ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ ในความศรัทธา ... ย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง ”
ชีวิต คือ การเดินทาง ไม่มีใครรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะราบรื่น หรือเป็นหลุมเป็นบ่อ
ไม่มีใครรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเส้นตรง หรือคดเคี้ยวเลี้ยวลด
ไม่มีใครรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยเพลงเชียร์หรือเสียงหัวเราะเยาะ
ชีวิต คือ การต่อสู้นี้ เป็นสัจจะธรรมแห่งชีวิตโดยแท้ แต่แม้มนุษย์จะจำกัด ไม่สามารถล่วงรู้อนาคต สำหรับผู้เชื่อใหม่และวางใจในพระเจ้านั่น รู้แน่ว่าชีวิตของเราจะปลอดภัย ไปถึงหลักชัย และสามารถฝ่าคลื่นลมแห่งปัญหา หรือพายุของชีวิตได้
ตามพระสัญญาที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อ
สดด.23:4-6 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระ องค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำ มัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระ นิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
ความเชื่อ ความศรัทธา และความไว้วางใจที่เรามีต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด จะทำให้ชีวิตของเราปลอดภัย
และไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวังอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อย่างไรในชีวิตก็ตาม
1. ความเชื่อ
มีคนกล่าวว่า “เชื่ออะไรก็ได้ ถ้าเชื่อจริงๆ” แต่แท้จริงแล้วคำนี้ไม่จริงเสมอไป
เช่น เชื่อว่ากินดิน หิน อิฐหรือต้นไม้ แล้วจะรักษาโรคร้ายได้
เชื่อสุดหัวใจและกินตามที่เชื่อนั้น ผลที่ได้รับไม่ใช่การหายโรค
แต่อาจจะตายจากโลกนี้ไปเลยก็ได้ เพราะความเชื่อที่เขามีนั้น เป็นความเชื่อที่ผิด
“ ความเชื่อ มีผลต่อชีวิต ”
แต่จะเชื่ออย่างไร จึงจะปลอดภัย เป็นสุข รอดพ้นจากอันตราย รอดพ้นจากบาปนั่นคือ “ การเชื่อวางใจในพระเจ้า ”
เชื่อวางใจในพระเจ้าผู้ทรงมีพระลักษณะ 5 ประการ จาก 1ทธ.6:15-16
“ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน”
(1) พระเจ้าผู้เสวยสุข
(2) พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดแต่พระองค์เดียว
(3) พระเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
(4) พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
(5) พระเจ้าผู้เดียวที่ทรงอมตะ
นอกจากนี้ใน ยน.1:2-3 ยังกล่าวว่า “ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ”
พระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างสรรค์พสิ่งและสรรพสิ่งดำรงอยู่ได้เพราะพระองค์
ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าองค์นี้ จะทำให้ผู้เชื่อได้รับพระพร เกิดความสงบ มีความหวัง มีคำตอบให้กับชีวิต
ความเชื่อ คือ อะไร?
