คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ ศิลปะในการเข้าใจชีวิต ”
มนุษย์จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ ต้องมีศิลปะในการเข้าใจชีวิต
ชีวิตมนุษย์เป็นทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ศาสตร์ คือ สูตร ตายตัว แก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ศิลป์ คือ การยืดหยุ่น การประยุกต์ การเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ต่างๆ ของแต่ละคน
ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับว่าเรามีศิลปะในการเข้าใจชีวิตมากแค่ไหน
ยน.2:25 เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
พระเจ้าทรงรู้จัก ทรงรู้ดี และทรงเข้าใจว่าในชีวิตมนุษย์มีอะไรบ้าง เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างมนุษย์
แต่มนุษย์กลับไม่รู้จัก และไม่เข้าใจตัวเองและผู้อื่นว่ามีอะไรอยู่ในตัวมนุษย์
นี่เป็นสาเหตุของปัญหา และส่งผลให้มนุษย์ปราศจากความสุขในการดำเนินชีวิต
ศิลปะในการเข้าใจชีวิต มีอะไรบ้าง?
1. เราต้องเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในมนุษย์
เราจะมีศิลปะในการเข้าใจชีวิต ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในมนุษย์
เราต้องรู้ว่าลึกๆ มนุษย์ต้องการอะไร พื้นฐานความต้องการของมนุษย์ทุกคน คือ อะไร
เราต้องเข้าใจ เราจึงจะใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้อง
1.1 มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสุข
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว คือ ทุกคนปรารถนาความสุข
ทั้งหมดที่ทำ ทั้งหมดที่เป็น ทั้งหมดที่ลงทุน ทั้งหมดที่เหน็ดเหนื่อย ก็เพื่อที่จะได้มาซึ่งความสุข
มนุษย์มีอะไรก็ตามในชีวิต สุดท้ายก็เพื่อความสุขนั่นเอง
ศิลปะในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข คือ
ก. พระเยซูมาเพื่อให้มนุษย์มีความสุข
ศิลปะในการดำเนินชีวิตประการแรก คือ ต้องมีองค์พระเยซูคริสต์ในชีวิต
เพราะพระองค์มาเพื่อให้มนุษย์มีความสุข เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขนิรันดร์
เป็นความสุขที่เกินความเข้าใจ และเกินกว่าที่มนุษย์จะหาได้
ยน.14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
พระเจ้าทรงประทานสันติสุขให้กับมนุษย์ ... สันติสุขนั้นเกินความสุข แตกต่างและเป็นมากกว่าสุขที่โลกให้
โลก (วัตถุ) ให้เราได้ คือ ความสะดวก สบาย ซึ่งหลายคนตีความว่านั่น คือ ความสุข
ความสะดวก สบาย เป็นส่วนหนึ่งของความสุข แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ทั้งหมดของความสุข คือ สันติสุขต่างหาก ... เงินซื้อไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงให้ได้
ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
คนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์
แต่หมายความว่าในความทุกข์ ในความยุ่งยาก ในปัญหาของชีวิต เรายังมีความสุขและมีสันติสุขได้โดยพระเจ้า
ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราเข้าถึง ถ้าเรามีพระเจ้าในชีวิต เราก็มีความสุขเช่นนี้ได้
ข. มนุษย์จะสุขได้ ต้องเข้าใจ เข้าถึง ความหมายของความสุข
ศิลปะในข้อนี้ ต่อเนื่องจากข้อ ก. เราจะสุขได้อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความหมายและนิยามของคำว่า “ความสุข”
(1) ความสุข ไม่ใช่ ความสะดวก สบาย
(2) ความสุข คือ การได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่า
ทุกคนต้องการความสะดวกสบาย แต่ความสะดวกสบายนั้น มันเป็นคนละเรื่องกับความสุข
ผู้นำศาสนาของโลก ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนที่มีความสะดวกสบาย ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย
แต่กลับเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นพระเยซูคริสต์ พระพุทธเจ้า หรือโมเสส
สิ่งที่ทำให้ท่านเหล่านั้นมีความสุข คือ การทำในสิ่งที่มีคุณค่า ต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคม
ไม่จำเป็นต้องมีความสะดวกสบาย แต่ชีวิตก็มีความสุขได้ ... นี่คือศิลปะในการเข้าใจชีวิต
ค. ถ้าอยากจะมีความสุข เราต้องไม่ยอมให้อดีตมาทำลายปัจจุบัน
ไม่เพียงต้องเข้าใจความหมายของความสุขเท่านั้น
แต่หากเราอยากมีความสุข ต้องไม่ยอมให้ “อดีต” มาทำลาย “ปัจจุบัน” ด้วย
ไม่ว่าใครสนใจเราหรอกว่า ในอดีตเราเคยเป็นอะไร เคยทำอะไร เคยยิ่งใหญ่แค่ไหน
ผู้คนสนใจว่าปัจจุบันเราทำอะไร เราเป็นอะไร และเรามีอะไร?
