คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ พลังในความสงบ ” จาก “ 1ปต.4:7, มก.6:31-32 ”
1ปต.4:7 อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน
พระวจนะในตอนนี้เกี่ยวเนื่องจากเรื่องอวสานของโลก เพราะเมื่อใกล้วันสิ้นโลก จะมีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ภัยที่เกิดจากโรคระบาด และที่ร้ายที่สุด คือ ภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ด้วยกันเอง ... พระเจ้ากำลังสอนให้เราเห็นว่าในท่ามกลาง “ภัย” เราสามารถรับ “พร” จากพระเจ้าได้ ถ้าเรารู้จักพักสงบในพระองค์
เราจะสงบได้ ต้องมีสติ และเมื่อเราสงบได้ เราจะมีพลัง ... ถ้าเราไม่มีสติ ก็ไม่สงบ และไม่มีกำลัง ไม่รับพระพร ตรงกันข้าม ตัวเราอาจจะกลายเป็นภัยสำหรับผู้อื่นเสียเอง
มก.6:31-32 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง" เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มี เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่างในการบริหารเวลาและบริหารชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ แม้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ในสภาพที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ร่างกายที่ทำงานหนัก ย่อมอ่อนล้าเป็นธรรมดา พระองค์จึงต้องจัดเวลาในการพักสงบอยู่กับพระบิดา เพราะในช่วงเวลานั้นแหละที่ทำให้พระองค์ได้รับกำลัง ช่วงเวลานั้นแหละ ทำให้เรามีพลังในความสงบ
แต่การพักของพระเยซูคริสต์นั้น เป็นการหยุดพัก เพื่อให้หายเหนื่อย โดยพระวจนะบันทึกว่า ... “หยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” ไม่ใช่หาเรื่องพักตลอด เกียจคร้านตลอดหรือไม่รับผิดชอบเสมอ
ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว"
โยบ.5:7 แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อแก่ความยากลำบาก อย่างประกายไฟย่อมปลิวขึ้นบน
ปฐก.3:17-18 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่น ดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิตแผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนาเจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะ ต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"
จากพระวจนะดังกล่าว พระเจ้าสอนเราแล้วว่า ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น เราย่อมพบกับความทุกข์ เป็นธรรมดา ... ทุกการทำงาน ย่อมมีความเหนื่อยเหนื่อย ทุกความสำเร็จกว่าจะได้มาย่อมต้องฝ่าฟันอุปสรรค แต่ความท่ามกลางความทุกข์ เรายังสามารถมีความสุขได้ ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย เรายังสามารถมีความชื่นชมยินดี และรับกำลังจากพระเจ้าได้เสมอ
ปัญหาที่ต้องต่อสู้ เป็นปกติของชีวิต เป็นธรรมชาติของโลก
แต่ในความยุ่งยาก ใครสามารถสงบได้ นั่นแหละ ยอดคนที่แท้จริง
พระวจนะสอนเราเกี่ยวกับพลังในความสงบ ดังนี้
1. พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง
ในเรื่องพลังของความสงบนั้น พระเจ้าสอนเราจากแบบอย่างชีวิตของพระเยซูคริสต์
พระเยซูคริสต์ ไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความสุข
พระเยซูคริสต์ ไม่มีแม้แต่บ้านสักหลัง แต่ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตที่มีคุณค่าสูงสุด