ฮบ.11:1 ความเชื่อ คือ ความแน่ใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ความเชื่อ คือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ คำว่า “ความแน่ใจ” ก็เปรียบเหมือน “โฉนด”
เมื่อเราซื้อที่ดิน แม้อาจจะมีคนซื้อแทนเรา ทำเรื่องแทนเรา แต่เมื่อโฉนดเป็นชื่อของเราแล้ว ถึงจะไม่เห็นที่ดิน
เราก็สามารถแน่ใจได้ว่าที่ดินนั้นเป็นของเรา หรือเราเป็นเจ้าของที่ดินนั้นแล้ว ความเชื่อก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนั้น
พระวจนะที่เกี่ยวกับความเชื่อ
ฮบ.11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยขอพระเจ้าก็ไม่ได้เพราะผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่โดยความเชื่อ
รม.1:17 เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยเริ่มต้นก็ความเชื่อสุดท้ายก็ความเชื่อ” ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ
ฮบ.10:38-39 แต่ความชอบธรรมของเรานั้น จะดำรงอยู่ด้วยความเชื่อและความเชื่อของเขาเสื่อมถอยเราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลยแต่ท่านทั้งหลายไม่ใช่คนที่เสื่อมถอยและถึงซึ่งความพินาศแต่คนที่เชื่อมั่นจึงทำให้ชีวิตปลอดภัย
มธ.21:22 สิ่งสารพัดที่ท่านอธิฐานขอด้วยความเชื่อท่านจะได้
ขอย้ำว่า ท่านต้องมีความเชื่อโดยมิได้สงสัยเลย ผล คือ สิ่งสารพัดที่ท่านขอโดยความเชื่อจะได้รับ
ความเชื่อนั้น นอกจากเป็นความแน่ใจแล้ว ยังต้องเป็นความเชื่อที่ปราศจากความสงสัยอีกด้วย
เพราะความสงสัย จะทำให้เราไม่ได้รับสิ่งที่เราปรารถนา
ยก.1:6-7 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ขอยกตัวอย่างหนึ่งให้ฟัง
หญิงชราผู้หนึ่ง เธอได้ฟังเทศนาเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อทำให้ เธอกระตือรือร้น
และปรารถนาที่จะสำแดงความเชื่อของเธอเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุที่ในสวนของเธอมีจอมปลวกอยู่มากมาย จะจ้างคนมาทำลายก็ไม่มีเงิน
จะทำลายเองก็ไม่มีแรง จึงอาศัยความเชื่อตามที่ได้เรียนรู้มา
เธอเริ่มต้นอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างไม่สงสัย (เธอคิดเช่นนั้น) ว่า
“ข้าแต่พระเจ้าพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง โดยดำรัสของพระองค์ตรัสว่า ถ้าเรามีความเชื่อโดยมิได้สงสัยจะขอสิ่งได้เราจะได้รับสิ่งนั้นพระองค์เจ้าข้า ในสวนของลูกมีจอมปลวกอยู่มากมาย จะจ้างคนมาทำลายก็ไม่มีเงินจ้างจะทำลายเองก็ไม่มีแรง เพราะแก่แล้วจอมปลวกทั้งหมดนี้ ทำให้สวนของลูกเสียหายขอเพียงพระองค์ทรงตรัส ลูกเชื่อว่าจอมปลวกจะหายไป เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงกระทำไม่ได้ ลูกทูลขอด้วยความเชื่อ เมื่อลูกลืมตาขึ้นมา จอมปลวกทั้งสิ้นจะหายไป ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
เมื่อสิ้นสุดคำอธิษฐาน เธอลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่า จอมปลวกยังอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอจึงหลุดปากออกมาว่า “นึกแล้วว่ามันยังอยู่ !!!”
