คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ ผู้เป็นแรงบันดาลใจ ” จาก “ ฟป.4:9 ”
ฟป.4:9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
ชีวิตของอัครทูตเปาโล ถือเป็นแรงบันดาลใจของคนทั้งโลก ทั้งในด้านการทำงาน ความอึด ความอดทน การยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระเจ้า และด้านชีวิตที่เต็มไปด้วยความถ่อมใจ ความอ่อนสุภาพ ไม่โอ้อวด ทั้งๆ มีให้อวดไม่น้อยกว่าใครในโลก
พระวจนะตอนนี้ ท่านสั่งให้เราทำกระทำตามทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ ที่ได้รับไว้ ที่ได้ยิน และที่ได้เห็นท่านทำ ...
เราจะรู้ว่าเปาโลทำอะไร เป็นอะไร ก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ เพราะเนื้อหามากกว่า 80% ท่านเป็นผู้เขียนจากการดลใจของพระเจ้า เขียนจากประสบการณ์จริงในการรับใช้พระเจ้า
ชีวิตของเปาโล เป็นชีวิตที่มีคุณค่าทั้งในสายพระเนตรของพระเจ้าและในสายตาของมนุษย์ แม้วันนี้ตัวตนของเปาโลจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ชื่อเสียงและคุณงามความดีของท่าน ยังคงอยู่ในใจของคนทั้งโลก และจะยังคงอยู่ไปตลอดกาล
ชีวิตของเปาโล ควรเป็นแรงบันดาลใจของเรา เพื่อเราจะทำดีและใช้ชีวิตที่อย่างมีคุณค่า รวมทั้งส่งต่อแรงบันดาลใจนั้นไปยังรุ่นต่อๆ ไปอย่างไม่สิ้นสุด
อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ กล่าวว่า “อย่าเพียงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนที่มีคุณค่า”
ไอน์สไตน์ ไม่เพียงเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ท่านยังนำคุณค่าสู่สังคมของมนุษย์ ด้วยความรู้ ความคิด สิ่งที่ท่านได้ประดิษฐ์ ทำให้โลกได้รับประโยชน์ และส่งผลให้ชีวิตของท่านมีคุณค่า
สำหรับข้าพเจ้าเองคิดว่า “ชีวิตจะมีคุณค่าสูงส่งได้ จิตใจและการกระทำต้องสูงส่งด้วย จึงจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้อย่างแท้จริง”
การกระทำของหลายคนอาจจะดูสูงส่ง แต่จิตใจต่ำก็มี ... การกระทำใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากจิตใจที่สูงส่ง การกระทำนั้นก็ไม่ถือว่ามีคุณค่า และไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้
ชีวิตคนเราก็เหมือนเรือในมหาสมุทร เราไม่สามารถเอาหินโสโครกออกไปจากทะเลได้ แต่การที่น้ำทะเลสูงขึ้น เรือนั้นย่อมลอยเหนือหินโสโครกได้ น้ำทะเลที่สูงขึ้น หมายถึง จิตใจของเราสูงขึ้น เมื่อจิตใจสูงส่ง การกระทำย่อมสูงส่ง และชีวิตของเราก็จะกลายเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและสูงส่งเช่นกัน
ผู้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ ต้องเป็นผู้ที่มี “อิทธิพลชีวิต” ไม่ใช่ผู้ที่ “ควบคุมชีวิต” ของผู้อื่น
การควบคุมชีวิต ใช้คำว่า “จง” และ “อย่า” ผลที่ได้อาจจะดูดี คนทำตาม แต่ไม่ได้ทำตามด้วยใจ เขาทำตามเพราะมีส่วนได้และส่วนเสียกับคำสั่งนั้น แต่การมีอิทธิพลชีวิต เป็นการกระทำด้วยความรัก เหมือนพ่อแม่ทำกับลูก ครูทำกับศิษย์ ผู้ที่รับการกระทำนั้นสามารถสัมผัสได้ และมีความปรารถนาที่จะตอบสนองต่ออิทธิพลนั้น ด้วยความเต็มใจ
ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ไม่ได้บันทึกความรวยความจนของคน แต่ประวัติศาสตร์บันทึกคุณค่าและความดีของมนุษย์ มีผู้คนมากมายที่ตายไปแล้ว แต่เขายังเป็นที่ชื่นชมและนั่งอยู่ในใจของคนเสมอ ไม่ใช่เพราะความร่ำรวยด้านทรัพย์สมบัติ แต่เป็นความร่ำรวยด้านคุณค่าชีวิต เช่น มหาตมะ คานธี, อับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น
ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ เหมือนดอกไม้ที่มีวันร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่คุณงามความดี และคุณค่าของชีวิต ไม่มีวันร่วงโรย ... เปาโลได้พิสูจน์แล้วในเรื่องนี้
1. ชีวิตของเปาโล เป็นแรงบันดาลใจต่อมนุษย์อย่างใหญ่หลวง
ชีวิตของเปาโล เป็นชีวิตที่เสมอต้นเสมอปลาย ชีวิตจึงเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้อื่น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ท่านสอนเราให้ยึดชีวิตของท่านไว้เป็นแรงบันดาลใจ ดังนี้
1.1 จงทำทุกสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ชอบธรรม
ฟป.4:9ก จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว...
เปาโลทำทุกสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ชอบธรรม ที่มีผลในปัจจุบันและอนาคต
เปาโลย้ำให้เรากระทำตามที่เราได้เรียนรู้ ได้เห็น และได้ยินในตัวท่าน
เปาโลเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดมา ก่อนที่จะได้เชื่อในพระเจ้า
แต่หลังจากที่ท่านได้เชื่อแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านทำมีแต่สิ่งที่ดี และส่งผลถึงอนาคตของคริสตจักร
เปาโล เป็นคนที่อยู่แนวหน้าของสังคมในทุกเรื่องทั้งการศึกษาและศาสนา
แต่ท่านเลือกการเป็นทูตของพระคริสต์ ท่านเลือกนำชีวิตนิรันดร์เข้าสู่คน
สิ่งนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก และที่คริสตจักรหรืออาณาจักรของพระเจ้ามีอิทธิพลต่อโลก
ก็สืบเนื่องจากสิ่งที่เปาโลได้ทำในอดีตนั่นเอง
ที่กล่าวว่าเปาโลทำแต่สิ่งที่ดี ไม่ได้หมายความว่า ท่านจะสมบูรณ์หรือปราศจากตำหนิ
ท่านยังโกรธเป็น เสียใจเป็น และมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทุกคน
แต่แม้อารมณ์จะไม่คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งที่ท่านยึดมั่น คือ การทำตามหลักการของพระเจ้า
นี่คือแก่นชีวิตของเปาโล ที่ท่านปรารถนาจะให้ผู้เชื่อทุกคนทำตาม
1.2 ผลของการทำตาม คือ พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงสถิตอยู่ด้วย
ฟป.4:9ข ...และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
คำสั้นๆ ที่เปาโลสอนนี้ มีน้ำหนัก ลึกและละเอียดมาก ... แต่น้อยคนที่จะตระหนัก
ทุกคนปรารถนาจะให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย แต่ไม่ตระหนักที่จะอยู่ในแผนการและน้ำพระทัยของพระองค์
อธิษฐานอย่างเดียว ไม่ลงมือทำงาน พระเจ้าปรารถนาจะอวยพร แต่อวยพรไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่ทำงาน
แต่ถ้าเราทำตามเปาโลผู้เป็นแรงบันดาลใจ ... ผลจะเกิดขึ้นตามพระสัญญา คือ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย
พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับผู้ใด?