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่างในทุกเรื่อง ทั้งชีวิต คำสอน การทำงาน การพัก เพื่อหายเหนื่อย
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
การสงบ เพื่อมีกำลังในการทำงาน และสามารถทำสงครามชีวิตได้ต่อไป
ถ้าเรานำคำสอนและแบบอย่างชีวิตของพระองค์มาปฏิบัติ
รับรองว่าเราก็จะเป็นคนหนึ่งที่สามารถมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและประกอบไปด้วยความสุข สงบอย่างแท้จริง
1.1 “สงบ” ไม่ได้หมายถึง ไม่ทำอะไร เพราะลูกพระเจ้า ต้องทำงาน ต้องมีความรับผิดชอบ
สำหรับทางอื่นนั้น หากอยากสงบก็ง่ายนิดเดียว คือ ปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องสนใจสังคม
ใครทำอย่างนั้นสงบได้ทุกคน เพราะไม่มีความขัดแย้งกับใคร
แต่หลักการของพระเจ้า แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับหลักการของศาสนาและปรัชญาอื่นๆ
เพราะคำว่า “สงบ” ของพระองค์นั้น หมายถึง ความสงบด้านจิตใจ
คนของพระเจ้า สงบได้ แม้ต้องทำงานหนักและเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ
แม้เหนื่อยจากการทำงาน แต่เราจะไม่ทุกข์ ... เพราะเรารู้จักพักสงบ รับกำลังจากพระเจ้า
ดังนั้น คำว่าสงบ จึงไม่ได้หมายความว่าไม่ทำการทำงาน
เรายังต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังหาความสงบให้กับตัวเองได้
ลก.9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
พระวจนะข้อนี้ เป็นหลักการพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน
ใครจะติดตามพระเจ้าได้ ต้อง “เอาชนะตัวเอง” ให้ได้เสียก่อน
คือ บริหารจัดการตัวเองได้ ทุกด้าน (เวลา, ทรัพย์สิน, ความสามารถ)
หลังจากนั้นต้อง “แบกกางเขนของตน” (ไม่ใช่ของคนอื่น) ตามพระองค์
ส่วนหนึ่งของกางเขน คือ หน้าที่และความรับผิดชอบ ...
คนที่ไม่รับผิดชอบ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ศิษย์พระเยซู
1.2 การพัก ไม่ได้เกิดจากสาเหตุของความเกียจคร้าน
พระเยซูคริสต์ ต้องพัก แต่สาเหตุของการพักไม่ใช่เพราะความเกียจคร้าน
แต่เป็นการพัก เพื่อเติมพลัง รับกำลังจากพระเจ้า ในการทำสิ่งดีต่อไป
เราผู้เป็นคนของพระองค์ก็เช่นกัน พระเจ้ารู้ดีว่า การทำดี ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ต้องออกแรง ต้องออกกำลัง ต้องเหนื่อย
เราจะทำดีได้อย่างถาวร ต้องรู้จักพักสงบให้หายเหนื่อยและรับกำลังจากพระองค์เพื่อเดินหน้าต่อไป
รม.12:11 อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
กท.6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร
การทำดี การขยัน การทำงาน เป็นการทวนกระแสของโลก ต้องเหนื่อย แต่เราไม่ทุกข์
เราเหนื่อยได้ แต่ในขณะเดียวกันก็พักให้หายเหนื่อยได้ อย่างที่พระเยซูคริสต์วางแบบอย่างไว้
ปลีกเวลาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ... สำหรับคริสเตียน สิ่งนี้เป็นมากกว่าการนั่งสมาธิ
แม้ต้องใช้สมาธิในการเข้าเฝ้า แต่เราจะได้รับมากกว่านั้น
ปกติ 1 + 1 จะต้องได้ = 2 แต่ 1 (ตัวเรา) + 1 (พระเจ้า) ทำให้เราได้ผลลัพธ์มากกว่า 2 อาจจะเป็นแสนเป็นล้านก็ได้
หนึ่งสมาธิของมนุษย์ กับหนึ่งพลังของพระเจ้า เราสามารถกระทำทุกสิ่งได้