คำอธิษฐานของเธอ ดูเหมือนมีความเชื่อจริงจัง ไม่สงสัย แต่ในใจเธอกลับคิดว่า(เชื่อว่า) มันเป็นไปไม่ได้ ผลคือ เป็นไปไม่ได้
ดังนั้น ถ้าเรามีความเชื่อและอธิษฐานขอสิ่งใด จงอย่าสงสัยเลย
การมีความเชื่อโดยไม่สงสัยนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้กระทั่งอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่ผูกพัน ใกล้ชิด
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์แท้ๆ มีประสบการณ์มากมายถึงการอัศจรรย์จากพระเจ้า
เช่น คนตายฟื้น คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่วายสอบตกเรื่องความเชื่อ
มก.4:35-41 เย็นวันนั้น พระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า "ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด" เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย และพายุใหญ่ได้บัง
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ" พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า "จงสงบเงียบซิ" แล้วลมก็หยุด คลื่นก็สงบเงียบทั่วไป พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ"
จนกระทั่งพวกเขา ได้รับเขาพระราชทานฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
การช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
นี่คือ คำตอบว่า ทำอย่างไร จึงจะมีความเชื่อโดยไม่สงสัย คือ โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า หมายถึง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเสริมกำลังเรา
2. ความเชื่อจะเข้มแข็งขึ้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราจะมีความเชื่อเข้มแข็งได้ โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ
2.1 ต้องอธิษฐาน นมัสการ อ่านพระคัมภีร์ ภาวนาถ้อยคำของพระเจ้าเสมอ
สดด.1:2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้าเขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน
สดด.119:98-100 พระบัญญัติของพระองค์ กระทำให้ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์ เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพระ องค์เสมอข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของข้าพระองค์เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้า พระองค์ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์
2.2 ต้องลงมือทำ เป็นการฝึกความเชื่อ
ความเชื่อจะเข้มข้นขึ้น ถ้าเราฝึกฝนโดยลงมือกระทำตามความเชื่อนั้น เช่น
เชื่อว่าพระเจ้าประทานฤทธิ์อำนาจในการขับผีและวางมือรักษาคนป่วยให้กับเรา
ก็ต้องฝึกขับผีและกล้าที่จะลองวางมือรักษาคนป่วย
มก.16:17-18 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค
แม้ผลที่ได้รับการจากฝีกความเชื่อนั้น จะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างก็ตาม
อย่าท้อถอย อย่าหยุด อย่าเลิกกระทำตามความเชื่อของเรา ทำต่อไปจนกว่าจะเห็นผล
อย่างน้อยที่สุดเราจะมีประสบการณ์มากขึ้นกับการอัศจรรย์ของพระเจ้า
ความเชื่อเราจะเพิ่มขึ้น เราจะรับพระพรมากขึ้นและรับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์มากขึ้นทุกครั้งที่เราทำตามความเชื่อ ท้ายที่สุด เราจะกลายเป็น “วีรบุรุษและวีรสตรีแห่งความเชื่อ” ของพระเจ้า
การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างต่อเนื่อง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมความเชื่อเข้าสู่จิตใจเรามากขึ้น
จนท้ายที่สุด ความหมดหวัง ความสงสัย จะไม่สามารถย่างกรายข้าสู่จิตใจของเราได้
แม้ปัญหาหรืออุปสรรคจะยังไม่หมดไป แต่เราสามารถมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงนำเราผ่านพ้นปัญหาไปได้โดยความเชื่อ
2.3 ต้องวางใจด้วยสุดใจของเรา แม้ไม่เข้าใจ
บ่อยครั้งความเชื่อนั้น จะอาศัยความเข้าใจไม่ได้ คนของพระเจ้า ต้องวางใจ แม้ไม่เข้าใจก็ตาม
(ความเข้าใจมาศึกษากันภายหลังได้ แต่ความเชื่อไม่ควรรีรอ ต้องเชื่อทันที)
ตัวอย่างความเชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจ
- คนไข้วางใจในแพทย์ผู้รักษา ว่าจะสามารถรักษาให้หายโรคได้
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แพทย์ให้ยาชนิดใด ก็กินตามคำสั่งแพทย์ ไม่ต้องพิสูจน์ก่อนว่ายาทำจากอะไร
- ผู้โดยสารวางใจในคนขับรถ ว่าเขาจะพาไปถึงที่หมายได้ ไม่ต้องรอให้เขาพิสูจน์โดยการขับรถให้ดูก่อน เป็นต้น
