริงก็จะทำให้เราเป็นไท
จำไว้ว่าบ่อยครั้ง ความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันความจริงจะรักษาเราด้วย

ข. อธิษฐานขอการปกป้องคุ้มครอง ขอความเมตตา ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
เราสามารถอธิษฐานขอจากพระเจ้า ในส่วนที่เราทำไม่ได้
แต่อย่าลืมว่าส่วนที่เราทำได้ เราต้องทำอย่างสุดกำลัง ... เมื่อสุดกำลังของเรา จึงจะเข้าสู่กำลังของพระเจ้า
ยรม.29:11-13         พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้ อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -7-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

พระเจ้าทรงจัดเตรียม แผนงาน ให้กับเราทุกคน, พระเจ้าทรงจัดเตรียม สวัสดิภาพ ให้กับเราทุกคน
พระเจ้าทรงจัดเตรียม อนาคต และ ความหวังใจ ให้กับเราทุกคน
แต่เงื่อนไขที่เราจะได้รับสิ่งต่างๆ คือ การแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ อธิษฐานกับพระองค์เสมอ
แล้วในที่สุด เราจะเห็นว่าในวิกฤต พระเจ้ามีทางออกให้กับเราเสมอ พระเจ้าช่วยเราเสมอ
และตัวเราเองจะเป็นแขนขาของพระเจ้าในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

2.4 เราต้องรักกันและกันให้มาก
1ปต.4:8                  ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
ความรัก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าย้ำให้เรากระทำ เมื่ออวสานของโลกกำลังจะเกิดขึ้น
พระเจ้าไม่ได้สอนให้เรารักกันแบบธรรมดาเท่านั้น แต่พระเจ้าย้ำกว่า จงรักกันและกันให้มาก
หลักการของศาสนาต่างๆ มักจะให้มีการทำบุญ ทำทาน เพื่อเป็นการขจัดภัยสู่ชีวิต
สำหรับพระเจ้านั้น พระองค์สอนให้เรารักกันและกันให้มาก
เพราะการกระทำสิ่งนี้ เป็นมากกว่าบุญ มากกว่าทาน และจะเป็นการนำพรมาสู่ตัวเอง
เราจะรักผู้อื่นได้ ต้องใช้กำลัง ไม่ใช่ใช้อารมณ์ ... ต้องตัดสินใจรัก
เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยรักเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นคนบาป
เราต้องเหยียดสุดตัว สุดกำลัง เพื่อที่จะรักผู้อื่นได้ เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา

ขบวนการความรักของพระเจ้า เริ่มต้นจาก รักพี่น้อง แล้วจึงรักคนทั่วไป และจบท้ายด้วยการรักศัตรู
มธ.5:43-47             ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรูฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่านทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรมแม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
การรักพี่น้องของตน รักคนสนิท เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
แม้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าหรือคนที่ชั่วที่สุดของโลก เขาก็มีความรักแบบนี้ได้
แต่เส้นทางเดินของลูกพระเจ้าต้องสูงกว่านั้น คือ เราต้องรักได้แม้กระทั่งศัตรู
เมื่อเรารักศัตรู เราจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าในสวรรค์ เพราะพระเจ้ายุติธรรม พระองค์รักทุกคน
ความรักของเราต้องถูกยกระดับขึ้น ในที่สุดจะกลายเป็นบารมีของพระองค์ป้องกันภัยจากซาตาน

สภษ.16:7                เมื่อทางของมนุษย์เป็นที่โปรดปรานแก่พระเจ้าแม้ศัตรูของเขานั้นพระองค์ก็ทรงกระทำให้คืนดีกับเขาได้
การรัก เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง คือ ปล่อยคน ด้วยใจเมตตา ด้วยคุณธรรมของพระเจ้า
เมื่อใกล้วันสิ้นโลก หรือใกล้วันที่เราจะสิ้นใจ เราจะรู้ตัวว่าเราควรทำอะไร
การทำดี การอธิษฐานเผื่อ เอาความขมขื่นออกจากชีวิต ผลดีจะตกกับตัวเราเอง
แม้ศัตรู พระเจ้าก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นมิตรได้
เมื่อเรายื่นน้ำใจของเราให้ใคร น้ำใจของพระเจ้า น้ำใจของผู้อื่น จะอยู่รอบตัวเราเสมอ