2ธส.3:11-12 เพราะเราได้ยินว่า มีบางคนในพวกท่านอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่ทำงานอะไรเลย แต่ชอบยุ่งกับธุระของคนอื่นเรากำชับและเตือนสติคนเช่นนั้น ในพระนามพระเยซูคริสตเจ้าว่า ให้เขาทำงานด้วยใจสงบและหากินเอง
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
พระวจนะตอนนี้ เป็นคำสั่งของพระเจ้า ไม่ให้คนของพระองค์อยู่อย่างเกียจคร้าน (พักตลอด ไม่ทำงาน)
ศิษย์ของพระเยซู ต้องทำงาน ... ไม่มีความสำเร็จใดๆ ที่ไม่เหนื่อย
แต่หากเราต้องเหนื่อยเพื่อพระเจ้า เหนื่อยเพื่อผู้อื่น เหนื่อยเพื่อสังคม จะเป็นความเหน็ดเหนื่อยที่เต็มไปด้วยความสุข
2. อันตรายของการไม่รู้จักจัดเวลาพัก (พักไม่เป็น พักไม่ถูก)
สาเหตุที่เราไม่มีกำลัง ไม่มีพลัง ก็เพราะว่าเราทำงานหนัก เหน็ดเหนื่อย โดยไม่จัดเวลาพัก
หรือการจัดเวลาพักของบางคน เป็นการพักแบบที่ไม่ถูกต้อง พักไม่เป็น
เช่น พักด้วยการพึ่งพายาเสพติด นึกว่ามันดี นึกว่ามันทำให้หายเหนื่อย นึกว่ามันทำให้สุข
เมื่อเราไม่ได้พัก หรือพักไม่ถูก ชีวิตของเราก็ไม่สงบ ไม่ได้รับกำลัง ไม่ได้รับพร ... แต่รับภัยอันตรายไปแทนที่
ดังนั้น คนของพระเจ้า ต้องรู้จักจัดเวลาพัก ต้องพักให้เป็น และพักให้ถูก
2.1 ข้อคิดจาก สดด.55:6-8
สดด.55:4-8 จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์ ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์ ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์ ความหวาดเสียวท่วมข้าพระองค์ และข้าพระองค์ว่า "โอ ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบจะได้บินหนีไปและอยู่สงบ เออ ข้าจะได้พเนจรไปไกล ข้าจะได้พักอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง จากลมดุเดือดและพายุ"
พระธรรมสดุดี เป็นหมวดพระวจนะที่เป็นคำกลอนของชาวยิว ไม่เพียงแต่งไว้อย่างไพเราะเท่านั้น
แต่ยังเป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาด้วย
ในข้อ 4-5 เป็นพระวจนะที่สะท้อนถึงลักษณะชีวิตของคนในปัจจุบัน
คือ เต็มไปด้วยความระทม เต็มไปด้วยความสยดสยอง เต็มไปด้วยความกลัว
แย่แน่ ตายแน่ ไม่มีใครช่วยได้แน่ ... เป็นท่าทีของมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้า เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา
แต่สำหรับมนุษย์ที่มีพระเจ้า คนที่รู้จักพัก เมื่อเหน็ดเหนื่อย จะปรากฏอยู่ในข้อ 6-8
“ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบ”
คนที่มีพระเจ้า เมื่อมีปัญหา เมื่อเหน็ดเหนื่อย จะแสวงหาการพักสงบกับพระเจ้า
การแสวงหาพระเจ้าของเรา ต้องมีท่าทีเหมือนนกพิราบ คือ สุภาพ อ่อนน้อม ไม่ใช่เหมือนนกแร้ง
จะเข้าหาพระเจ้าแต่ละครั้ง รบกวนผู้อื่นตลอด ถ้าข้างในเราไม่สงบ ข้างนอกเราไม่มีวันสงบได้
บางคนชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน แกว่งปากหาเรื่อง แกว่งหูหาทุกข์ตลอดเวลา
เพราะไม่รู้จักพัก ไม่รู้จักหนีจากความวุ่นวาย ชีวิตเลยไม่มีความสงบ เหนื่อยตลอด ทุกข์ตลอด
“จะได้บินหนีไปและอยู่สงบ”
หากเราอยากมีความสงบอย่างแท้จริง ต้องกล้าที่จะบินหนีจากความไม่ถูกต้องและต้องบินไปให้ไกลห่างด้วย
ต้องเรียนรู้ที่จะพัก แล้วเราจะอยู่อย่างสงบได้ในทุกสถานการณ์
“ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง”
ที่กำบังของเราไม่ใช่มนุษย์ ... เพราะมนุษย์ในโลกไม่มีใครสักคนที่สมบูรณ์แบบ
ที่กำบังของเรา คือ พระเจ้า ...