ก. พระเจ้าสถิตกับคนและการงานที่ถูกต้องชอบธรรมเท่านั้น
อสย.59:1-2 ดูเถิด พระหัตถ์ของพระเจ้ามิได้สั้นลง ที่จะช่วยให้รอดไม่ได้ หรือพระกรรณตึง ซึ่งจะไม่ทรงได้ยิน แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยก ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลาย ได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน
พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระหัตถ์พระองค์ไม่สั้น พระกรรณไม่ตึง และพระเนตรของพระองค์มองเห็นเราเสมอ
แต่ที่เราไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า ก็เพราะมีความบาปกั้นเราไว้
ความบาปในทัศนะของพระคัมภีร์ คือ การพลาดเป้าของการทรงสร้าง
พระเจ้าทรงสร้างให้เราเป็นพระฉาย (ปฐก.1:26) ถ้าชีวิตของเราไม่สำแดงพระลักษณะของพระเจ้า ก็เท่ากับเราทำบาป
ลูกพระเจ้า ไม่เพียงไม่ทำชั่ว แต่ต้องทำดีด้วย ... ไม่เป็นภัยเฉยๆ ก็ไม่ได้ ต้องเป็นพรด้วย
พระเจ้าทรงตรัสแล้วว่า ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้า ก็ต่อเมื่อเห็นการดีที่เราทำ
มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
ถ้าเราไม่ทำดี พระเจ้าจะได้รับเกียรติได้อย่างไร และพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม จะสถิตอยู่กับคนอธรรมได้อย่างไร
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
คนและงานที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม พระเจ้าไม่ทรงสถิตอยู่ด้วย
ข. พระเจ้าสถิตกับผู้รับใช้ที่พระเจ้าเจิมไว้เท่านั้น
คริสตจักร เป็นสถาบันหลักของพระเจ้าในโลกนี้และในสวรรค์
ผู้นำสูงสุดในโลกนิรันดร์ คือ ผู้นำ ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิม
เราต้องให้เกียรติผู้นำ ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิม ไม่ใช่เพราะเราคลั่งไคล้ผู้นำ
แต่เป็นระบบที่พระเจ้าทรงตั้งไว้เพื่อกระจายและถ่ายทอดพระราชอำนาจของพระองค์
มธ.10:40 ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา
พระเจ้าตรัสชัดเจนว่า ถ้าเรารับผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มา ก็เท่ากับเรารับพระเจ้า
และในทำนองเดียวกัน ถ้าเราปฏิเสธผู้รับใช้ ก็เท่ากับเราปฏิเสธพระเจ้าด้วย
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้ จะถือว่าเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิม
เราสามารถสังเกตลักษณะของผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิมได้ดังนี้
(1) จะมีความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า ... เขาจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากที่พระเจ้าทรงให้เป็นเท่านั้น
(2) จะมีภาระใจในงานพระเจ้า ... ภาระใจต้องเกิดจากใจ ไม่มีใครบังคับ แต่เกิดขึ้นเอง
(3) จะมีความสามารถในการทำตามภาระใจนั้นได้
ถ้าพระเจ้าจะใช้ผู้ใด พระเจ้าจะทรงประทานความสามารถในการทำงานนั้นให้เขาด้วย
หลายคนมีแต่ภาระใจ อยากทำโน่นทำนี่ แต่ไม่มีความสามารถในการทำ
ไม่ใช่การเจิมจากพระเจ้า แต่เป็นความปรารถนาดีของตัวเขาเอง
(4) จะมีการสนับสนุนจากสวรรค์
ไม่เพียงพระเจ้าประทานความสามารถเท่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงประทานเครื่องมือต่างๆ ในการทำงานด้วย
ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ทรัพย์สิน ผู้ร่วมงาน หรืออื่นๆ ตามความจำเป็นที่เกินกำลังของมนุษย์
ผู้รับใช้ที่มีลักษณะเช่นนี้แหละ ที่พระเจ้าทรงเจิมและทรงสถิตอยู่ด้วย
ตัวอย่าง อับราอัม ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิม
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยและพร้อมที่จะอวยพรเสมอ
ครั้งหนึ่งเมื่ออับราอัมแยกทางกับโลทผู้เป็นหลาน (อ่าน ปฐก.13)
โลท เลือกในดินแดนที่รุ่งเรือง แต่เต็มไปด้วยความบาป ในขณะที่อับราฮัม ได้ดินแดนที่ทุรกันดาร
แต่เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย แม้ในที่กันดาร พระเจ้าจะสามารถเปลี่ยนเป็นความอุดมสมบูรณ์ได้