2.5 เราต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีมากๆ โดยไม่บ่น ไม่ฝืนใจ
1ปต.4:9                  ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -8-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ไม่เพียงเราต้องรักและกันให้มากขึ้นเท่านั้น แต่พระเจ้ายังสั่งให้เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วย
จงต้อนรับเลี้ยงดู ... โดยไม่บ่น คือ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีให้มากขึ้น ทำโดยไม่บ่น ทำโดยไม่ฝืนใจ
2คร.9:7                   ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
การเอื้อเฟื้อหรือการทำดี ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับน้ำใจของเรา
เราสามารถช่วยเหลืออะไรใครได้ ให้เราทำ ... แล้วเมื่อถึงคราวที่เราลำบาก พระเจ้าจะช่วยเรา

1ทธ.6:18-19           จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว อย่างนี้ จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
ความดี เป็นวัคซีนจากสวรรค์ เพื่อป้องกันวิกฤตและภัยให้กับเรา
คนที่มีเงินมาก อย่าคิดว่าเงินจะช่วยได้ทุกอย่าง ... เงินห้ามภัยธรรมชาติไม่ได้ เงินทำให้คนรักกันไม่ได้
เงินป้องกันอุบัติเหตุของชีวิตไม่ได้ ... พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
พระเจ้าจึงสอนให้เรายึดชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่ยึดชีวิตอนิจจังในโลกนี้

มธ.25:35-40           เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา" เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลก หน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร" แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"
พระเจ้าทรงวางแบบอย่างแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการทำดีเอาไว้ในพระวจนะตอนนี้
เมื่อเราทำดีกับคน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน เท่ากับเราได้ทำกับพระเจ้า
และเป็นการสะสมความดีไว้ให้กับตัวเองในภายภาคหน้า
เรามาตัวเปล่าและต้องจากไปตัวเปล่าก็จริง แต่เราจะไม่ไปสวรรค์มือเปล่า ... เราต้องไปด้วยมือที่เต็มด้วยพระพร
พระพรที่จะตามติดเราไปสวรรค์ คือ การรับใช้พระเจ้า รับใช้มนุษย์ในโลกนี้แหละ

2.6 เราต้องใช้ของประทานอย่างเต็มที่
1ปต.4:10-11           ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูด ก็ให้กล่าวเหมือนหนึ่งกล่าวพระภาษิตของพระเจ้า ถ้าคนใดกระทำบริการ ก็จงให้บริการตามกำลังซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้เกียรติในการทั้งปวง โดยทางพระเยซูคริสต์ พระสิริและไอศวรรยานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
ประการสุดท้ายที่พระเจ้าเตือนเราผ่านพระวจนะของพระองค์ คือ ให้ใช้ของประทานอย่างเต็มที่
ซึ่งถือเป็นการเตรียมตัวที่มีสติสัมปชัญญะมากที่สุด
จากพระวจนะทั้งสองข้อนี้ มีคำที่เราควรให้ความสำคัญ ดังนี้
(1) ใช้ของประทาน (2) เพื่อสำแดงพระคุณ (3) ให้พระเจ้าได้เกียรติในการทั้งปวง
ถ้าเราไม่รับใช้พระเจ้า ถ้าเราไม่ใช้ของประทาน ความดีของพระเจ้า ผู้คนจะไม่รู้ พระคุณของพระเจ้า ผู้คนจะไม่เห็น
ข่าวประเสริฐของพระเจ้า จะไม่ประเสริฐ คนจะคิดว่าศาสนาหรือคำสอนไหนๆ ก็เหมือนกันหมด
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -9-                                                                  โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

ท้ายที่สุด พระเจ้าจะไม่ได้รับพระเกียรติ หากเราไม่รับใช้และไม่ใช้ของประทานอย่างเต็มที่

ก. ทุกคนมีของประทานจากพระเจ้า
รม.12:6                   และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ
เราจะใช้ของประทานได้อย่างเต็มที่ ต้องเริ่มต้นที่การตระหนักว่าเราทุกคนล้วนมีของประทานจากพระเจ้า
1) ของประทานและความสามารถตามธรรมชาติ
เช่น ทุกคนมีปากไว้พูด ... ทุกคนสามารถประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้ ไม่มีเงื่อนไข ถ้าเรามีปาก
กจ.1:8                     แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
มก.16:15                                ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
เราต้องใช้ทุกช่อง ทุกโอกาส เพื่อเป็นพยานประกาศข่าวประเสริฐ
เราต้องบอกทุกคนที่เราเจอ ทุกที่ๆ เราไป เพราะพระเจ้าต้องการให้เราประกาศกับ ทุกคน ทั่วโลก
นอกจากนี้ของประทานตามธรรมชาติ ยังได้แก่ความสามารถพิเศษที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
เช่น ความสามารถในการเล่นดนตรี ... ไม่ใช่ทุกคนจะเล่นได้
ความสามารถในการทำอาหาร หรือความสามารถในการร้องเพลง ... เหล่านี้ถือเป็นของประทานตามธรรมชาติ