ที่กำบังของเรา คือ คริสตจักรของพระเจ้า กลุ่มชนของพระเจ้า
ซึ่งเป็นที่ๆ เต็มไปด้วยความชอบธรรม ความบริสุทธิ์และความสะอาด
เมื่อเราต้องการพักจากความวุ่นวาย ให้รีบเข้าหาที่กำบังของพระองค์ แล้วเราจะรับความสงบ
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
2.2 ข้อคิดจาก 2คร.7:5
2คร.7:5 เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว
พระวจนะข้อนี้ เป็นอีกมุมหนึ่งที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน โดยเป็นแบบชีวิตจริงของ อ.เปาโล
เปาโล เป็นชีวิตที่มีความรับผิดชอบสูง เจอความกดดันสูง แต่ผ่านมาได้ เพราะรู้จักพักสงบในพระเจ้า
ร่างกายที่ทำงานหนักไม่ได้หยุดพัก ... ย่อมเกิดความเหน็ดเหนื่อย
ความลำบากอยู่รอบด้าน, ภายนอกมีการต่อสู้, ภายในมีความกลัว ทั้งหมดก่อให้เกิดความสับสน วุ่นว่าย
การหยุดพักกับพระเจ้า จึงเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เราได้รับกำลังจากพระเจ้า
การหยุดพักกับพระเจ้า ไม่เพียงนำมาซึ่งความสดใหม่ฝ่ายร่างกายเท่านั้น
แต่ยังนำมาซึ่งความสดใหม่ฝ่ายจิตใจและจิตวิญญาณอีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมคนของพระเจ้าจึงดูหนุ่มสาวกว่าอายุจริงอยู่เสมอ
เพราะข้างในเรามีความสดใหม่ มีกำลังจากพระเจ้า และมีความรักเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตอยู่เสมอ
3. พระคัมภีร์สอนเรื่องศาสตร์และศิลป์ในการพัก ดังนี้
ทุกอย่างมีศาสตร์และมีศิลป์ พระคัมภีร์ก็เช่นกัน สอนเราทั้งศาสตร์และศิลป์ในการรับกำลังผ่านความสงบ ดังนี้
3.1 ต้องมีสติ รู้จักสงบในการอธิษฐานอยู่กับพระเจ้า
หลักการที่เราคุ้นเคยกันดี คือ อย่าตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในช่วงเวลาที่จิตใจเรายังว้าวุ่น ไม่มีสติ หรือไม่สงบ
เพราะการตัดสินใจในสภาวะเช่นนั้น โอกาสในความผิดพลาดมีสูงมาก
พระเจ้าจึงสอนให้เรามีสติ เพื่อจะรู้จักสงบในการอธิษฐานกับพระเจ้า
การได้หยุดและสงบอยู่กับพระเจ้า ทำให้เรารับกำลังจากพระองค์
เมื่อมีสติ เราจะรู้ว่าอะไรเราควรกระทำก่อนหรือหลัง รู้จักแยกแยะความถูกต้อง
ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า “เราจะมีเวลาให้กับสิ่งที่มีค่าในชีวิตของเราเสมอ”
คู่รักมักมีเวลาให้กันเสมอ เรารักและชอบสิ่งใด เราจะมีเวลาเพื่อสิ่งนั้นเสมอ
“พระเจ้า” ผู้เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เป็นเจ้านายเจ้าชีวิต เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ... มีค่าสำหรับเราหรือไม่?
เราจัดเวลาพักสงบกับพระองค์หรือไม่? เราให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของเราหรือไม่?