เราอาจจะ “เคย” เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นใครที่ใหญ่โต ... แต่ “เดี๋ยวนี้” ไม่ได้เป็นแล้วนี่
ถ้าอยากจะมีความสุข ต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ผู้คนสนใจที่ปัจจุบันและพระเจ้าสนใจเราที่ปัจจุบันเช่นกัน
วันที่สำคัญที่สุด คือ “วันนี้” ไม่ใช่ “เมื่อวาน” ... ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คือ “เดี๋ยวนี้” ไม่ใช่ “เมื่อก่อน”
อดีตมันผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่อนาคตยังมาไม่ถึง เราสร้างมันได้ผ่านปัจจุบัน
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขอยู่กับวันนี้ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต
ง. ความสุข ไม่ใช่ความรู้สึกหรือความทรงจำที่เลื่อนลอย แต่เป็นแก่นสารของชีวิต
ความสุข ไม่ใช่ ความรู้สึก แต่เป็นแก่นสารของชีวิต
แก่นสารที่แท้จริงของมนุษย์ คือ เมื่อมนุษย์อายุมากขึ้น ต้องมีองค์ความรู้มากขึ้น ต้องมีสาระมากขึ้น
ต้องเป็นประโยชน์มากขึ้น ต้องมีความสุขมากขึ้น และต้องบรรลุสัจธรรมมากขึ้นด้วย
เมื่อเราบรรลุสัจธรรมมากขึ้น เราจะเข้าใจเข้าถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆ มากขึ้น
รวมถึงธรรมชาติของความสุขที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาด้วย
ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่เป็นความทรงจำที่เลื่อนลอย
และเราทุกคนสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง โดยสร้างมันผ่านแก่นสารของชีวิต
1.2 มนุษย์เป็นอย่างที่แต่ละคนเป็น
อพย.3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น...