เรื่องนี้สอนเราว่า ที่ไหนที่มีความชอบธรรม ที่ไหนที่ผู้รับใช้พระเจ้าอยู่ ที่นี่จะเป็นพระพรเสมอ
ค. พระเจ้าสถิตกับสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น
น้ำพระทัยของพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม คือ พระคัมภีร์
น้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่อารมณ์ของเราเอง เช่น เราคิดว่าใช่ เราชอบ ... แต่พระเจ้าชอบหรือไม่ ต้องดูที่พระคัมภีร์
หลายคนชอบอ้างว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า หรือพระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าสั่งว่า
ทั้งๆ ที่เขาสั่งเอง พูดเอง ตัดสินเอง ระวังให้ดีจะรับภัย รับโทษจากพระเจ้า
เพราะพระองค์ไม่ได้ให้เราเอ่ยนามพระเจ้าเล่นๆ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
มธ.6:10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
เมื่อเราอธิษฐาน ขอให้อธิษฐานให้น้ำพระทัยของพระเจ้าที่สำเร็จในสวรรค์นั้น สำเร็จในเราด้วย
เราต้องพยายามทำให้ดีที่สุด แต่อย่าวางใจในตัวเอง ต้องวางใจในน้ำพระทัยพระเจ้า
และหลายครั้งการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั้น เราต้องยอมเจ็บ
แต่คิดไว้เสมอว่า เจ็บเพราะพระเจ้าตี ก็ยังดีกว่าที่เราต้องอยู่ในมือของมาร
1ยน.2:15-17 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
วันหนึ่งทุกสิ่งในโลกจะสูญไป รวมทั้งโลกใบนี้ด้วย
ผู้ที่จะมั่นคงดำรงเป็นนิตย์ คือ ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น
ดังนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้าจึงสำคัญที่สุดในชีวิต
เมื่อนานมาแล้วเคยมีหนังสือเล่มหนึ่งใช้ชื่อว่า “เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ”
ให้ข้อคิดที่ดีกับเรา เพราะถ้าอนาคตไล่ล่าเรา เราจะกลายเป็นคนไม่มีอนาคต
แต่ถ้าเมื่อใดเราเป็นคนที่ไล่ล่าอนาคต เราก็จะมีอนาคต
เราเจริญวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะเจริญตลอดไป ดูตัวอย่างเขมรเคยเจริญถึงขนาดมีนครวัด
แต่ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร? ... เพราะเขาไม่ไล่ล่าอนาคต แต่ปล่อยให้อนาคตไล่ล่า
ในทำนองตรงกันข้าม เราอาจจะไม่รุ่งเรืองในปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รุ่งเรืองตลอดไป
คนของพระเจ้าจะไม่คิดเฉพาะสิ่งที่มองเห็นเท่านั้น เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ถาวร แต่สิ่งที่มองไม่เห็นต่างหากถาวรเป็นนิตย์
2คร.4:18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
นรก สวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่มีจริงและกำหนดโลกที่มองเห็นอย่างถาวร
น้ำพระทัยของพระเจ้าก็เช่นกัน เป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตของเรานิรันดร์
มธ.3:17 และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"
ทุกคนอยากได้ยินพระดำรัสนี้จากพระเจ้า ไม่มีใครอยากได้ยินว่า ลูกเอ๋ย เราเบื่อหน่ายเจ้าเหลือเกิน
คนที่อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น จะได้รับคำชมเชยและชื่นชมจากพระองค์
เปาโล จึงตอกย้ำให้เราทำทุกสิ่งที่เห็น ฟัง เรียนจากท่าน แล้วพระเจ้าจะอยู่ด้วย
และถ้าพระเจ้าอยู่ด้วยกับผู้ใด ใครก็ไม่มีสิทธิ์ต่อสู้ ทำร้ายหรือทำลายเราได้
รม.8:31 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา
1.3 เราจะทำตามเปาโลได้ ก็ต้องดูชีวิตของท่าน
ถ้าเราอยากทราบประวัติชีวิตของเปาโล ต้องอ่านในพระธรรมกิจการ ตั้งแต่บทที่ 9 จนถึงบทที่ 28
เราจะเห็นทั้งชีวิตของเปาโลในสิ่งที่เราควรจะทำตามเพื่อรับพระพรและเป็นแรงบันดาลใจ
ชีวิตของเปาโลที่เป็นแรงบันดาลใจของเรา ขอแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ก. เปาโล เป็นผู้ยึดมั่นในคำสั่งของพระเจ้าด้วยชีวิต
ชีวิตของเปาโล เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคริสเตียนเป็นอย่างดีในเรื่องการยึดมั่นคำสั่งของพระเจ้า
เปาโลนั้นเคยฆ่าผู้เชื่อจำนวนมากมาย และเป็นการฆ่าอย่างถูกกฎหมายในสมัยนั้นด้วย
