วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ ฤทธาและพระปัญญา ” จาก “ 1คร.1:24-31 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -1-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

เรื่อง ฤทธาและพระปัญญา จาก 1คร.1:24-31

                1คร.1:24-31           แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีก ต่างถือว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูงแต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอายพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญเพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาปเพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า
                พระวจนะในตอนนี้ บ่งบอกถึงความสมดุลของพระเจ้า ความสัพพัญญูของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นทั้งผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดและในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเป็นองค์ปัญญาสูงสุด
                ความสัพพัญญูของพระเจ้า คือ รู้ตอนจบตั้งแต่ยังไม่มีการเริ่มต้น รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้อย่างทะลุทะลวง
                ฤทธานุภาพของพระเจ้า คือ สามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
พระวจนะที่จะให้คำจำกัดความถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าได้ดีที่สุด คือ 1ทธ.6:15-16 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
(1)          พระเจ้าผู้ทรงเสวยสุข
(2)          พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดแต่พระองค์เดียว
(3)          พระเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง
(4)          พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือเทพเจ้า (เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ทั้งปวง
(5)          พระเจ้าผู้เดียวทรงอมตะ
(6)          พระเจ้าผู้ทรงสถิตในความสว่าง
พระปัญญาของพระเจ้า เหนือความเข้าใจ เหนือความคิด เหนือปัญญาของมนุษย์
เมื่อ ฤทธานุภาพ กับ พระปัญญา มาอยู่รวมกันในพระเยซูคริสต์ คือ ความสมบูรณ์อย่างแท้จริง
ศาสนาของมนุษย์โดยทั่วไป บ้างเน้นฤทธิ์เดช ละเลยปัญญา สังเกตจากบ้านเรา ส่วนใหญ่มีแต่พระเสก (เครื่องรางของ
ขลัง วัตถุมงคล) ไม่ค่อยมีพระสอน (ไม่ให้ปัญญา ไม่ให้แก่นของศาสนา) ผู้คนจำนวนมากจึงหลงงมงาย บางลัทธิคำสอน ก็ไม่เชื่อเรื่องฤทธิ์เดชเลย เน้นแต่ปัญญา ... กลายเป็นปรัชญาของมนุษย์ ฟังไพเราะ แต่ปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะขาดฤทธิ์เดชในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน
แต่พระเจ้าของเราทรงสมดุล มีทั้งฤทธิ์เดชและมีทั้งปัญญา ส่งผลให้ตั้งแต่กำเนิดคริสตจักร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
อาณาจักรของพระเจ้าเจริญเติบโตเกิดผล ก้าวหน้า มีผู้เชื่อเพิ่มขึ้นทุกวันทั่วโลก เริ่มต้นจากคนกลุ่มคนเล็กน้อย เกิดหลังหลายศาสนา แต่ปัจจุบันกลายเป็นศาสนาที่มีคนเชื่อมากที่สุดในโลก ก็เพราะเราไม่ได้ทิ้งทั้งฤทธิ์เดชและพระปัญญา
หลายคนเคยถามว่า พระเยซูขลังหรือไม่?” คำตอบที่ข้าพเจ้าตอบคือ ขลังที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่ยิงไม่ออก แทงไม่เข้าเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนเลิกยิง เลิกฟัน เลิกสร้างสงคราม กลายเป็นผู้หว่านสันติ นี่แหละความขลังที่แท้จริงของพระเจ้า (ศาสนาหรือคำสอนใด ที่สร้างให้คนมีฤทธิ์เดชเพื่อใช้ในการยิง ในการฟัน ในการฆ่า ในการทำลาย ฤทธิ์เดชนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากผีมารซาตาน)