เมื่อพระเจ้าทรงเป็นอย่างที่พระองค์เป็น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แต่ละคนให้เป็นอย่างที่เขาเป็นด้วย
มนุษย์แต่ละคนเป็นแตกต่างกัน ตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เขาเป็น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
1คร.3:5-6 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต
เปาโล เป็นผู้ปลูก อปอลโล เป็นผู้รดน้ำ ... เราแต่ละคนเป็นแตกต่างกันตามที่พระเจ้ากำหนด
เราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร ตามที่พระเจ้ากำหนด
ก. เราจะให้ทุกคนเป็นเหมือนกันไม่ได้
คนที่พูดว่า “ทำไมคนนั้น ไม่เป็นเหมือนคนนี้” “ทำไมคนนี้ ไม่เป็นเหมือนคนโน้น”
คือ คนที่พูดโดยไม่รู้ และไม่เข้าใจสัจธรรมของชีวิตคน เรา คือ เรา ... จะให้เราเป็นเหมือนคนอื่นได้อย่างไร
แต่ละคนก็เป็นอย่างที่เขาถูกกำหนดให้เป็น ในโลกนี้ไม่มีใครเหมือนกัน
เราจะให้ทุกคนเป็นเหมือนกันไม่ได้ ต้องเคารพความเป็นปัจเจกบุคคล
ข. ในโลกมีมนุษย์หลายพันล้านคน แต่ไม่มีใครสักคนมีลายมือเหมือนกัน
อย่างที่กล่าวแล้วว่าไม่มีมนุษย์คนใดเหมือนกันในโลก แม้ฝาแฝดก็ยังมีความแตกต่าง
มีคนหลายพันล้านในโลก แต่ไม่มีใครสักคนที่มือลายมือเหมือนกัน
นี่คือ ตัวอย่างความแตกต่าง และความเป็นของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
ไม่เพียงลายมือเท่านั้น แต่นิสัย รสนิยม ความชอบของแต่ละคนก็ต่างกันด้วย
ถ้าเราเข้าใจ เราจะอยู่อย่างสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ว้าวุ่น
2. เราต้องเข้าใจ “ความเหมือน” และ “ความต่าง” ของมนุษย์
ทุกคนมี “ความเหมือน” และ “ความต่าง”
สิ่งที่เราต้องเข้าใจ คือ ในความเหมือน มีความต่าง และในความต่าง มีความเหมือน
ถ้าเราเข้าใจความเหมือนความต่างของคน เราก็จะสามารถเข้าถึงคน และเข้าถึงตนเองได้
2.1 อะไร? คือ ความเหมือน
สิ่งที่มนุษย์มีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นใครในโลกนี้ก็ตาม
คือ เป็นคนเหมือนกัน (ดังนั้น เราต้องมองคน เป็นคน), มีความเจ็บปวดเหมือนกัน, เสียใจเป็นเหมือนกัน,
ร้องไห้เป็นเหมือนกัน, ผิดหวังเป็นเหมือนกัน, กลัวตายเป็นเหมือนกัน
ต้องการคนเข้าใจ ต้องการคนเข้าข้าง ต้องการการยอมรับเหมือนกัน
ต้องการการอภัย ต้องการโอกาส ต้องการความก้าวหน้า ต้องการความสุขเหมือนกัน
ถามว่า ทำไมพระเจ้าจึงชนะใจเรา ... ก็เพราะพระเจ้าทรงเข้าใจเรานั่นเอง
เราเองก็ต้องเข้าใจผู้อื่นเช่นกัน จะทำให้เราสามารถคบคนได้ทุกประเภท
คริสเตียน ต้องเป็นคนไม่มีปม ไม่ว่าจะเป็นปมเด่นหรือปมด้อย
เราทุกคนมีความเหมือนกัน ... แต่ในขณะเดียวกัน ในความเหมือน ยังมีความต่าง
2.2 อะไร? คือความต่าง
แม้มนุษย์จะมีความเหมือน แต่เราต้องเข้าใจว่าความต่างก็มีอยู่ด้วย
เวลาสอน ต้องสอนให้ครบ เวลาเรียน ก็ต้องเรียนครบ เวลารู้ ก็ต้องรู้ให้ครบเช่นกัน
สิ่งที่มนุษย์ต่างกัน คือ การศึกษา ฐานะ สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ หน้าที่การงาน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ความรับผิดชอบ รายได้ รายจ่าย ความเชื่อ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ฯลฯ