การวางใจในแพทย์หรือคนขับรถนั้น หลายครั้งเราก็พบว่าแพทย์รักษาไม่หาย
และคนขับรถพาไปประสบอุบัติเหตุก็มี นั่นเพราะเขาเป็นมนุษย์ที่มีความจำกัด
แต่พระเจ้าของเรา พระองค์ที่เราเชื่อวางใจนั้น ไม่จำกัดเลย
ตราบใดดวงอาทิตย์ยังส่องแสง โลกยังหมุน ฝนยังตก ดอกไม้ยังบาน สิ่งนี้แสดงว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่
ถ้าพระองค์สามารถดูแลโลกและจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ได้
พระองค์ก็จะทรงดูแลชีวิตของเรา ครอบครัวของเรา ความจำเป็นในชีวิตของเราได้
ความเชื่อนั้น ดูเหมือนจับต้องมองเห็นไม่ได้ ... แต่มันมีอยู่จริง
เหมือนความรักและความคิดถึงของคน มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง
ความเชื่อที่มีอยู่จริงนี่แหละ จะทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่และความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ยน.14:12-13 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเราเราจะกระทำสิ่งนั้น
2.4 พึ่งพระคุณพระเจ้า
สิ่งหนึ่งที่ส่งเสริมความเชื่อให้กับคนของพระเจ้าอยู่เสมอ นั่นคือ การพึ่งพาในพระคุณของพระเจ้า
มนุษย์จำกัด แต่พระเจ้าไม่จำกัด มนุษย์ทำได้บางสิ่ง แต่พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง และพระองค์ทำโดยผ่านพระคุณของพระเจ้า
1ปต.5:10 และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
2คร.12:9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
สดด.23:6 แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระ นิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
มีเรื่องเล่า “เกี่ยวกับเด็กหาปลา”
คนภาคเหนือไปเที่ยวทะเล ขณะเดินตามชายหาดเจอเด็กชายอายุประมาณ 12-14 ปี
ก็ถามด้วยความสนใจว่า “หนูกำลังทำอะไรอยู่” เด็กตอบว่า “ผมกำลังจะเอาเรือออกทะเลครับ”
คนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ตามชายหาด ก็งง และแปลกใจว่าเด็กตัวเล็กๆ จะเอาเรือลำใหญ่ออกจากหาดได้อย่างไร
จึงถามว่า “หนูจะเอาเรือลำใหญ่ออกไปได้ไง”
เด็กจึงตอบว่า “ผมไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เพียงแต่รอน้ำทะเลขึ้นเท่านั้นเอง”
เมื่อน้ำทะลขึ้น น้ำนั้นก็จะหนุนให้เรือที่เกยตื้นให้ลอยขึ้นและออกสู่ทะเลได้
เช่นเดียวกันกับปัญหาของเรา ชีวิตของเราอาจเหมือนเรือลำนั้นที่มันเกยตื้น มันติด มันจม มันไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
หลังจากที่เราทำส่วนของเราแล้ว สิ่งที่เราต้องกระทำต่อไป คือ การรอคอยพระคุณของพระเจ้า
“น้ำในทะเลมีมากพอ สำหรับเรือในทะเลฉันใด พระคุณพระเจ้าก็มีมากพอ สำหรับผู้เชื่อฉันนั้น”
อย่าลืมว่าพายุไม่เคยพัดตลอดเวลา พายุไม่พัดตลอดกาล
พายุพัดได้ ก็หยุดพัดได้ สุภาษิตโบราณจึงกล่าวว่า “ฟ้าหลังฝน สดใสเสมอ”
ถ้าเรารู้สึกอ่อนแอ ท้อแท้ เราต้องกล้าเชื่อ กล้าวางใจในพระเจ้า เรือชีวิตของเราแม้จะบอบบาง
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แต่พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่พอที่จะพาเรือลำนั้นไปถึงฝั่งได้
เมื่อพระเจ้าเป็นผู้นำทางของเรา ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องใด
3. สูตรของความเชื่อ
ถ้าพูดถึงเรื่องความเชื่อ แน่นอนว่าบุคคลที่เรานึกลำดับต้นๆ คือ “ท่านอับราฮัม”
ท่านเป็นบิดาแห่งความเชื่อของคน 3 ศาสนา คือ คริสต์ อิสลามและยิว
ในเรื่องความเชื่อ ไม่มีใครที่เข้มแข็งและรับเกียรติเท่ากับท่านอีกแล้ว
พระเจ้าทรงยกท่านขึ้นด้วยเหตุแห่งความเชื่อที่ท่านมี
- ท่านเป็นสหายของพระเจ้า เพราะท่านเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ
- ความเชื่อของท่านเป็น “แบบอย่าง” - ความเชื่อของท่านเป็น “ขบวนการ”
- ความเชื่อของท่านเป็น “สูตรแห่งความเชื่อ” ที่เราควรทำตาม
รม.4:3 พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า อับราฮัมเชื่อในพระเจ้าและเพราะความเชื่อนั้นเอง พระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม
สูตรของความเชื่อของอับราฮัม มีดังนี้
รม.4:17- 22 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า "พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน
3.1.ท่านเชื่อว่า พระเจ้าสามารถเรียกสิ่งของที่ยังไม่มีให้มี
อับราฮัมเชื่ออย่างสุดใจของท่านว่า พระเจ้าทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น ...