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -2-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นทั้งฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า
1. พระองค์ทรงสรรพสิ่งจากศูนย์จนมีสิ่งสารพัดทั้งปวง
คส.1:15-17             พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
พระเจ้าพระบิดาทรงสร้างสรรพสิ่ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น (โลกวัตถุและโลกวิญญาณ)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุตรหัวปี อยู่เหนือสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น
และโดยพระเยซูคริสต์นั่นแหละ สรรพสิ่งจึงได้ถูกสร้างขึ้นและเป็นระบบระเบียบอยู่โดยพระองค์
ถ้าไม่มีฤทธานุภาพ สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญา สรรพสิ่งก็เป็นระบบระเบียบอยู่ไม่ได้เช่นกัน
ฤทธานุภาพที่ขาดปัญญา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ
หลายคนเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โลก จักรวาล ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ฯลฯ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ถามว่าถ้าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยปราศจากการควบคุม
ทำไม? ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์จึงพอดี ใกล้มากกว่านี้โลกไหม้ ไกลมากกว่านี้โลกกลายเป็นน้ำแข็ง
ทำไม? ระบบสุริยจักรวาล ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการสร้างอย่างมีปัญญา และเบื้องหลังปัญญาที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพนั้น คือ พระเจ้า

ปฐก.1:1                  ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน
พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างจากศูนย์ จากไม่มีอะไรเลย จนมีสรรพสิ่งทั้งปวง
ใน ปฐมกาล ในจุดเริ่มต้นของการเวลา ... ไม่มีอะไรเลย นอกจาก มีพระเจ้า
และเพราะมีพระเจ้านั่นแหละ จึงได้มีสิ่งสารพัดทั้งปวง
พระเจ้าทรง เนรมิต สร้างฟ้าและแผ่นดิน ... ใครจะเนรมิตอะไรได้นั้น ต้องมีฤทธานุภาพจึงทำได้
จากไม่มีอะไรเลย พระเจ้าทรงสามารถเนรมิตให้มีขึ้นมาได้ ... ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์และเกินความสามารถมนุษย์
ถ้าเราเข้าใจถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า เราจะไม่วิตก ไม่กังวลในปัญหาใดๆ เพราะเรารู้จักพระเจ้าองค์นี้ดี
พระเจ้าจะทรงมีวิธีการในการดูแลคนของพระองค์

สดด.19:1-3            ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืนวาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า
กจ.17:24-25           พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้ พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
ขนาดของงาน วัดขนาดของคน ขนาดของคน กำหนดขนาดของงาน
สิ่งประดิษฐ์ของคน บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของคนๆ นั้น
เช่น ระบบไมโครซอฟท์ บ่งบอกความยิ่งใหญ่ของบิลล์ เกต หลอดไฟ บ่งบอกความยิ่งใหญ่ของโทมัส อัลวา เอดิสัน
ขนาดของจักรวาล บ่งบอกความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเช่นกัน
ไม่เพียงแต่มีฤทธานุภาพเท่านั้นจึงจะทำได้ แต่ต้องมีปัญญากำกับด้วย สิ่งที่ทรงสร้างจึงดำรงอยู่อย่างเป็นระบบ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -3-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

2. พระองค์ทรงทำสิ่งเล็กให้ใหญ่ ทำสิ่งที่ไม่มีค่าให้มีค่า ทำสิ่งที่ไร้สาระให้มีสาระ
1คร.1:26-29           ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญเพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้
นอกจากสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจากไม่มีให้มีขึ้นแล้ว
สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ จากเล็กให้กลายเป็นใหญ่ จากไม่มีค่าให้มีค่า จากไร้สาระให้มีสาระ
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์
เราไม่เห็นเวลาที่พระเจ้าทรงสร้างโลกกับสรรพสิ่งที่อยู่ในโลก
แต่การที่พระองค์ทรงสร้างคนจากเล็กน้อยให้กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ อยู่ในช่วงเวลาที่เราสามารถสัมผัสถึงได้ ดังนี้