ความต่าง ทำให้มนุษย์คิดต่าง ทำต่าง ... แต่ความแตกต่าง ไม่ใช่ความแตกแยก เราคิดต่าง แต่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้
2.3 เข้าใจความเหมือน ความต่าง ก็สามารถตอบโจทย์ของชีวิตได้
ใครที่มีศิลปะในการเข้าใจความเหมือน ความต่าง ไม่เพียงของคน แต่ของทุกสิ่ง
ก็สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ สามารถตอบโจทย์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้
เราจะมีโจทย์และคำตอบต่างๆ เข้ามาในชีวิตเสมอ แต่คนที่เข้าใจความเหมือนความต่าง จะตอบมันได้
ความเหมือน ความต่างของชีวิต เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่เราต้องเรียนรู้
ก. ทุกวัน ทุกเวลาของชีวิต จะมีสิ่งที่เราสมใจและไม่สมใจเสมอ
เราต้องเข้าใจ ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง เฉยๆ ไว้ นิ่งๆ ไว้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง
ไม่มีใครสมใจไปทุกเรื่อง ตลอดเวลาเราต้องเจอทั้งเรื่องที่เราสมใจและไม่สมใจ
เมื่อใครคิดต่าง ทำต่างจากเรา แสดงว่ามันต้องมีเบื้องหลังที่เราต้องเข้าใจเขา
เรายิ้มกับบางคน เขาอาจจะไม่ยิ้มกับเรา ทำให้เรารู้สึกไม่สมใจ
แต่ถ้าคิดถึงเบื้องหลัง บางครั้งชีวิตของเขาอาจจะเผชิญปัญหาอยู่ก็ได้ ทำให้ยิ้มไม่ออก
ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่ว้าวุ่น หรือวุ่นวายเพราะคน หรือเหตุการณ์ต่างๆ
ข. นิสัยของหลายคนอาจจะคล้ายเรา แต่ไม่มีใครนิสัยเหมือนเราทุกอย่าง
ในชีวิตเราอาจจะพอใจเหมือนได้คบกับคนที่นิสัย หรือความชอบ ความเหมือนคล้ายๆ เรา
แต่จำไว้เลยว่า แม้คล้าย แต่ไม่มีใครเหมือนเราทุกอย่าง มันมีบางอย่างที่เป็นความต่าง
ดังนั้น เป็นธรรมดาที่เราจะต้องเจอคนที่นิสัยแตกต่างจากเรา
ไม่ต้องไปทุกข์เพราะเขา เราเปลี่ยนนิสัยใครไม่ได้
โลกนี้มีทั้งคนที่เราชอบและไม่ชอบ ในขณะเดียวกัน ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเราด้วย
ค. ชีวิตคนเราขึ้นกับความเหมือนความต่างของแต่ละคน
พื้นฐานของคน กำหนดความแตกต่างของชีวิต
ความต่าง ทำให้คนคิดต่าง ทำต่างและใช้ชีวิตต่างกัน
ง. อย่าเสียเวลาเปลี่ยนคนให้เราถูกใจ หรือเปลี่ยนเราให้เขาสมใจ
โจทย์ของชีวิต มักจะส่งคนไม่ถูกใจเข้ามาในชีวิตของเราเสมอ
แต่คนที่เข้าใจความเหมือนความต่าง จะไม่คิดเปลี่ยนใคร ... เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนกันได้
ไม่เปลี่ยนทั้งเขา และไม่เปลี่ยนทั้งเราด้วย ... ถ้าเราไม่ถูกใจใคร ก็อย่าไปเสียเวลาหรือเสียความรู้สึกกับเขา
ทุกคนถูกสร้างให้ต่างกัน เราต้องยอมรับความต่างของคนให้ได้
จ. ไม่มีสิ่งใดหรือคนใดสมบูรณ์
ข้อนี้เป็นศิลปะอีกข้อหนึ่งที่เราต้องเข้าใจ ... ไม่มีสิ่งใดหรือมนุษย์คนใดสมบูรณ์
แต่คนของพระเจ้า กำลังเดินไปสู่ความสมบูรณ์
ยิ่งเรากำลังก้าวไปสู่ความสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น เราจะยิ่งพบว่าตัวเองบกพร่องมากเท่านั้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ฉ. เราไม่สามารถกำหนดสิ่งต่างๆ ได้ทั้งหมด