พระเจ้าให้เราเข้าหาพระองค์ เพื่อจะตระหนักว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมนุษย์ยังมีพระเจ้า
แต่หากพระเจ้าที่เป็นองค์สูงสุด เรายังจัดเวลาให้ไม่ได้ เราจะมีเวลาสำหรับสิ่งมีค่าอื่นๆ ได้อย่างไร
พระเจ้าเท่านั้นเปลี่ยนคนให้มีคุณธรรมได้ ... เราต้องเข้าหาพระเจ้า เข้าหาคริสตจักรของพระองค์
คนที่ไม่มีศีลธรรม ทรัพย์สมบัติที่มี ก็เป็นภัยได้
แต่คนดีมีศีลธรรม แม้มีทรัพย์สมบัติน้อย แต่จะหาขาดไม่ และมีมากก็จะไม่ทุกข์ด้วย
ดังนั้น เราต้องมีสติในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้รู้จักสงบกับพระองค์
ตัวอย่าง ยาโคบ
ผู้หนึ่งที่ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เขาโกหกพ่อ เขาโกงพี่ชาย เพื่อชิงสิทธิบุตรหัวปี
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับไปพบกับพี่ชาย (เอซาว ซึ่งมีกองกำลังของตัวเอง) จึงเกิดความกลัว ไม่มีแรง ขาดกำลัง
ท่านจึงจัดเวลาเข้าหาพระเจ้า ขอรับกำลังจากพระองค์
ปฐก.32:3-7 ยาโคบส่งผู้สื่อสารหลายคนล่วงหน้าไปหาเอซาวพี่ชายที่ในแคว้นเสอีร์ที่เมืองเอโดมตั้งอยู่สั่งเขาว่า "จงไป
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
บอกเอซาวเจ้านายของเราว่า ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกล่าวดังนี้ 'ข้าพเจ้าไปอาศัยอยู่กับลาบันจนบัดนี้ข้าพเจ้ามีฝูงโค ฝูงลา ฝูงแพะ
แกะ มีคนใช้ชายหญิง ข้าพเจ้าใช้คนมาเรียนใต้เท้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้เป็นที่โปรดปราน ในสายตาของใต้เท้า'"ผู้สื่อสารนั้นกลับมาบอกยาโคบว่า "ข้าพเจ้าไปพบเอซาวพี่ชายของท่านแล้ว เขากำลังจะมาพบท่าน มีพวกสี่ร้อยคน"ยาโคบมีความกลัวและเป็นห่วงยิ่งนัก จึงให้แบ่งคนทั้งหลายที่มาด้วย และฝูงแพะแกะ ฝูงโค ฝูงอูฐ ออกเป็นสอง พวก
ปฐก.32:9,11 ยาโคบอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้าของอับราฮัมปู่ของข้าพระองค์ และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพระองค์ ข้าแต่ พระเจ้าผู้ตรัสสั่งข้าพระองค์ไว้ว่า 'กลับไปยังเมือง และยังญาติพี่น้องของเจ้า เราจะช่วยให้เจ้าได้ดี'นั้น, ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ คือจากเงื้อมมือของเอซาว เพราะข้าพระ องค์กลัวเขา เกรงว่าเขาจะมาฆ่าพวกข้าพระองค์ทั้งสิ้น คือแม่ๆกับลูกๆ
ปฐก.32:24-28 ยาโคบอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว มีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำกับเขาจนเวลารุ่งสาง เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ถูกต้องที่ข้อต่อตะโพกของยาโคบขณะที่ปล้ำสู้กัน ข้อต่อตะโพกของ ยาโคบก็เคล็ด บุรุษนั้นจึงว่า "ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว" แต่ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจาก ท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า" บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า "เจ้าชื่ออะไร" ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ" บุรุษนั้นจึงว่า "เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล {แปลว่า เขาผู้ปล้ำสู้กับพระเจ้า หรือพระ เจ้าทรงปล้ำสู้} เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ"
ยาโคบ พักกับพระเจ้า ทั้งด้านความคิด จิตใจและการอธิษฐาน
ท่านต้องปล้ำสู้ในการอธิษฐาน โดยเริ่มต้นจากการปล้ำสู้กับจิตใจของตัวเอง
เพราะตลอดเวลามนุษย์มีเรื่องมากมายให้ต้องคิดและต้องทำ เราต้องรู้จักสงบใจให้ได้
ผลของการปล้ำสู้ในครั้งนั้น ยาโคบได้ชนะใจพระเจ้า และได้รับพระพรจากพระองค์
พระเจ้าเปลี่ยนชื่อท่านจาก “ยาโคบ” เป็น “อิสราเอล” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เมื่อข้างในมีกำลัง และมีความสงบ ก็สามารถเอาชนะปัญหาภายนอกได้