แต่เป็นการฆ่าเพราะความเข้าใจผิด คิดว่าพวกคริสเตียนหมิ่นพระเจ้า จนเดือดร้อนถึงพระเจ้าต้องมาห้ามทัพด้วยตัวเอง
กจ.9:3-5,8-9 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบเซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม"เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง, ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัสตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
เปาโล ผู้ที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ คนเก่งของชาวยิว เมื่อเจอกับพระเจ้า เขากลายเป็นเพียงผงธุลี
พระเจ้าให้เขาตาบอดอยู่ 3 วัน และช่วงเวลานั้นเอง ทำให้เปาโลเข้าถึงแก่นของชีวิต
ความรู้ สติปัญญา ลาภยศสรรเสริญ ไม่สามารถต่อสู้กับพระเจ้าได้
หลังจากที่รับคำสั่งจากพระเจ้า เปาโลเปลี่ยนจากศัตรูกางเขน เป็นองครักษ์พิทักษ์กางเขน
จากผู้ไล่ล่า กลายเป็นผู้ถูกไล่ล่าจากพวกยิวด้วยกันเอง
คำสั่งของพระเจ้าที่เปาโลได้รับเป็นงานใหญ่มาก ท่านเท่านั้นทำได้
คือ ประกาศกับประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล
กจ.9:15-16 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า "จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอลเพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา"
ขณะที่พระเจ้ามีคำสั่งให้เปาโลนั้น พระเจ้าทรงเปิดเผยด้วยว่าท่านจะต้องทุกข์ทรมานอย่างมากเพราะพระองค์
เปาโล ยอมจำนนต่อแผนการของพระเจ้า และยึดคำสั่งของพระเจ้าด้วยชีวิต
เปาโล กลายเป็นนักโทษ ถูกจองจำ ไม่ใช่เพราะทำผิดบาป แต่ถูกจองจองเพื่อพระคริสต์
ทั้งหมดเป็นแผนการของพระเจ้า กว่าที่เปาโลจะได้ประกาศกับกษัตริย์คนทั้งกองทัพก็ได้ยินเรื่องพระเจ้า
ฟป.1:12-14 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านทราบว่า การทั้งปวงที่อุบัติขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐแผ่แพร่กว้างออกไปจนประจักษ์ทั่วกันในหมู่ผู้คุมและคนอื่นๆว่า การที่ข้าพเจ้าถูกจำจองนั้น ก็เพื่อพระคริสต์และพี่น้องส่วนมากได้เกิดความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องด้วยการจำจองของข้าพเจ้า และพวกเขามีใจกล้าขึ้น ที่จะกล่าวพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความกลัว
คนๆ เดียวทำให้โลกสั่นสะเทือนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
เพราะท่านได้ยึดมั่นคำสั่งของพระเจ้าด้วยชีวิต ไม่ขัดขืนนิมิตจากสวรรค์
เพราะผู้ที่ตรัสสั่งนั้น คือ องค์พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า
เปาโลวางชีวิตลงเพื่องานพระเจ้า ชีวิตของท่านนั่นแหละ เป็นคำเทศนาที่ดีที่สุดในโลก
กจ.20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น
กจ.26:19 ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ข. เปาโล เป็นผู้สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้อง
เปาโล เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้รับใช้พระเจ้า ในการสอนพระวจนะอย่างถูกต้อง
สอนตรงไปตรงมา สอนอย่างครบถ้วน และไม่อะลุ่มอล่วยกับสิ่งใดก็ตามที่ผิดพระวจนะของพระเจ้า
ผู้รับใช้รับพรจากพระเจ้ามากก็จริง แต่ความรับผิดชอบก็มากตามไปด้วย
ผู้ใดสอนพระวจนะให้เบาลง หมายถึง อะลุ่มอล่วย จะรับโทษจากพระเจ้า กลายเป็นผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในสวรรค์
มธ.5:19 เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
เปาโลนั้น แม้เป็นอัครทูตที่มาหลังเปโตร แต่เมื่อท่านเห็นเปโตร ทำไม่ตรงไปตรงมา
ท่านก็กล้าต่อว่าแรงๆ ไม่ใช่ไม่เคารพอัครทูตรุ่นพี่ แต่เป็นเพราะท่านเคารพต่อพระวจนะอย่างสูงสุด
ท่านให้เกียรติมนุษย์ทุกคน แต่ถ้าเป็นเรื่องคำสอนของพระเจ้าอะลุ่มอล่วยไม่ได้
