วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ บุคคลผู้เป็นสุข ” ตอน 5 จาก “ มธ.5:3-11 ”

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -23-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

รื่อง บุคคลผู้เป็นสุข ตอน 5 จาก มธ.5:3-11

                มธ.5:3-11               บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลมบุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกบุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบบุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้าบุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตรบุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
                พระวจนะในตอนนี้ เป็นลักษณะของบุคคลผู้เป็นสุข เป็นแนวทาง เป็นเคล็ดลับ เป็นกุญแจ เป็นหนทางที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ โดยมีรายละเอียดทั้งหมด 9 ประการ

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 1 (มธ.5:3) บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 2 (มธ.5:4) บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 3 (มธ.5:5) บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
(สอนรายละเอียดไปแล้วในตอนที่ 1-4)

บุคคลผู้เป็นสุข ประการที่ 4 (มธ.5:6) บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
มธ.5:6                     บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
ก่อนที่เราจะเข้าใจภาพรวมของความสุข
เราต้องเข้าใจก่อนว่า “ความสุข” กับ “สะดวกสบาย” เป็นคนละเรื่องกัน
“ความสุข” ไม่เกี่ยวกับ “วัตถุ” (วัตถุให้ความสะดวกสบาย แต่ไม่ได้ให้ความสุข)
แต่ความสุข เกิดจากการที่เราได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่า

1. ความหิว เป็นอาการของ “คนเป็น”
บุคคลผู้ใด หิว กระหายความชอบธรรม ... ความ “หิว” เป็นเรื่องส่วนบุคคล
ปกติเมื่อหิวเราจะทุกข์ แต่พระเยซูกลับตรัสว่า หิวแล้วเราจะสุข
เพราะ ความหิว เป็นอาการของคน เป็น ไม่ใช่คน “ตาย”
เพราะ “ความหิว” เป็นอาการของคน ปกติไม่ใช่คน “ผิดปกติ”

1.1 ถ้าเราไม่ “หิว” แสดงว่า เราตายแล้วทั้งเป็น
วว.3:1                     จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า "พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาราเจ็ดดวงนั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า "เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -24-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

วว.3:15-16              เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา
ถ้าเราไม่หิวฝ่ายวิญญาณ แสดงว่า เราได้ตายแล้วทั้งเป็น
แม้ได้ชื่อว่ามีชีวิต เคลื่อนไหวไปมาได้ แต่เราได้ตายแล้ว
คือ คุณธรรมตาย มโนธรรมตาย ความรับผิดชอบตาย จิตสำนึกตาย
คนของพระเจ้าจะเป็นเพียงคนอุ่นๆ ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้
พระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนเป็น เราต้อง “เป็น” ไม่ใช่ “ตาย”
อาการที่บ่งบอกว่าเราเป็น คือ อาการหิว นั่นเอง

1.2 ถ้าเราคิดว่าเรารู้แล้ว เราดีแล้ว เราก็เท่ากับตายแล้ว
1ทธ.1:5                  แต่จุดประสงค์แห่งคำกำชับนั้นก็คือ ให้มีความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ
1ทธ.1:19                                จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
จิตสำนึกของเราต้องทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด
คนที่คิดว่าตนเองเก่งแล้ว ดีแล้ว จะไม่สามารถเพิ่มเติมอะไรได้อีก
คนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว คือ คนที่ตายไปแล้ว

1.3 ความรู้สึกหิว อยากรู้มากขึ้น อยากเกิดผลมากขึ้น ล้วนเป็นอาการของคนเป็น
เราต้องถามตัวเองว่า “เวลานี้เราหิวหรือไม่?
คนปกตินั้น แม้ไม่หิว เมื่อถึงเวลาก็ต้องกิน เพราะรู้ว่าอาหารจำเป็นต่อร่างกาย
ไม่ได้กินเพื่ออิ่ม แต่กินด้วยคำนึงถึงประโยชน์ต่อร่างกาย
ด้านฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นกัน แม้เราไม่หิวการอธิษฐาน การนมัสการ หรือการเรียนพระวจนะ แต่เราก็ต้องฝืนกิน
ต้องรักษาระดับความหิวกระหายความชอบธรรมในชีวิตของเราเอาไว้
ความชอบธรรมของพระเจ้า ยิ่งกินมาก ก็ยิ่งเกิดประโยชน์มาก เกิดผลมาก และเติบโตมาก