2.1 พระเจ้าทรงสร้างอับราฮัมจากชายพเนจร เป็นผู้มั่งคั่ง มีปัญญา รวมทั้งชนชาติของเขาด้วย
ปฐก.12:1-3            พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า "เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับ พรเราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
พระเจ้าเรียกอับราฮัมให้เดินทางออกจากบ้านเมืองของตน กลายเป็นคนพเนจร
แต่เพราะเขาเชื่อฟังพระเจ้า ท้ายที่สุด จึงกลายเป็นผู้มั่งคั่ง เป็นผู้มีปัญญา และรับพระพรจากพระเจ้า
พระพรที่อับราฮัมรับ และพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม ส่งผลมาถึงลูกหลานของท่านด้วย
อับราฮัม เป็นต้นกำเนิดของชาวยิว (ฝ่ายเนื้อหนัง) และยิวฝ่ายวิญญาณ (คริสเตียน ผู้เชื่อในพระเจ้า)
ชนชาติยิวเป็นที่ยอมรับของโลก ในเรื่องสติปัญญาและความสามารถ
อัลเบร์ต ไอน์สไตน์ เป็นยิว คาร์ล มาร์ก เป็นยิว ปิกัสโซ่ เป็นยิว พระเยซูคริสต์ เป็นยิว
ชาวยิวเป็นหนึ่งในชนชาติที่ฉลาดที่สุด ลึกลับที่สุด และร่ำรวยที่สุดของโลก
สถิติระบุว่า ในบรรดาชาวอเมริกันทั้งหมดมีชาวอเมริกันเชื้อสายยิวอยู่เพียง 2% แต่มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการคัดเลือกจากนิตยาสาร FORTUNE ในแต่ละปีนั้น กลับมีนักธุรกิจเชื้อสายยิวมากถึง 20-25% ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาในขอบเขตที่กว้างขึ้นก็จะเห็นได้ว่าในบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกนั้นมีอยู่กว่าครึ่งทีเดียวที่มีเชื้อสายยิว
อิสราเอล ก่อตั้งประเทศขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากไม่มีประเทศเป็นเวลานาน และถูกต่อต้านจากหลายประเทศ
ทั้งหมดนี้ บ่งบอกถึงพระปัญญาและฤทธานุภาพของพระเจ้า
ถ้าพระคัมภีร์ที่ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ นี้เป็นแค่คำสอนของมนุษย์
ความจริงอย่างพระคัมภีร์ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้ แต่วันนี้ความจริงได้ปรากฏแล้ว
ถ้าไม่ใช่ฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า จะเรียกว่าอะไรได้

2.2 พระเจ้าทรงสร้างผู้เชื่อทุกคนให้กลายเป็นเกลือและแสงสว่าง คือ เป็นผู้มีคุณภาพในโลกนี้
ด้วยฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้าทำให้ผู้เชื่อทุกคนกลายเป็นเกลือและแสงสว่างแห่งแผ่นดินโลก
คือ ผู้ที่มีคุณภาพชีวิต คุณภาพความคิด คุณภาพการทำงาน คุณภาพการเรียนในโลกใบนี้
ผู้เชื่อไม่ว่าอยู่ส่วนใดของโลก ก็มีประโยชน์ มีคุณภาพ
แต่ขอย้ำว่า ผู้ที่จะรับการสร้างคุณภาพชีวิตจากพระเจ้าได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์
ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในศาสนาคริสต์ หรือเชื่อในคำสอนของคริสต์เท่านั้น

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -4-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

มธ.5:13-16             ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
คำว่า เกลือและแสงสว่าง เล็งถึง คุณภาพชีวิต
เมื่อพระเจ้าทรงตรัสในพระวจนะของพระองค์ ถือว่าพระองค์ทรงตรัสกับผู้เชื่อทั้งหมดที่ติดตามพระองค์
ขณะที่พระองค์ทรงตรัสนั้น สาวกเต็มไปด้วยชาวบ้าน แต่เวลานี้พระวจนะนั้นสำเร็จแล้ว
คริสเตียนอยู่ที่ไหน สร้างความเจริญที่นั่น ความก้าวหน้าของโลก มาจากคริสเตียน
ทุกคนที่มุ่งมั่น ตั้งใจติดตามและเดินตามพระเจ้า พระองค์จะยกเราขึ้นให้เป็นคำตอบของโลก

