คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ เสรีชน เสรีภาพ ” จาก “1คร.6:12, 1คร.7:22”
1คร.6:12 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย
1คร.7:22 แต่ถึงอย่างไรก็ดีผู้ใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก เมื่อยังเป็นทาสอยู่ ผู้นั้นเป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายคนที่รับการทรงเรียกเมื่อเป็นเสรีชน คนนั้นเป็นทาสของพระคริสต์
“เสรีชน เสรีภาพและอิสรภาพ” เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ไม่มีใครอยากตกเป็นทาสของผู้ใดหรือสิ่งใด เพราะเป็นการไร้เกียรติและศักดิ์ศรี เว้นแต่การเป็นทาสของพระเยซูคริสต์หรือการเป็นทาสสมัครด้วยความรัก เช่น พ่อแม่อาสาเป็นทาสของลูกด้วยความรัก สามีภรรยาอาสาเป็นทาสของกันและกันด้วยความรัก เป็นต้น
ถึงแม้เสรีภาพ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ เราก็ต้องระมัดระวังที่จะมีเสรีภาพอย่างสมดุลด้วย
เสรีภาพ ที่ขาดสติสัมปชัญญะ คือ ความบ้า และนำมาซึ่งความเสื่อม (เช่น อยากทำอะไรก็ทำ ไม่คำนึงถึงกฎ กติกา มารยาท และไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นและส่วนรวม)
ในขณะที่เสรีภาพที่มีสติ จะนำมาซึ่งความเจริญ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
พระวจนะตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเสรีชนและความมีเสรีภาพของ อ.เปาโล ท่านสามารถทำทุกอย่างได้ และไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้อำนาจของใคร แต่ท่านเลือกที่จะใช้เสรีภาพอย่างเหมาะสม คือ เลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น ชีวิตของท่านจึงสามารถสอนเราได้เป็นอย่างดี เราต้องผ่านการเป็นทาสมาสู่ความเป็นไท เป็นเสรีชนและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
1. ข้อคิดเรื่องเสรีชนและเสรีภาพ
ก่อนที่จะอธิบายถึงพระวจนะของพระเจ้าใน 1คร.6:12 และ 1คร.7:22 นั้น
ข้าพเจ้าขอให้ข้อคิดเกี่ยวกับเสรีชนและเสรีภาพในภาพรวมก่อน ดังนี้
1.1 ก่อนจะเป็นเสรีชน ก่อนจะมีเสรีภาพ ความคิดของเราต้องเป็นอิสระจากการถูกครอบงำ
ประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) มักจะถูกครอบงำด้วยความคิดเห็นมากกว่าข้อเท็จจริง
คนส่วนใหญ่จะเชื่อข่าวสารทันทีที่ได้ยินได้ฟัง โดยไม่แยกแยะว่าสิ่งใด คือ “ความเห็น” และสิ่งใด คือ “ข้อเท็จจริง”
โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังจากคนที่น่าเชื่อถือ ยิ่งเชื่อง่ายเข้าไปอีก
แต่พระเจ้าสอนให้ระวังอย่าเป็นคนโง่ ... เพราะคนโง่นั้น เชื่อทุกสิ่งที่ได้ยิน
สภษ.14:15 คนเขลาเชื่อถือทุกอย่าง แต่คนหยั่งรู้มองดูว่าเขากำลังไปทางไหน
ข้าพเจ้าพูดเตือนตัวเองและเตือนลูกศิษย์เสมอว่า “เราต้องฟังทุกเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกเสียง”
“เราต้องฟังทุกคำ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกคำที่คนอื่นพูด”
คนที่จะเป็นเสรีชนและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง ความคิดของเขาต้องเป็นอิสระจากการถูกครอบงำ
ต้องมีความสามารถในการแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเห็นได้
1.2 เสรีภาพที่แท้จริง จะไม่มีกำแพงกั้น
ในยุคสงครามเย็น กำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์
กำแพงเบอร์ลิน กั้นระหว่างเยอรมันตะวันตก (ประชาธิปไตย) และเยอรมันตะวันออก (คอมมิวนิสต์) ออกจากกัน
แต่เสรีภาพที่แท้จริง ... ย่อมไม่มีกำแพงกั้น
ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินก็ถึงคราวล่มสลาย มีการทำลายกำแพงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2533
พระเยซูคริสต์เองก็มาเพื่อทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างเรากับพระเจ้า กำแพงที่กั้นระหว่างความเป็นทาสกับการเป็นไท
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำลายกำแพงนั้นเสียแล้ว คนของพระเจ้าจึงสามารถเป็นเสรีชนได้อย่างแท้จริง
อฟ.2:14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
1.3 ไม่มีใครอยากเป็นทาส ไม่มีใครอยากถูกผูกมัดหรือบังคับ
กท.4:1-2 ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์ จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้
ถ้าเราเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ ความคิดเราเด็ก การกระทำเราเด็ก ก็ไม่ต่างอะไรกับทาสที่จะต้องอยู่ใต้การปกครอง
การถูกบังคับ ถูกผูกมัด คือ ลักษณะของการเป็นทาส ไม่มีใครอยากเป็นเช่นนั้น
บ่อยครั้งเราถูกค่านิยมบังคับ เราทุกข์เพราะมีค่านิยมที่ผิด ...