2. ถ้าจะ “หิว” ต้อง “หิว” ความชอบธรรม
อาการหิว เป็นอาการของคนเป็น และเป็นอาการของคนปกติก็จริงอยู่
แต่เราต้องหิวในสิ่งที่ถูกต้อง ในสิ่งที่ชอบธรรม ในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี

2.1 ต้องหิวพระเจ้า
ฟป.3:10                  ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
เราต้องหิวกระหายที่จะรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น

รม.14:17                 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
แก่นสารชีวิตของเรา ต้องเป็นความชอบธรรม
การกิน การดื่ม เป็นเปลือก ... มีบ้างก็ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -25-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ต้นไม้ต้องมีเปลือก แต่ส่วนสำคัญอยู่ที่แก่น ไม่ใช่เปลือก
สังคมไทยอ่อนแอ เพราะไม่มีความชอบธรรม คนอ่อนแอชอบในสิ่งไร้สาระ
เช่น เรื่องน้ำเน่า การนินทา การอิจฉา การใส่ร้าย ฯลฯ
แต่ถ้าเราหิวกระหายความชอบธรรม การกระทำของเราก็จะชอบธรรมด้วย

มธ.6:33                   แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
เราต้องแสวงหาพระเจ้า “ก่อน” เสมอ สร้างความชอบธรรมให้กับชีวิตของเราก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราขาดอยู่ หรือเป็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้วจะมีมากขึ้น
เช่น เกียรติ พี่น้อง พระพรฝ่ายวิญญาณ และพระพรฝ่ายวัตถุ

แผ่นดินพระเจ้าต้องอยู่ในใจเรา ความรัก ความเมตตา การให้อภัย ต้องอยู่ในใจเรามากขึ้น
อยากทราบว่าแผ่นดินพระเจ้าเป็นอย่างไร ดูว่าแผ่นดินเราเป็นอย่างไร
อะไรที่เป็นของเราๆ มีสิทธิ์ทุกตารางนิ้ว ... อะไรเป็นแผ่นดินของพระเจ้าๆ ต้องมีสิทธิ์ทุกตารางนิ้วเช่นกัน
ชีวิตเราทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นของพระเจ้าหรือไม่?
ทุกพื้นที่ในชีวิตเรา พระเจ้าต้องเป็นเอกเป็นใหญ่
เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าเป็นใหญ่ ชีวิตของเราก็จะใหญ่อย่างพระเจ้า
ความชอบธรรม คือ ให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นใหญ่
เราเด่นกว่าความเชื่ออื่น เพราะเรามีพระเจ้าเป็นเจ้าชีวิต ไม่ใช่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
เหนือมนุษย์ ยังมีพระเจ้า ต้องแสวงหาพระเจ้าก่อน

มธ.3:15                   แต่พระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า "บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ" แล้วยอห์นก็ยอม
สมควรที่เราทำสิ่งชอบธรรม “ทุกประการ” ไม่ใช่ “บางประการ”
ไม่มีใครทำได้หมด แต่เราต้องทำให้ได้มากขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้านานขึ้น เราต้องดีขึ้น

ทางของพระเจ้า แตกต่างจากศาสนาอื่น คือ ศาสนาอื่น ยิ่งเคร่ง ยิ่งต้องละทิ้ง ยิ่งต้องปล่อยวาง ยิ่งต้องเป็นพวกปลีกวิเวก
แต่ทางพระเจ้า ยิ่งเชื่อ ยิ่งเคร่ง ต้องยิ่งเติบโต ต้องยิ่งรับผิดชอบ ต้องยิ่งทำประโยชน์
นี่คือ คุณค่าชีวิต ตาม ปฐก.1:26-28 พระเจ้าสร้างให้เราปกครองโลก คือ บริหารจัดการโลก
ถ้าเราหิว แต่ความถูกต้องชอบธรรม ชีวิตเราก็ชอบธรรม มากยิ่งขึ้น
เราจะทำได้มากขึ้น จนกลายเป็นพระเยซูน้อย นี่คือพลังของการประกาศข่าวประเสริฐ