แต่เงื่อนไข อย่าลืมว่า เราต้องชนะพระเจ้าให้ได้ก่อน ชนะใจพระเจ้าให้ได้ก่อน
ต้องอยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่กับความชอบธรรมและความดี
แล้วในความทุกข์ ความวุ่นวาย จะไม่มีอะไร สิ่งใด พรากเราไปจากพระเจ้าได้
ถือเป็นชัยชนะ เหนือชัยชนะ สำหรับคนของพระเจ้า
รม.8:35-39 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลายหรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
ที่จริงแล้ว บางครั้งการเข้าเฝ้าพระเจ้า เราอาจไม่จำเป็นต้องอธิษฐานขออะไรเลยก็ได้
ลำพังได้นมัสการพระองค์ กำลังในชีวิตของเราก็มีเพิ่มขึ้น นี่คือพลังในความสงบ
3.2 ในความเงียบมีกำลัง สามารถแบกภาระ (แอก) ต่อไปได้
พคค.3:28 ให้เขานั่งเงียบๆอยู่แต่ลำพัง เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง
พระคัมภีร์สอนให้รู้ว่า แม้ในความเงียบก็มีกำลัง ทำให้เราสามารถแบกภาระของชีวิตต่อไปได้
“แอก” คือ ภาระและความรับผิดชอบของมนุษย์แต่ละคน
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เราจะสามารถแบกมันไปได้ในระยะยาว ต้องรู้จักเงียบ ต้องรู้จักคุมสติ รู้จักใช้สมาธิ รู้จักหยุด เพื่อจะเดินไปข้างหน้าได้
เรามักจะได้ยินว่า “แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญ แข่งวาสนา แข่งกันไม่ได้”
แต่ข้าพเจ้าขอพูดว่า “ลูกพระเจ้า สามารถแข่งกันมีบุญ แข่งกันมีวาสนา แข่งกันมีพระพรได้ ผ่านการเข้าเฝ้าพระองค์”
เมื่อเรานิ่งเงียบ มีสมาธิกับพระเจ้า พระองค์จะวางแอกให้กับเรา
ยน.3:27 ยอห์นตอบว่า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลย นอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา
มนุษย์จะรับสิ่งใดไม่ได้ เว้นแต่สวรรค์จะประทานให้ (ดังนั้น เราจึงต้องจัดเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสวรรค์)
แต่สวรรค์จะประทานให้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นสามารถดูแลรักษาได้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของเรา จึงควรเป็นชีวิตแห่งการเตรียมตัว ชีวิตแห่งการเตรียมพร้อม ปรับปรุงแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้นตลอดเวลา
3.3 การพักที่ได้พลังที่สุด ผ่อนคลายที่สุด คือ พักในพระทรวงพระเจ้า
พลังในความสงบ เกิดขึ้นจากการพักสงบในพระทรวงของพระเจ้า นั่นคือ การนมัสการพระองค์
การนมัสการ ทำให้มนุษย์ได้รับพลังและรับการผ่อนคลาย
ในการนมัสการพระเจ้านั้น พระองค์ยอมรับในกิริยาอาการที่แตกต่างกันของมนุษย์แต่ละคน
เพียงแต่ในใจของเรา เมื่อเข้าเฝ้านมัสการ เราต้องเคารพพระองค์
ปฐก.2:2-3 วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจาก การงานทั้งปวง ที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง
แม้พระเจ้าพระบิดา เมื่อทรงเสร็จการเนรมิตสร้างโลก พระองค์ยังทรงมีเวลาในการหยุดพัก
แต่จำไว้ว่า วันเวลาของมนุษย์กับเวลาของพระเจ้าต่างกัน จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
พระเจ้าตั้งวันสะบาโต (วันที่เจ็ดของสัปดาห์) ไว้ให้เป็นวันที่เราจะได้พักสงบอยู่ในพระทรวงของพระองค์
พระเจ้าตั้งคริสตจักรไว้ เพื่อเป็นแผนการในการอวยพรมนุษย์
ดังนั้น อยากได้ความสงบ อยากได้กำลัง อยากได้การพักผ่อน ต้องจัดเวลานมัสการพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์
การหยุดพักจากงานเพื่อมานมัสการที่คริสตจักร เท่ากับเป็นการจัดระเบียบของชีวิตให้ถูกต้อง
ถ้าจัดเรื่องนี้ไม่ได้ เราจะล้มเหลวในทุกเรื่อง ... กระดุมเม็ดแรก หากเราติดไม่ถูก กระดุมเม็ดต่อๆ ไป ย่อมผิดหมด
การพักสงบในพระทรวงของพระเจ้า ได้มากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