กท.2:11-14 แต่เมื่อเคฟาสมาถึงอันทิโอกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คัดค้านท่านซึ่งๆหน้า เพราะว่าท่านทำผิดแน่ ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหาก เพราะกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัตและพวกยิวคนอื่นๆก็ได้แสร้งทำตามท่าน แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า เขาไม่ได้ประพฤติตรงตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เคฟาสต่อหน้าคนทั้งปวงว่า "ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิว ประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ ไม่ใช่ตามอย่างพวกยิว เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติ ให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า"
พระวจนะของพระเจ้าใครตัด พระเจ้าก็ตัดพร ใครเพิ่ม พระเจ้าก็เพิ่มภัย
พระวจนะของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ไม่สามารถทำเล่นๆ กับพระวจนะของพระองค์ได้
ผู้รับใช้ต้องสอนให้ตรง สอนให้ครบ สอนให้สมดุล
วว.22:18-19 ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต และที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย
ฉธบ.4:1-2 บัดนี้ โอคนอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังกฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลาย จงประพฤติตามเพื่อท่าน ทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ของท่านทรงประทานแก่ท่านท่านทั้งหลายอย่าเสริมเติมคำที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ และอย่าตัดออกเพื่อท่านทั้งหลายจะรักษาพระบัญญัติของพระ เยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน
หลักในการที่ผู้รับใช้จะให้คำปรึกษาแก่สมาชิกในเรื่องใดๆ นั้น
ต้องให้เหตุผลว่า พระคัมภีร์ตัดสินในเรื่องนั้นอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนั้นอย่างไร
แต่การตัดสินใจอยู่ที่มนุษย์ เราบังคับใครไม่ได้ แต่ต้องทำหน้าที่สั่งสอนอย่างถูกต้อง
ผู้รับใช้พระเจ้า มีหน้าที่เผยและถ่ายทอดพระราชโองการของพระเจ้าถึงประชากรของพระองค์
การเทศนา จึงไม่ใช่การแสดงโวหาร ...
ใครเทศนาด้วยมีเป้าหมายในการแสดงโวหาร หรืออวดความเก่งของตน ผู้นั้นเท่ากับดูหมิ่นพระเจ้า
แต่การมีโวหารในการเทศนาเพื่อให้ประชากรเข้าใจได้ง่ายขึ้นนั้นไม่เป็นไร
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
1คร.2:2-5 เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนและเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็อ่อนกำลัง มีความกลัวและความหวาดหวั่นมากคำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพเพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เปาโล ก็สอนเราเช่นกันในเรื่องนี้
ผู้รับใช้ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อหน้าพระเจ้า เพราะผู้เชื่อทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า
ใครสอนให้ลูกเสื่อม พระเจ้าจะจัดการด้วยพระองค์เอง
พระเจ้าไถ่ชีวิตมนุษย์ด้วยความตายของพระองค์ เราจะมาทำลายคนของพระเจ้าด้วยคำสอนผิดไม่ได้
หน้าที่ของผู้รับใช้คือสั่งสอนให้ครบ ส่วนประชากรจะทำตามหรือไม่ ขึ้นกับพระคุณพระเจ้าสำหรับเขาทุกคน
กจ.20:20, 27, 31 และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน, เพราะว่าข้าพเจ้ามิได้ย่อท้อ ในการกล่าวเรื่องพระดำริของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ท่านทั้งหลายฟัง, เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่ และจำไว้ว่าข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน
พระวจนะตอนนี้ เปาโลพูดกับชาวเมืองเอเฟซัส ท่านไม่เคยปิดบังเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ต่อคนของพระเจ้า
ผู้รับใช้ที่ดี จะไม่เทศนาตามที่ตนเองชอบ หรือใช้พระวจนะเพื่อด่ากระทบใคร แต่จะต้องเทศนาตามที่พระเจ้าทรงประสงค์
ธรรมาสน์ของพระเจ้าบริสุทธิ์ จะใช้เป็นที่ระบายความแค้นส่วนตัวไม่ได้
พระเจ้าต้องการให้เราใช้ธรรมาสน์นั้น ในการสร้างคน
ถ้าจะพูด ต้องพูดพระวจนะ พูดพระดำริ พูดถึงแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า
ค. ชีวิตของเปาโล สมควรที่เราจะเรียนรู้และเลียนแบบ
ฟป.3:4-8 ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