2.2 ต้องหิวพระวจนะ
อสย.55:1-3             เชิญทุกคนที่กระหาย จงมาถึงน้ำ และผู้ที่ไม่มีเงิน มาซื้อกินเถิด มาซื้อเหล้าองุ่นและน้ำนมเถิด โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียค่าทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ทรัพยากรซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับ ประทานของดี และให้ตัวปีติยินดีในไขมันเอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า อนุสนธิ์ ความรักอันมั่นคงแน่นอนของเราต่อดาวิด
พระเจ้าท้าทายให้เราดื่มด่ำในพระวจนะของพระองค์ และพระเยซูทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -26-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ถ้ากระหายให้มาหาพระองค์ ให้มารู้จักพระองค์มากขึ้น
เราจะโตมากขึ้น รักได้มากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น จนกระทั่งพรักพร้อมที่จะทำดีทุกประการ
หลักการที่เราจะรักคนอื่นได้มากขึ้น คือ ต้องมองข้ามความรู้สึก
ต้องตัดสินใจรัก แม้ไม่น่ารัก ตัดสินใจช่วย แม้ไม่ควรช่วย

2.3 ต้องหิวคำสอนจากอัครทูต
กจ.2:42                   เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน
ขะมักเขม้น คือ กระตือรือร้น ... พูดให้เห็นภาพชัด คือ ตะกละ เราต้องตะกละความดี ความชอบธรรม
เราหิวพระวจนะ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พระวจนะของพระเจ้าจำเป็นต้องมีการเผยจึงจะเข้าใจ
อยากรู้ ต้องเรียนจากผู้รู้ ไม่ใช่ไปเรียนจากผู้ไม่รู้ ก็เสียเวลาเปล่า
คริสตจักรยุคแรกหิวคำสอนจากอัครทูต จึงทำให้พวกเขาเติบโตเป็นอย่างมาก

2.4 ต้องหิวการสามัคคีธรรมในคริสตจักร
ร่วมกันไปพระวิหาร คือ ร่วมกันไปคริสตจักร
ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องในคริสตจักรของพระเจ้า ทำให้เราเติบโตได้มากขึ้น
เพราะคริสตจักรเป็นสถาบันสูงสุดของพระเจ้า พระเจ้าบริหารสวรรค์ผ่านคริสตจักร
อฟ.3:10                  ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครองและศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทาง  คริสตจักร ณ บัดนี้
คริสตจักรของพระเจ้าสำคัญมาก เพราะเป็นพระกายของพระคริสต์
เป็นพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นพระโอษฐ์ของพระเจ้า เป็นพระบาทของพระเจ้า
การนมัสการส่วนตัวทำให้เราได้รับพระพรในระดับหนึ่ง
แต่การนมัสการในคริสตจักร ทำให้เราได้รับพระพรมากขึ้นในอีกระดับ
และการร่วมใจไปวิหาร เป็นการแสดงถึง ความหิวกระหายความชอบธรรมได้เป็นอย่างดี

ข้อคิดหนึ่งในการร่วมใจไปวิหาร คือ ต้องปรารถนามาเพื่อรับยาจากสวรรค์
“ยา” นั้น ไม่ว่าใครเป็นคนยื่นให้เรากิน ก็ยังเป็น “ยา”
คำเทศนา คำสอน การนมัสการในคริสตจักรล้วนเป็นยาจากสวรรค์
ดังนั้น เมื่อมาคริสตจักร อย่าตั้งคำถามว่าใครเทศนา หรือใครนำนมัสการ
เพราะเป้าหมายสูงสุด คือ เรามาหาพระเจ้า

ยน.15:1-5               เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษาแขนงทุกแขนงในเรา ที่ไม่ออกผลพระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้นท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านจงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้นเราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย            
พระเยซูเป็นเถาองุ่น คริสเตียนที่ไม่สังกัดคริสตจักร ก็เหมือนองุ่นที่ไม่ได้ติดอยู่กับเถา
เหมือนคนที่ไม่มีชาติ เป็นพวกอพยพ คนพวกนี้เติบโตยาก เปลี่ยนแปลงยาก
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -27-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

3. ถ้าเราหิวกระหายความชอบธรรม พระเจ้าจะให้เราอิ่มบริบูรณ์
อิ่มบริบูรณ์ คือ ไม่เพียงอิ่มแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังไหลล้นไปสู่ผู้อื่นด้วย
อิ่มความชอบธรรม บริบูรณ์ความชอบธรรม ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ความคิด ชีวิต และครอบครัว