แม้ผู้บริหารที่ดีและเก่งที่สุดในโลก ก็ยังมีการบ้านให้แก้ไขอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีใครกำหนดสิ่งต่างๆ รอบตัวเราได้ทั้งหมด เราไม่สามารถทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการได้ทั้งหมด
สิ่งที่เราทำได้ คือ ต้องยอมรับมัน แม้วันนี้ไม่ได้เต็มรอย
แต่ความเข้าใจที่เรามีมากขึ้น จะทำให้เรายอมรับและพอใจมันได้มากขึ้น
3. เข้าใจสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จของชีวิต
ศิลปะในการเข้าใจชีวิต ไม่เพียงเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายในเรา ไม่เพียงเข้าใจความเหมือนความต่างของคน
แต่ต้องเข้าใจถึงอุปสรรคที่มันคอยขัดขวางความสำเร็จของชีวิตด้วย
อุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่เราต้องเข้าใจ คือ ตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น
พระเยซูสอนว่าใครจะตามพระองค์ ผู้นั้นต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน
ดังนั้น ปัญหาเกิดขึ้น อย่าโทษผู้อื่น คนแรกที่เราต้องโทษ คือ ตัวเอง
เราต้องพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ ทั้งส่วนดีและส่วนด้อย
ตัวเรา คือ นิสัยของเรา บุคลิกของเรา ความคิดของเรา พฤติกรรมของเรา
มีอะไรบ้างที่จะขัดขวางความสำเร็จและความสุขของชีวิต
3.1 ชอบเรียกร้องความสนใจ ทำตัวเป็นคนเจ้าปัญหา
พฤติกรรมเช่นนี้ นำมาแต่ความเสียหายให้กับชีวิต
ไม่พบความสำเร็จ และปราศจากความสุข เพราะไม่ได้มีทัศนคติแบบผู้ใหญ่
อยากรับอย่างเดียว แต่ไม่ยอมให้ อยากได้ แต่ไม่ยอมเสีย
จำไว้ว่า “ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งสูญเสีย” แต่ยิ่งปล่อยวาง จะยิ่งทำให้เราได้มามากขึ้น
3.2 เริ่มงานสาย แต่เลิกงานเร็ว
เป็นลักษณะเด่นที่ด้อยสำหรับข้าราชการ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับพวกเอกชนได้
คนจะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องทำงานมากกว่าเงินที่ได้รับ ต้องทำโดยไม่ต้องบอก (แต่ที่บอกก็ต้องทำด้วย)
ทำงานโดยไม่คิดถึงเงิน แต่คิดถึงงาน ... ยิ่งผลงานมีคุณภาพเท่าใด เงินก็ยิ่งมามากเท่านั้น
3.3 เป็นคนหัวรุนแรง ไม่มีความยืดหยุ่น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ชีวิตคนมีทั้งศาสตร์และศิลป์ บางเรื่องยืดหยุ่นไม่ได้ แต่บางเรื่องก็ต้องยืดหยุ่น
เราต้องเดินตามรอยของพระเจ้า พระองค์ให้โอกาสมนุษย์เสมอ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์มีความเด็ดขาด
เมตตามากก็จริง แต่คนไม่กลับใจ พระเจ้าก็ทรงเตรียมนรกไว้ให้ด้วย
ต้องรู้จักยืดหยุ่น รู้จักปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วย จึงจะเข้ากับคนอื่นได้
3.4 ไม่สนใจคำสั่ง ไม่เกรงกลัว ไม่ให้ความเคารพผู้บังคับบัญชา
เราทุกคนต้องทำงานเกี่ยวข้องกับคน ดังนั้น คนจะเจริญก้าวหน้าเติบโตในงานที่ทำ ต้องเคารพกฎที่เราอยู่ด้วย
อย่าเคารพเฉพาะนายที่ใจดี แต่ที่ใจร้ายก็ต้องเคารพเหมือนกัน
พระเจ้าทรงสอนให้ลูกของพระองค์มีวินัย ไปที่ไหน อยู่ในองค์กรใด ต้องเคารพที่นั่น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. 09 (รอบเช้า) -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เพราะทุกที่มีกฎ กติกา มารยาทของที่นั่นเอง