กท.2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
1คร.15:10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
เปาโล เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของโลก ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเจ้า
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ถ่อมใจที่สุดในโลกเช่นกัน
ในการทำงานเกิดผล ท่านไม่เคยโอ้อวดความเก่งของตน แต่ยกให้เป็นพระคุณของพระเจ้า
ยิ่งให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าก็ยิ่งยกท่านขึ้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 24 ม.ค. 10 “รอบเช้า” -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
นี่แหละ คือ สิ่งที่เราควรเรียนรู้และเลียนแบบผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่คนนี้
คนดีจริง มีจริง เก่งจริง ไม่ต้องอวด ... ให้ผลงานพูดแทนเรา
2. ชีวิต หลักการ คำสอน แรงบันดาลใจ อุดมการณ์ของเปาโล
เปาโล วางชีวิตเป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา
ขอยกตัวอย่างพระวจนะ 2 ตอน ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิต หลักการ คำสอนและแรงบันดาลใจของเปาโล ดังนี้
กจ.20:33-35 ข้าพเจ้ามิได้โลภเงินหรือทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"
1ธส.2:6-9 และแม้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์ เราจะเรียกร้องก็ได้ แต่เราก็ไม่แสวงหาศักดิ์ศรีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น แต่ว่าเราอยู่ในหมู่พวกท่าน ด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกของตน เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศตัวเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
เปาโล ยอมทุกข์ ยอมลำบากเพื่อทีมงานและเพื่อคนทั้งโลก
ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย และยังต้องหาเงินเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง
เพราะในขณะนั้นคริสตจักรยังมีความจำกัด ไม่เพียงท่านหาเพื่อตัวเองเท่านั้น ท่านหาเพื่อทีมงานของท่านด้วย
อย่างที่กล่าวไปข้อก่อนหน้านี้ว่าเปาโล สามารถเลือกเดินเส้นทางของโลกได้
เพราะท่านฉลาด มีสติปัญญาและเป็นคนระดับสูงของสังคมในขณะนั้น
แต่ท่านเลือกที่จะเป็นทหารของพระคริสต์ เลือกที่จะทำตามคำสั่งของพระองค์
จึงต้องมีชีวิตที่ไม่ได้สะดวกสบายนัก แต่เป็นชีวิตที่มีเต็มไปด้วยคุณค่าทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ชีวิตของเปาโล สอนให้เราเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตมากขึ้น
เราทุกคนเกิดมาตัวเปล่า และต้องจากไปตัวเปล่า เราทุกคนมีท้องเดียวกินแค่อิ่ม
ดังนั้น คนของพระเจ้า เมื่อเรามีเพียงพอสำหรับตัวเองแล้ว ที่เหลือจากความจำเป็นนั้น ควรทุ่มเทให้กับพระเจ้า
สร้างชีวิตที่มีคุณค่าและมีแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นต่อไปไม่สิ้นสุด
บทสรุปชีวิตของเปาโล คือ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น
แต่ในโลกนี้ไม่เพียงเปาโลเท่านั้นที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน
เราสามารถเรียนรู้และเลียนแบบชีวิตของใครอีกหลายๆ คนที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตได้
ทั้งบุคคลในพระคัมภีร์ และบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลก
ในทำนองเดียวกัน เราเองก็สามารถมีชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องเก่งมาก มีมาก รู้มาก แต่ที่เรามี ขอให้ทุ่มเต็มกำลัง สุดกำลัง เราก็เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนอื่นได้
คนธรรมดาสามัญ คนพิการ คนด้อยโอกาส คนยากจน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร
ทุกชีวิตที่มุ่งมั่นทำดีและทำประโยชน์ ย่อมสามารถเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนได้เช่นกัน
นี่คือเกียรติและศักดิ์ศรีที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น