3.1 อิ่มบริบูรณ์ คือ อิ่มอย่างครบบริบูรณ์ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ
ยน.10:10                                ...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
พระเจ้ามาเพื่อให้เราครบบริบูรณ์ คือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ จิตวิญญาณ “จิต” เป็นนาย “กาย” เป็นบ่าว ... แต่ “จิตวิญญาณ” ควบคุม จิตใจอีกทีหนึ่ง
มนุษย์มักให้ความสำคัญกลับกัน คือ ให้ความสำคัญด้านร่างกายมากกว่าจิตวิญญาณ
ส่งผลให้เราพิการ ไม่ครบบริบูรณ์ เช่น มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น แต่ความสุขของคนในบ้านน้อยลง
ถ้าจิตวิญญาณของเราโต ก็จะสามารถควบคุมจิตใจและร่างกายได้
เช่น เราจะรู้ว่าอะไรควรกิน - ไม่ควรกิน อะไรควรทำ - ไม่ควรทำ ที่ไหนควรไป – ไม่ควรไป
ถ้าเราทำในสิ่งที่ควร ในสิ่งที่ถูกต้อง ในสิ่งที่ชอบธรรม ชีวิตของเราก็มีแต่ความสุข
แต่เราจะอิ่มบริบูรณ์ได้ เราต้องเอาชนะตัวเองให้ได้
ไม่หิว ก็ฝืนกินอาหารฝ่ายวิญญาณ เพราะจำเป็นต่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

3.2 เราอิ่มบริบูรณ์ได้ เพราะจิตวิญญาณเป็นที่ให้ชีวิต
ยน.6:63                  จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
จิตวิญญาณใหญ่ที่สุด เพราะให้ชีวิต ถ้าหิวความชอบธรรม เราก็จะล้นไปด้วยความชอบธรรม
เนื้อหนัง มีประโยชน์ แต่ไม่ได้เป็นบทสรุปของชีวิต จิตวิญญาณต่างหากที่เป็นบทสรุปของชีวิต
การเป็นคนดี การมีความรับผิดชอบ จะเป็นตัวกำหนดให้มีวัตถุอย่างเพียงพอ
การนำคำสอนของพระเจ้า มาเป็นจิตวิญญาณของเรา ไม่ง่าย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ถ้าคำสอนของพระคัมภีร์ไม่เป็นจิตวิญญาณของเรา เราก็ไม่สามารถทำสิ่งชอบธรรมได้อย่างถาวรและเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น ต้องเอาพระวจนะพระเจ้ามาปฏิบัติ จึงจะรับความอิ่มบริบูรณ์

พระเจ้าให้อิ่มบริบูรณ์ หมายถึง ไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆ ในใลกเลย
ดังนั้น อยากให้คนดี ต้องสร้างให้เขามีจิตวิญญาณที่ดี ที่ถูกต้อง
เริ่มต้นจากในบ้าน คริสตจักร (วัด มัสยิด) และโรงเรียน
ถ้าความสัมพันธ์แนวตั้ง ถูกต้อง ความสัมพันธ์แนวนอน ก็ถูกต้องด้วย
ความสัมพันธ์แนวตั้ง คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “เรา” กับ “พระเจ้า”
ความสัมพันธ์แนวนอน คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “เรา” กับ “มนุษย์”

3.3 ความอิ่มบริบูรณ์ของผู้แสวงหาความชอบธรรม
ผลของผู้แสวงหาความชอบธรรม
สภษ.4:18                แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน
วิถีทางของผู้ชอบธรรม ทำอะไรก็เจริญ เพราะทำแต่สิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
เหมือนอย่างคำโบราณที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”
บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -28-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ถ้าเราเต็มด้วยความชอบธรรม สิ่งดีงามจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในชีวิตของเราเสมอ

สภษ.10:2-3            คลังทรัพย์อธรรมไม่เป็นกำไร แต่ความชอบธรรมช่วยกู้จากความตายพระเจ้ามิได้ทรงปล่อยให้คนชอบธรรมหิว แต่พระองค์ทรงขัดขวางความอยากของคนชั่วร้าย
ความชอบธรรม จะเป็นเกราะกำบังของเรา ใครเข้าใจผิดเรา แต่พระเจ้าจะป้องกันเรา

สภษ.10:6-7            พระพรอยู่บนศีรษะของผู้ชอบธรรม แต่ความทารุณท่วมปากคนชั่วร้ายการระลึกถึงของคนชอบธรรมเป็นพระพร แต่ชื่อเสียงของคนชั่วร้ายจะเน่าเสีย
คนชอบธรรมนั้น แม้บนศีรษะก็ยังมีพระพร