คนที่ไม่มีวินัย ไม่เคารพกติกา คือ รถไฟที่ไม่มีราง ... ต่อให้แรงแค่ไหนก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย
คนที่จะอยู่ได้ในยุคสุดท้าย ไม่ใช่คนแข็งแกร่ง แต่คือคนที่ปรับตัวเอง แม้นายไม่ดี แต่ถ้างานเราดี เราก็ได้ดีได้เช่นกัน
3.5 เป็นผู้ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์
เราต้องทำงานกับคน ทั้งเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง หรือผู้มาติดต่องาน
ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ของเราไม่ดี ทุกอย่างก็จบ นี่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขัดขวางความเจริญของเรา
เครื่องแต่งกายดี แต่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ เครื่องแต่งกายนั้น ไม่มีคุณค่าอะไร
มนุษย์สัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้ และเป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องฝึก
ฝีกยิ้ม ฝึกพูดไพเราะ ฝึกมีน้ำใจ ... เราทุกคนทำได้ และใครทำได้ ก็มีชีวิตก้าวไปสู่ความสำเร็จได้
ต้องเข้าใจคน ต้องเข้าถึงคน จึงจะทำงานกับคนได้
มธ.7:12 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน...
อยากให้ใครทำอย่างไรกับเรา เราต้องทำอย่างนั้นกับเขาก่อน นี่คือกุญแจของการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
3.6 ชอบมีพฤติกรรมแปลกๆ
เรื่องนี้อยู่ในหมวดที่ใกล้เคียงการเรียกร้องความสนใจ คือ ทำตัวให้เด่นกว่าผู้อื่น แต่เด่นในทางที่แปลก
เช่น ทรงผมแปลก แต่งตัวแปลก คำพูดแปลก หรือพฤติกรรมแปลก
เราต้องแตกต่าง แต่ไม่ใช่เป็นตัวประหลาดของผู้อื่น
เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใคร แต่การแตกต่างอย่างหลุดโลก ก็ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติเกินไป
3.7 ชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ลักษณะนี้จะติดอยู่ในคนไทยส่วนใหญ่ ชอบวิจารณ์ผู้อื่น
บางครั้งการทำงานกับคน เราก็ต้องมีศิลปะด้วย
คือ ต้องทำเป็นหูหนวก ตาบอดเสียบ้าง ได้ยิน ได้เห็นทุกเรื่อง อาจจะทำให้เราประสาทเสียได้
3.8 เป็นคนเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ
คนที่เอาเปรียบผู้อื่น จะเสียเปรียบในเรื่องความสุขและความสำเร็จของชีวิต
สังเกตดูอะไรที่เป็นของหลวง เสียหายหมด แต่ของตัวเองเก็บรักษาดี
เพราะคนเราไม่เจริญ ไม่เติบโต สังคมของเราเลยไม่เจริญ ไม่เติบโต
3.9 ชอบเอาปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว มาสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่น
โบราณว่า ไฟในไม่นำออก ไฟนอกไม่นำเข้า ... แต่หลายคนทำสลับกัน
เรื่องไม่ดีของครอบครัวตัวเอง แต่เอามาแบ่งปันให้ผู้อื่นฟัง แบ่งปันให้ผู้อื่นทุกข์ด้วย
ครอบครัวของเราๆ ต้องรับผิดชอบ จะเอาให้คนอื่นไปรับผิดชอบไม่ได้
ทั้งหมดอาจจะเป็นรายละเอียดที่ดูเหมือนเล็กน้อย
แต่เราต้องระวังเพราะสิ่งเล็กน้อย สามารถสร้างความเสียหายที่ใหญ่หลวงได้
เราต้องมีศิลปะในการเข้าใจทุกเรื่อง ชีวิตเราจึงจะมีความสุขได้ทุกวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น