- จากความว่างเปล่า เพียงพระเจ้าตรัส สรรพสิ่งก็เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโลก จักรวาล
ดวงอาทิตย์ ดวงดาว พืช ความสว่าง ฯลฯ ตาม ปฐก.1:2
- พระเจ้าทรงสามารถสร้างสรรพสิ่ง จากความว่างเปล่าจากสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
ยน.1:3 พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ
ฮบ.1:2 แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
เพราะพื้นฐานความเชื่ออันหนักแน่น รวมทั้งประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้า
อับราฮัม จึงเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าว่าจะเป็นจริง
แม้ว่าในขณะนั้นท่านจะมีข้อจำกัดอย่างมาก ที่ดูเหมือนพระสัญญาไม่อาจเป็นจริงได้
พระสัญญาที่พระเจ้ามีต่ออับราฮัม
ปฐก.12:1-3 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
ท่านจะเป็นชนชาติใหญ่ พระเจ้าจะอวยพรท่าน
ท่านจะมีซื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป ท่านจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพระพร
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ปฐก.13:15-16 ดินแดนทั้งหมดที่เจ้าแลเห็นนี้เราจะยกให้เจ้าและพงศ์พันธุ์ของเจ้าต่อไปเป็นนิตย์ เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้ามากเหมือนผงคลีดิน ผู้ใดนับผงคลีดินได้ก็จะนับเชื้อสายของเจ้าได้
พระเจ้าประทานแผ่นดินให้ท่าน เชื้อสายของท่านจะมากเหมือนผงคลีดิน
ปฐก.17:4 นี่พันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
ท่านจะเป็นบิดาของประชาชาติ
ปฐก.17:16 เราจะอวยพรแก่นาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้าเราจะอำนวยพรแก่นาง และนางจะให้กำเนิดแก่ชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง
พระเจ้าจะประทานบุตรทางนางซาราห์
พระสัญญาทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสัญญานั้น อับราฮัมเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น
3.2 ท่านยังเชื่อและไว้วางใจ แม้ไม่มีหวัง
ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้วางใจก็ยังได้เชื่อไว้วางใจ...