แต่เป็นความสุข ความชื่นชมยินดี ความชอบธรรม การปกป้องเราจากสิ่งชั่วร้าย (สิ่งเหล่านี้เงินช่วยเราไม่ได้)
ดังนั้น การนมัสการ จึงเป็นการกระทำคุณให้กับตัวเอง
พระบารมี พระสิริ กำลังและพระพรของพระเจ้าจะอยู่กับผู้ที่นมัสการพระองค์
พระวจนะที่เกี่ยวกับการรักษาวันสะบาโต
ฮบ.10:24-25 และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดีอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
อพย.20:8-11 "จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวันแต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตร หญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้าเพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์
4. กำลังของเจ้า (ของเรา) อยู่ในความสงบ
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
อสย.30:15 เพราะพระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "ในการกลับและหยุดพัก เจ้าทั้งหลายจะรอด กำลังของเจ้าจะ อยู่ในความสงบ และความไว้วางใจ""และเจ้าก็ไม่ยอมทำตาม
พระเจ้าย้ำเตือนมนุษย์ว่า “กำลังของเจ้าอยู่ในความสงบ” หากเราอยากรับกำลังจากพระเจ้า เราต้องอยู่ในความสงบ
อยู่ในพระเจ้า อยู่ในงานรับใช้ อยู่ในการนมัสการ อยู่ในการอธิษฐาน อยู่ในความสงบและไว้วางใจ
ความสงบของจิตใจมนุษย์ ไม่ได้มาเพราะสวดมนต์หรือการอธิษฐาน (ทั้งสองอย่างนั้นทำให้เกิดสมาธิ)
แต่ความสงบเกิดขึ้นได้จากเหตุผล ดังนี้
4.1 สงบได้ เพราะเรามีสติและความเข้าใจ
ขาดสติเมื่อใด ขาดความเข้าใจเมื่อใด ก็ขาดความสงบเมื่อนั้น
พระวจนะของพระเจ้าหลายตอน สอนให้เรามีสติและเข้าใจชีวิตมากขึ้น เช่น
1ทธ.6:7-12 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้นแต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิดส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไปด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพจงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
บางคนไม่มีสติ ไม่มีความเข้าใจ คิดว่าหลังจากความตายจะเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปได้
แทนที่จะมุ่งสร้างความดี ก็มุ่งสร้างแต่ทรัพย์สมบัติ ... นึกว่าตัวฉลาด ที่แท้โง่
การเดินทางไกล ตัวเราต้องเบา อย่าให้อะไรมาเป็นภาระหนัก ทำให้ชีวิตเราไปได้ไม่ไกล
ทุกอย่างเกิดจากสติ และความเข้าใจชีวิต
ปญจ.3:1-12 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูด มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่ มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต
ถ้าเราเข้าใจวาระและฤดูกาลต่างๆ ของชีวิต แม้เหนื่อย เราจะไม่ทุกข์ แม้มีปัญหา เรายังสามารถสงบได้
4.2 สงบได้ เพราะเราวางใจในพระเจ้า
ในหัวข้อนี้ เป็นสิ่งที่เหนือปรัชญาของนักปราชญ์ทั้งโลก
นักปราชญ์ หรือนักศาสนา ทำได้เพียงสอนให้เรามีสติและมีความเข้าใจชีวิต
แต่พระเจ้าเท่านั้น ทำให้เราไว้วางใจในพระองค์ได้
ความสงบอย่างแท้จริง เกิดจากความเข้าใจและความไว้วางใจในพระเจ้า
มนุษย์ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็มีความจำกัด ย่อมมีช่วงเวลาที่สุดกำลัง และหมดแรง
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แต่มนุษย์ที่มีพระเจ้า จะมีกำลังอันไม่จำกัดของพระเจ้าคอยช่วยเหลือ สิ่งนี้แหละทำให้เราสงบได้ท่ามกลางภัยนานาประการ
เรื่องของการไว้วางใจ เป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรืองมงายอย่างที่หลายคนเข้าใจ
... เราไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา แพทย์ให้ยามา
คงไม่มีใครรอพิสูจน์ก่อนว่ายานั้นทำจากอะไร ทำไมจึงรักษาเราให้หายได้ เพราะเราอาจจะตายก่อนหายโรค