สภษ.10:11-13        ปากของคนชอบธรรมเป็นบ่อน้ำชีวิต แต่ปากของคนชั่วร้ายปิดบังความทารุณความเกลียดชังเร้าให้เกิดความวิวาท แต่ความรักครอบงำบรรดาการทรยศเสียที่ริมฝีปากของผู้ที่มีความเข้าใจจะพบปัญญาแต่ไม้เรียวก็เหมาะสำหรับหลังของผู้ที่ขาดสามัญสำนึก
ปากคนชอบธรรม ฟังแล้วชื่นใจ ผู้ชอบธรรมแยกแยะได้ว่าควรให้คำแนะนำกับใคร
ข้อคิด คือ อย่าพยายามให้เหตุผลกับคนดื้อ คนหยิ่ง และคนโง่ เพราะจะเสียทั้งเวลา และอารมณ์

สภษ.10:16              ผลงานของคนชอบธรรมนำไปถึงชีวิต แต่ของคนชั่วร้ายนำไปถึงบาป
คนชอบธรรม ทำอะไร ผลย่อมออกมาดี

สภษ.10:31-32        ปากของคนชอบธรรมนำปัญญาออกมา แต่ลิ้นของคนตลบตะแลงจะถูกตัดออกริมฝีปากของคนชอบธรรมรู้ว่าอะไรพอหูคน แต่ปากของคนชั่วร้ายรู้ว่าสิ่งใดตลบตะแลง
สภษ.11:4-6            ความมั่งคั่งไม่อำนวยกำไรในวันทรงพระพิโรธ แต่ความชอบธรรมช่วยกู้ให้พ้นความมรณาความชอบธรรมของคนที่ไร้ตำหนิย่อมรักษาทางของเขาให้ตรง แต่คนชั่วร้ายก็ล้มลงด้วยความชั่วร้ายของเขาเองความชอบธรรมของคนเที่ยงธรรมย่อมช่วยกู้เขา แต่คนทรยศจะถูกราคะของเขาจับเป็นเชลย
สภษ.11:8-11          คนชอบธรรมรับการช่วยเหลือให้พ้นความลำบาก และคนชั่วร้ายเข้าไปแทนที่คนไร้พระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่คนชอบธรรมได้รับการช่วยให้พ้นด้วยอาศัยความรู้เมื่อคนชอบธรรมอยู่เย็นเป็นสุขบ้านเมืองก็เปรมปรีดิ์และเมื่อคนชั่วร้ายพินาศ ก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี      
คริสตจักรกำลังสร้างสิ่งสำคัญให้ประเทศชาติ คือ สร้างความชอบธรรมให้คน สร้างคนให้ชอบธรรม

สภษ.11:19              บุคคลผู้ตั้งมั่นอยู่ในความชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ แต่บุคคลผู้ติดตามความชั่วร้ายจะถึงความตาย
สภษ.11:23              ความปรารถนาของคนชอบธรรมจบลงในความดีเท่านั้นความมุ่งหวังของคนชั่วร้ายจบลงในความพิโรธ
สภษ.11:28              บุคคลผู้วางใจในความมั่งคั่งจะล้มละลาย แต่คนชอบธรรมจะรุ่งเรืองอย่างใบไม้เขียว
ความมั่งคั่งไม่ผิด แต่ความมั่งคั่ง ที่ไม่มีความชอบธรรมรองรับ จะไม่มีเหลือ

สภษ.11:30              ผลของคนชอบธรรมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต การฝ่าฝืนกฎหมายย่อมทำลายชีวิต
สภษ.12:3                คนจะตั้งอยู่ด้วยความโหดร้ายไม่ได้ แต่รากของคนชอบธรรมจะไม่รู้จักเคลื่อนย้าย
ภาพยนตร์ทุกเรื่องสะท้อนชีวิตจริง เริ่มอย่างไรไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร

บุคคลผู้เป็นสุข                                                                                  -29-                                                             โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

3.4 ทุกคนที่ได้ดื่มน้ำของพระเจ้า จะอิ่มบริบูรณ์ ไม่กระหายอีกเลย
ยน.4:13-14             พระเยซูตรัสตอบว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีกแต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"
ทุกคนที่ดื่มน้ำของโลก จะยังกระหายอีก ดื่มเท่าไรก็ไม่อิ่ม
คือ เกียรติ ลาภยศ สรรเสริญ ค่านิยมของโลก
คนโลภ ก็โลภอยู่วันยังค่ำ ... เหมือนเทน้ำลงทะเลทราย ไม่มีวันเต็ม
แต่คนที่รักพระเจ้า ดื่มน้ำของพระเจ้า คือ น้ำของพระวิญญาณ
ความชอบธรรม ความดี ความถูกต้อง จะไม่กระหายอีกเลย
น้ำนั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุพลุ่งขึ้นในชีวิต และเป็นพระพรไหลไปยังผู้อื่น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น