สาเหตุที่ทำให้ท่านดูเหมือนไม่มีหวัง คือ อายุที่ชราของท่านทั้งสองและนางซาราห์ก็ได้หมดประจำเดือนไปแล้ว
ปฐก.17:17 และอับราฮัมก็ซบหน้าลงหัวเราะคิดในใจว่า "ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้ว จะคลอดบุตรหรือ"
ปฐก.18:11 ฝ่ายอับราฮัมและซาราห์นั้นชราแล้ว และประจำเดือนของซาราห์ก็หมดไปแล้ว
แต่ท่านก็ยังคงเชื่อมั่นและไว้วางใจในพระเจ้า แม้กาลเวลาผ่านไป แม้ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น
ชีวิตของเราเช่นเดียวกัน มีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทางที่จะไปสู่หลักชัย
จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อที่แรงกล้า กล้าเชื่อ กล้าวางใจ แม้ในบางครั้งเราคิดว่าเราทำดีแล้ว
ทำสิ่งที่คิดว่าต้องเกิดผล สำเร็จแน่นอน แต่บางครั้งกลับไม่ได้รับคำตอบ ไม่พบความสำเร็จ
เราต้องเชื่อและวางใจพระเจ้าต่อไป มีความหวังอยู่เสมอ
วันหนึ่ง เราก็พบกับความสำเร็จตามที่เราตั้งใจ เหมือนท่านอับราฮัม
1คร.13:13 ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวัง และความรัก
ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ต้องฝ่าฟันต่อปัญหาและอุปสรรคการขัดขวาง การต่อต้าน การเยาะเย้ย เหมือนสิ้นหวัง
แต่ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อและวางใจในพระเจ้าต่อไปเพราะข้าพเจ้าเชื่อในพระดำรัสของพระเจ้า
1ปต.5:10 “..พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านหลาย(หมายถึงข้าพเจ้าด้วย) เข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์
ยน.10:28 พระเจ้าทรงให้ชีวิตนิรันดร์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่พินาศเลย
ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นต่อไปว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พระสัญญาต่างๆ ของพระองค์
สำเร็จในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้เห็นถึงชัยชนะที่มาจากพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมากขึ้น
3.3 ความเชื่อของท่าน ไม่ได้ลดน้อยถอยลง
ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเลย...
อับราฮัมไม่ได้มีความเชื่อที่ลดน้อยลงเลยแม้พระสัญญาจะยังไม่สำเร็จ
แม้มีปัญหาและอุปสรรคมาก แม้หมดหวัง ความเชื่อของท่านยังเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรเอาแบบอย่าง
- ความเชื่อท่านไม่ลดลง แม้ไม่มีสิ่งใดเกื้อหนุนให้พระสัญญาสำเร็จ
- ความเชื่อท่านไม่ลดลง แม้ตัวท่านเองก็ร่วงโรยไปตามสังขาร
เปรียบเหมือนตายไปแล้ว (รม.4:19) อับราฮัมเงยหน้าดูพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ท่านผู้ทรงสั่งให้ท่านออกจาก
เมืองฮาราน ( ปฐก.12 ) ผู้ทรงช่วยเหลือท่านตลอดมาในขณะนั้น ท่านอับราฮัมยังคงมีคำหนุนใจตัวเองมากมาย เช่น
- พระเจ้าทรงมีแผนการและวิธีของพระองค์
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
- พระสัญญาของพระเจ้าไม่ เคยล้มเหลว และผิดพลาด - พระเจ้าไม่เคยมุสา - พระเจ้าไม่เคยมาสาย
- ทุกครั้งที่มองดูดาวและสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง พระองค์ทรงดูแลฉันใดพระเจ้าทรงดูแลชีวิตท่านฉันนั้น
- ท่านจะต้องมีบุตรและเชื้อสายของท่านจะมีมากมายเต็มแผ่นดินโลก
- พระเจ้ายิ่งใหญ่และสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ยิ่งใหญ่ด้วย(แม้ต้องรอคอยเป็นเวลานานก็ตาม)
3.4 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า
ท่านมิได้หวั่นไหวใจในพระสัญญาของพระเจ้า
นี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่อับราฮัมมีกับพระเจ้าวันต่อวัน
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีก็เป็นปีแล้วปีเล่า พระเจ้าได้ทรงสนทนากับท่าน อวยพรและรักษาคำสัญญา
ของพระองค์เสมอ และที่สำคัญอับราฮัมรู้จักพระเจ้าของท่านดี