ทุกคนทานยาที่แพทย์ให้มา ด้วยความวางใจ เพราะเขาเป็นแพทย์
... เรานั่งเครื่องบิน ด้วยความวางใจในนักบินและเครื่องบินนั้น
คงไม่มีใครรอพิสูจน์ก่อนว่าเครื่องบินนั้น บินขึ้นได้อย่างไร เพราะตลอดชีวิตอาจจะไม่ได้ขึ้นเครื่องบินเลยก็ได้
เราทานยาที่แพทย์จ่ายให้ เรานั่งเครื่องบินที่มีกัปตันขับให้ เพราะเราวางใจในพวกเขา
การวางใจในพระเจ้า ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกันนี้แหละ
ตัวอย่างพระสัญญาของพระเจ้าที่ทำให้เราวางใจในพระองค์
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
อสย.41:10 อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา
1ปต.5:10 และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
เกิดความกลัวหรือหมดกำลังเมื่อใด ให้อธิษฐานกับพระเจ้า โดยอ้างพระสัญญาต่างๆ ดังนี้
โดยเปลี่ยนคำว่า “แกะนั้น” (ยน.10:28), “เจ้า” (อสย.41:10), “ท่าน” (1ปต.5:10) เป็น “ชื่อของเราเอง”
แล้วเราจะเกิดความสงบขึ้นอย่างอัศจรรย์ เพราะไว้วางใจในพระองค์
5. ทุกชีวิต ต้องการการพัก
หัวข้อสุดท้าย เป็นการทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกชีวิต ต้องการการพักสงบ
พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ทำให้เราสงบได้อย่างถาวร และรับกำลังจากความสงบเมื่อเราเข้าหาพระองค์
5.1 พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง
มก.6:31-32 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง" เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มี เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง
5.2 พระเจ้าพระบิดาทรงพักหลังเนรมิตสร้าง
ปฐก.2:2-3 วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจาก การงานทั้งปวง ที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง
5.3 เอลียาห์ (ผู้รับใช้พระเจ้า) ต้องการพัก
1พกษ.19:4-8 แต่ตัวท่านเองก็เดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่ง มานั่งอยู่ที่ใต้ต้นซาก และท่านทูลขอให้ตัวท่านตาย เสียทีว่า "พอแล้วพระองค์เจ้าข้า ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ขอเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่า บรรพบุรุษของข้าพระองค์"และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นซาก ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า "ลุกขึ้นรับ ประทานซี"และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและมีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทาน และดื่ม และนอนลงอีกและทูตของพระเจ้าก็มาอีกเป็นครั้งที่สองถูกต้องท่านแล้วว่า "ลุกขึ้นรับประทานซี มิฉะนั้นทางเดินนั้นจะเกินกำลัง ของท่าน"และท่านก็ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเดินไปด้วยกำลังของอาหารนั้น สี่สิบวันสี่สิบคืนถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
คำเทศนา 14 พ.ย. 10 “รอบเช้า” -9- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
5.4 อิสยาห์ ต้องการกำลังจากพระเจ้า
อสย.30:15 เพราะพระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "ในการกลับและหยุดพัก เจ้าทั้งหลายจะรอด กำลังของเจ้าจะ อยู่ในความสงบ และความไว้วางใจ"
พลัง กำลัง การพักในพระทรวง การนมัสการพระเจ้า เป็นพลังของชีวิตไม่มีสิ้นสุด
ทำให้เราหายเหนื่อยจากการทำงาน ทำให้เราเป็นสุขจากความทุกข์
สดด.20:2 ขอพระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือมาจากสถานนมัสการ...
ดังนั้น การนมัสการ จึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด และดีที่สุดเมื่อเราต้องการพลังในความสงบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น