1คร.3:9                   เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
ไม่เพียงแต่เราจะเป็นเกลือและแสงสว่างของโลกเท่านั้น
แต่พระเจ้ากำลังสร้างผู้เชื่อ ให้กลายเป็น ตึก และ ไร่นา ของพระองค์ด้วย
ลองนึกถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ย่อมได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดี
พระเจ้าของเราทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เมื่อเราเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์
เราย่อมได้รับการสร้างและบำรุงเป็นอย่างดีเช่นกัน แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่เราต้องรักษาความเชื่อในพระเจ้า
ด้วยฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์ สามารถสร้างให้เรากลายเป็นตึกที่สวยงาม เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นตึกร้าง
และเป็นไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ไร่นาที่แห้งผากได้

2.3 พระเจ้าทรงสร้างชาวประมง ให้กลายเป็นปราชญ์และอัครทูตได้
ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างชาวประมงเป็นปราชญ์และอัครทูตผู้ยิ่งใหญ่
มธ.4:18-19             ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชาย กำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบพระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"
พระเยซูทรงเรียกชาวประมงกลุ่มหนึ่งมาหาคนแทนการหาปลา ชาวประมงกลุ่มนี้ ใช้เวลาอยู่กับพระเยซูคริสต์เพียงสามปีครึ่ง
เขาสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต จากชาวประมงกลายเป็นนักปราชญ์
สามารถคุยและโต้ตอบกับเหล่านักปราชญ์และคนมีการศึกษาได้
ทั้งหมดก็เพราะฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้าที่อยู่กับพวกเขา

กจ.4:13                   เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู
เมื่อเราเป็นพันธุ์ของพระเจ้า แม้จะเริ่มต้นจากเล็กน้อย แต่สามารถเติบใหญ่ในโลกใบนี้ได้
อัครทูตของพระองค์ เป็นตัวอย่างดีที่สุดที่ทำให้เราเห็นถึงฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า
สิ่งที่เราต้องทำ คือ จับจุดให้ได้ว่า จุดใดต้องพึ่งพาฤทธานุภาพ จุดใดต้องพึ่งพาพระปัญญาและจุดใดที่เราต้องพึ่งพากันและกัน

2.4 พระเจ้าทรงสร้างคนที่สูงส่ง ให้กลายเป็นสามัญชนได้
การสร้างคนธรรมดาให้กลายเป็นปราชญ์ ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -5-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

สิ่งที่ยากกว่านั้น คือ การสร้างคนที่สูงส่งให้กลายเป็นสามัญชน
คนสูงส่งจะเต็มไปด้วยเกียรติ อำนาจ ความรู้ ฯลฯ ยากมากที่จะทำให้เขาลงมากลายเป็นสามัญชน
แต่ด้วยฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถทำได้ แต่ทำแล้วผ่านชีวิตของ อ.เปาโล

ฟป.3:3-8                                เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และอวดพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนังข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีกคือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสีในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
พระวจนะตอนนี้ เปาโลกล่าวถึงความสูงส่งทางสังคมของตนเอง
แต่เมื่อท่านมาพบพระเจ้า กลับพบว่าสิ่งที่เคยคิดว่าสูงส่งนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ฤทธานุภาพของพระเจ้า ทำให้บุคคลที่สูงส่งอย่างเปาโล กลายเป็นคนที่ธรรมดาสามัญได้

1ทธ.1:15                                คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก
1คร.15:9-10           เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้เคี่ยวเข็ญคริสตจักรของพระเจ้า แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
ถ้าจะต้องอวดในเรื่องใดๆ เปาโลมีให้อวดมากกว่าผู้ใดทั้งปวง แต่ท่านเลือกที่จะอวดพระเจ้า
นั่นเพราะฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน

2.5 พระเจ้าทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคน
ถ้าพระเจ้าไม่ทรงฤทธานุภาพและไม่ทรงเต็มไปด้วยพระปัญญา
พระเจ้าย่อมไม่สัญญากับเรา และถึงแม้สัญญา คำสัญญานั้นก็ไม่อาจจะเป็นจริงได้
แต่ทุกวันนี้เราพิสูจน์ได้ พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ เป็นจริงเสมอ
มธ.13:31-32           พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตนเมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้
ผู้เชื่อทุกคนเริ่มต้นจากไร้สาระ อ่อนแอ เป็นสิ่งที่โลกดูหมิ่น ... เหมือนเมล็ดเล็กๆ
แต่เมื่อเมล็ดเล็กๆ นั้นได้รับการ เพาะ ลงไป ก็เกิดเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าทั้งปวง
เพาะ คือ การฝังตัวกับพระเจ้า ฝังตัวกับคริสตจักร ฝังตัวกับงานรับใช้พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง
ฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์จะทำงานในชีวิตของผู้นั้น
พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้เรา มีทั้งความเก่งและมีทั้งความเฮง

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 18 เม.ย. 10 รอบเช้า                                          -6-                                                                 โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน

ฉธบ.28:13              ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง
แต่อย่าลืมว่า ทุกคำสัญญา มีเงื่อนไขจากพระเจ้า จะเป็นจริงได้ เราต้องทำตามเงื่อนไขนั้น
เราจะรับพระพร ก็ต่อเมื่อเชื่อฟังและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า

3. พระคัมภีร์ที่เป็นตัวอย่างของฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า
3.1 พระเยซูคริสต์ ทรงขับผี รักษาโรค ประกาศ เทศนา สั่งสอน
ลก.4:31-36, 40-41  พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้ทรงสั่งสอนเขาทั้งหลายในวันสะบาโตคนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจมีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดังว่า "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซี" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชุมชน แล้วก็ออกมาจากเขาแต่มิได้ทำอันตรายเขาเลยคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก พูดกันว่า "คนนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา", ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆ ก็พามาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน ให้เขาหายโรค ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" ฝ่ายพระองค์ก็ทรงขนาบมัน และไม่ให้มันพูด เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์
ฤทธานุภาพ และพระปัญญาของพระเจ้า สำแดงผ่านพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ
คำสอนมีฤทธานุภาพในการเปลี่ยนชีวิตคน ขับผีออก รักษาคนป่วยหาย
เมื่อเราประกาศเรื่องราวของพระเจ้า ต้องประกาศให้ผู้อื่นเข้าใจทั้ง 2 ด้าน คือ ฤทธาและพระปัญญา

3.2 พระเยซูคริสต์ ทรงสอนและอวยพรในการทำงาน
ลก.5:3-6                 พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่ง เป็นเรือของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยไปจากฝั่งหน่อยหนึ่ง แล้วพระองค์ทรงนั่งลงสอนประชาชนจากเรือนั้นเมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว จึงตรัสแก่ซีโมนว่า "จงถอยออกไปที่น้ำลึก หย่อนอวนลงจับปลา"ซีโมนทูลตอบว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์"เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขากำลังปริ
พระเจ้าสอนให้เราทำงาน และอวยพระพรผ่านการงานที่เรากระทำนั้น
ฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า เกินความเข้าใจของมนุษย์ แต่ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจ จะได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์
ในความขาดแคลน ในวิกฤตของเศรษฐกิจและชีวิต พระเจ้าจะมีวิธี มีช่องทางในการอวยพรเรา
เมื่อเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า จะไม่มีใครทำอันตรายเราได้ แต่เงื่อนไข คือ เราต้องมีพระเยซูคริสต์ในชีวิต

3.3 พระเยซูคริสต์ ทรงเปลี่ยน น้ำ เป็น เหล้าองุ่นอย่างดี
ยน.2:3,7-10            เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า "เขาไม่มีเหล้าองุ่น", พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า "จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด" และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด" เขาก็เอาไปให้ เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมาและพูดกับเขาว่า "ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้"
พระวจนะตอนนี้ พระเยซูคริสต์ทรงเปลี่ยนน้ำธรรมดา เป็นเหล้าองุ่นอย่างดี ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
และด้วยฤทธานุภาพเดียวกันนั้น พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยน คนธรรมดา ให้กลายเป็น คนพิเศษได้
ทั้งหมดนี้ คือ ฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเยซูคริสต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น