2) ของประทานและความสามารถฝ่ายวิญญาณ
นอกจากทุกคนมีของประทานและความสามารถจากธรรมชาติแล้ว
เราทุกคนยังมีของประทานและความสามารถฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้าอีกด้วย
ของประทานฝ่ายวิญญาณ ปรากฎอยู่ในพระวจนะ ดังนี้
1คร.12:4-10           ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆ ในทุกคน งานรับใช้มีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆและให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้
1คร.12:28               และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่งอัครทูต สองผู้เผยพระวจนะ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีผู้กระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาโรค ผู้อุปการะ ผู้ครอบครอง และผู้รู้ภาษาแปลกๆ            
รม.12:6-8               และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี
อฟ.4:11                  ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
ของประทานฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้านั้น เป็นความสามารถเกินธรรมชาติของมนุษย์
เช่น การรักษาโรค การกระทำอิทธิฤทธิ์ การปรนนิบัติ ฯลฯ มีได้ เป็นได้ โดยพระเจ้าทรงประทานให้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 10 รอบเช้า                                                -10-                                                                โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน

หากเรามีของประทานและความสามารถพิเศษด้านใด พระเจ้ากำลังเตือนให้เรารับใช้ตามนั้นอย่างเต็มที่

ข. เราต้องใช้ของประทานแจกจ่ายสำแดงพระคุณ
1ปต.4:10                                ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า
ของประทานที่พระเจ้าประทานมาให้นั้น ไม่ใช่ให้เราเก็บไว้เฉยๆ หรือเอาไว้โอ้อวดความสามารถของตัวเอง
แต่พระเจ้าประสงค์ให้เราใช้ของประทานเหล่านั้น สำแดงพระคุณของพระเจ้า
เราต้องเป็นผู้รับมอบฉันทะ (ผู้รับมอบของประทาน) ที่ดีของพระเจ้า ไม่ใช่ผู้รับมอบที่เลว
เช่น ถ้ามีของประทานในการเป็นศิษยาภิบาล ก็ต้องอภิบาลศิษย์ ไม่ใช่ทำตัวเป็นผู้รับจ้าง (รอรับแต่เงิน ไม่มีเงินก็ไม่ทำงาน)
ถ้ามีของประทานในการให้ถ้อยคำที่ประกอบด้วยสติปัญญา ก็ต้องรู้ว่าอะไรควรพูดเวลาไหน กับใคร อย่างไร
ต้องใช้ของประทานจากพระเจ้า ให้ถูกที่ ถูกคน ถูกกาลเทศะ ผู้คนจะสัมผัสได้ถึงพระคุณของพระองค์
เรามีของประทานอย่างไร ใช้ของประทานของเราอย่างเต็มกำลัง สุดกำลัง แต่อย่าเกินกำลัง

ค. เราต้องใช้ของประทานให้พระเจ้ารับเกียรติ
1ปต.4:11                                ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูด ก็ให้กล่าวเหมือนหนึ่งกล่าวพระภาษิตของพระเจ้า ถ้าคนใดกระทำบริการ ก็จงให้บริการตามกำลังซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้เกียรติในการทั้งปวง
หลักการใช้ของประทานที่สำคัญที่สุด คือ การใช้ของประทานนั้น เพื่อให้พระเจ้ารับเกียรติ
จะทำอะไร จะเป็นอะไร ทำให้ดีที่สุดเพื่อให้พระเจ้ารับเกียรติ
เพื่อให้คนเห็นพระคุณนานาประการของพระเจ้า  เพื่อให้พระเจ้าเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งทั้งปวง
ยน.3:30                  พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง
1คร.15:28               เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว เมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้า ผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง
ในการใช้ของประทานทั้งปวง คิดเสมอว่าพระเจ้าต้องได้รับเกียรติ
จะถือว่าเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด
ในที่สุดเราจะปลอดภัยท่ามกลางภัยพิบัตินานาประการที่เกิดขึ้นก่อนอวสานของโลกจะมาถึง
เราจะเป็นผู้มีชัยในทุกสถานการณ์ เราจะมีส่วนในการนำผู้คนรอด และพระเจ้าจะรับพระเกียรติ

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกพระเจ้าทุกคน
จะมีหูที่ฟังแล้วได้ยินเสียงเตือนของพระเจ้า มีตาที่มองเห็นสัญญาณจากพระองค์
มีใจที่ไม่แข็งกระด้าง ไม่ดื้อดึง และตื่นตัวเตรียมชีวิตของตัวเองให้พร้อม ...
ก่อนที่โลกจะอวสาน มนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานาประการ
พระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยกู้และช่วยปกป้องเราได้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น