- พระเจ้าทรงเป็นองค์ชอบธรรม - พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ - พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
- พระเจ้าทรงเป็นจอมราชา, จอมกษัตริย์
ท่านจึงให้เกียรติพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสัญญาก็จะทรงกระทำให้สำเร็จ
เหมือนคำพูดว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คือคำ” ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
พระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ สำคัญที่เราตัวเราจะต้องไม่ขีดเส้นตายให้กับพระเจ้า
ไม่มีกำหนดเวลาให้กับพระองค์ (เพราะตัวเราและวันเวลาก็เป็นของพระเจ้า ) แต่มอบสิทธิอำนาจ สิทธิ์ขาดทั้งสิ้น
ให้กับพระองค์ หน้าที่ของเรา คือ มั่นใจ ไม่หวั่นไหวหรือแคลงใจ อดทน และรอคอยวันที่พระสัญญาของพระองค์จะสำเร็จ
ด้วยความชื่นชมยินดี เพราะทุกสิ่ง ทุกอย่างพระองค์เป็นผู้สร้าง
หากเราเชื่อวางใจพ่อแม่ว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ปล่อยเราให้ลำบาก
เราควรวางใจพระเจ้ามากกว่านั้นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดา
และพระองค์ไม่มีวันที่จะทอดทิ้งบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าสัญญาควรสำเร็จเมื่อใด
3.5 ท่านที่มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
...แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระองค์
เส้นทางชีวิตของท่าน เชื่อแน่ว่าคงมีหลายๆ คนถามหลายคำกับท่าน
เช่น เมื่อไรพระเจ้าจะตอบ เมื่อไรสัญญาจะเป็นจริง อาจมี หลายสิ่งหลายอย่างบั่นทอนความเชื่อของท่าน
เช่น ความชรา ความหวาดกลัว สิ่งแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนการเกิดผล กาลเวลายิ่งผ่านไป พระเจ้าดูเหมือนจะลืมท่าน
สถานการณ์แวดล้อมไม่ตอบสนอง แต่ประสบการณ์ที่ท่านมีกับพระเจ้า
ช่วยเสริมความเชื่อให้มั่นคงยิ่งขึ้น ชีวิตของท่านจึงเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ใครๆ ก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ หลายคนตำหนิ และดูหมิ่น ทั้งหมดกลับทำให้ความเชื่อของท่านทวีมากขึ้น
เพราะท่านไม่ได้มองที่ปัญหาในปัจจุบันแต่ท่านมองไปที่พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด
ผลที่ได้รับคือ ชีวิตของท่านเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และพระสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้เป็นจริงทั้งสิ้น
แน่นอนว่าเราทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิต เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ชีวิตของท่านอับราฮัม นอกจากสอนเราเรื่องความเชื่อแล้ว การที่ท่านผูกพันใกล้ชิดและมีประสบการณ์กับพระเจ้าตลอดกาล
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแท่นบูชานมัสการพระเจ้า( ปฐก.12:8, ปฐก.13:18 )
การให้เกียรติแก่ทูตสวรรค์และผู้รับใช้พระเจ้า( ปฐก.18 )
การเป็นผู้ที่หว่านสันติและช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่เราควรเอาแบบอย่าง
และสิ่งเหล่านี้ก็จะสนับสนุนความเชื่อของเรา ทำให้ชีวิตของเราเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากขึ้น
3.6 ท่านที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ สามารถกระทำให้สำเร็จตามพระสัญญา
ในความศรัทธาย่อมไม่มีที่ว่างสำหรับความหมดหวัง -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ท่านที่เชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามพระสัญญา
คำว่า “เชื่อมั่น” คือ เชื่อไม่หวั่นไหว เชื่ออย่างต่อเนื่องไม่เสื่อมคลาย
อับราฮัม เชื่อในความสามารถของพระเจ้า ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถทำให้สำเร็จได้ โดยตัวของท่านและภรรยา
ไม่สามารถมีบุตร ได้แต่ท่านเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทำได้
ปฐก.18:14 มีสิ่งใดที่อัศจรรย์เกินฤทธิ์พระเจ้ากระทำ
ความเชื่อของท่านทำให้พระเจ้าทรงโปรดปรานและพอพระทัย ความเชื่อทำให้ท่านมีชีวิต ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด
“ต้นไม้แห่งความเชื่อในชีวิตของท่าน ก็ยิ่งเติบโตและแผ่กิ่งก้านสาขามากเท่านั้น”
ความเชื่อนี้เองเป็นจิตวิญญาณของผู้เชื่อ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยทำให้ความเชื่อเข้มแข็งและมั่นคงขึ้น
ดังนั้นเวลาเราอธิษฐาน ไม่ควรขอสิ่งที่เราต้องการเพียงอย่างเดียว
แต่ควรอธิษฐานให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา ให้เรามีความมั่นคงและเข้มแข็งในความเชื่อด้วย”
3.7 ด้วยเหตุความเชื่ออันแรงกล้าของท่าน พระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน
ด้วยนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน
สิ่งนี้เปรียบเหมือนเกียรติบัตรจากสวรรค์ ที่ทรงประทานให้ท่าน
โดยพระเจ้าเป็นผู้ประกาศความสำเร็จ เป็นบทสรุปสำหรับความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว
ไม่ลดน้อยถอยลง แต่มั่นคงมากขึ้น พระเจ้าทรงรับรองพระสัญญาทั้งสิ้น
จึงสำเร็จใน รม.4:23-24 เน้นว่า แต่คำว่า “ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน” นั้นมิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับพวกเราด้วยจะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อมั่นในพระองค์
เราทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะได้รับความชอบธรรม รับการรับรองจากพระเจ้า มีสิทธิ์ที่รับความโปรดปรานจากพระเจ้า
ขอเพียงให้จิตวิญญาณของเรา เป็นจิตวิญญาณแห่งความเชื่อ พัฒนาความเชื่อของเราให้เป็นเหมือนท่านอับราฮัม
เพื่อเราจะเป็นคมชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า และมีชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
สำหรับผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้น ย่อมไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ความเชื่อมีผลต่อชีวิต
ความเชื่อของแต่ละบุคคล จะเป็นกำหนดวิถีชีวิตของเขา
- กำหนดความสุข หรือความทุกข์ - กำหนดความสำเร็จ หรือความล้มเหลว
- กำหนดความสงบสุข สันติสุข หรือความสับสนวุ่นวาย - สำคัญที่สุด คือ กำหนดว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์หรือไม่
เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในสิ่งต่างๆ เชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น
เชื่อในสิ่งที่คิดว่าจะเป็นไปได้ รวมถึงเชื่อในสิ่งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ คริสเตียนเป็นบุคคลที่ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
มอง และเชื่อ ในสิ่งที่เราไม่เห็น
- เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง เช่น โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว แม้เราไม่ได้เห็นกับตาถึงการทรงสร้าง
แต่เราเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง และเชื่อในสิ่งที่เรามีประสบการณ์
- เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงพระชนม์ เพราะเรามีประสบการณ์ของการช่วยกู้ การช่วยเหลือ การอวยพรจากพระเจ้า
- เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุดสามารถประทานชีวิต นิรันดร์แก่เราได้
พระวจนะของพระองค์ตรัสชัดเจน และประสบการณ์ที่เรามีกับพระเจ้า
แต่ทั้งนี้เราจะมีความเชื่อเข้มแข็ง เชื่อโดยไม่สงสัย ไม่หวั่นไหวได้ ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์กับพระเจ้า
โดยการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งตัวเราเองยังสามารถฝึกความเชื่อได้โดยทำตาม “สูตรแห่งความเชื่อ”
ของท่านอับราฮัม บุคคลซึ่งเป็น “บิดาแห่งความเชื่อ” จากเส้นทางชีวิตของท่าน สิ่งที่ท่านพบ สิ่งที่ท่านเจอ สิ่งที่ท่านต้องทน
และผลที่ท่านได้รับตอบแทนจากพระเจ้า สามารถสอนคนของพระเจ้าได้อย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น