สำหรับคนของพระเจ้านั้น เราเหนื่อยกับวัตถุได้ แต่อย่าทุกข์เพราะมัน
อย่ากินเกินตัว อย่าใช้เกินตัว อย่าสนใจการแต่งตัวดีมากกว่าการทำดี เป็นต้น
และทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้ คือ ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
พระเจ้าสร้างเราให้เป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่ผู้ถูกปกครอง พระเจ้าสร้างให้เราเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ผู้ถูกควบคุม
1.4 เสรีชน เสรีภาพ เป็นภาพของผู้มีวุฒิภาวะ ผู้ไม่ถูกครอบงำในทุกเรื่อง
1คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
อย่างที่กล่าวในข้อ 1.3 แล้วว่าทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากการเป็นทาส คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ภาพของเสรีชน ภาพของเสรีภาพ คือ ภาพของผู้มีวุฒิภาวะ ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ผู้ปลอดจากการถูกครอบงำในทุกรูปแบบ
ผู้ใหญ่ที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า “จง” หรือ “อย่า” มาบังคับ แต่เขาจะทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ
เมื่อก่อนเราเป็นเด็ก ก็เหมือนต้นไม้เล็กๆ ที่ย่อมมีหญ้ามาปกคลุม
แต่เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ ต้นไม้นั้นค่อยๆ เติบโตขึ้น ในที่สุดหญ้าที่เคยปกคลุมก็ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น
สิ่งที่เราเคยเป็นทาส เราจะเป็นไทได้ก็ต่อเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ
1.5 จะเป็นเสรีชนได้ ต้องรู้จักความจริงและยอมรับการสร้างจากพระเจ้า
ยน.8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
การรู้จักความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นเสรีชนและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
เราต้องกินอย่างผู้รู้ ทำอย่างผู้รู้ ใช้อย่างผู้รู้ เราจะมีความสุข
ความจริงแท้ที่สุด คือ พระเจ้า คือ พระคัมภีร์
ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต...
ความจริงแท้ ต้องนำมาสู่ชีวิตไม่ใช่ความตาย สู่ความสุขไม่ใช่ความทุกข์ สู่ทางรอดไม่ใช่ทางตัน
ยน.8:36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ
ไม่เพียงแต่การรู้จักความจริงเท่านั้นที่ทำให้เราเป็นไท แต่เราต้องยอมให้พระเจ้าสร้างชีวิตของเราด้วย
อยากเป็นเสรีชนแต่ไม่ยอมรับการสร้างก็เป็นทาส
ถ้าเรายอมรับการสร้าง พระองค์จะทรงสร้างเราผ่านพระคัมภีร์ ผ่านผู้นำ ผ่านพี่เลี้ยง
พระเจ้าจะสร้างเราผ่านพระคุณ ผ่านพระคำและผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่คำสอนดี แต่ปราศจากฤทธิ์เดช จึงไม่สามารถเป็นจริงในชีวิตมนุษย์ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
หากเราอยากเติบโต อยากรู้จักความจริง อยากเป็นเสรีชนและอยากมีเสรีภาพ ต้องยอมรับการสร้างจากพระเจ้า
2. ข้อคิดจากพระวจนะ (ชีวิตที่มีอิสระของเปาโล) 1คร.6:12 - 1คร.7:22
1คร.6:12 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ เป็นเรื่องอิสรภาพของชีวิต อ.เปาโล
เป็นอิสรภาพทั้งชีวิตและการกระทำ ไม่เป็นทาสหรือตกในบังคับของผู้ใด
ซึ่งมีบางตอนที่ท่านสอนเกี่ยวเนื่องกับการ “ล่วงประเวณี”
ซึ่งคำว่า “ล่วงประเวณี” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการล่วงละเมิดทางเพศเท่านั้น
แต่เป็นการล่วงละเมิดต่อชีวิตของผู้อื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเวลา ทรัพย์สินหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
เปาโล เป็นผู้รับใช้ที่เก่งและมีความสามารถในทุกด้าน ผู้หญิงทุกคนย่อมอยากจะได้ท่านเป็นคู่ครอง
แต่ท่านตัดสินใจที่จะเป็นโสด และเป็นอิสระต่อสิ่งที่ล่อลวงในชีวิตทุกอย่าง
2.1 เป็นอิสระจากการกิน
1คร.6:13 อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็สำหรับอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงให้ทั้งท้องและอาหารสิ้นสูญไป...
บาปใหญ่ที่สุดของทางพุทธศาสนา คือ โลภ โกรธและหลง
ในขณะที่บาปใหญ่ในทางของพระเจ้า คือ 3 ก. อันได้แก่ ก.กิน ก.กาม และ ก.เกียรติ
แต่เปาโลใช้ชีวิตของท่านสอนเราเป็นอย่างดี เราต้องเป็นอิสระจากการกิน
พระวจนะสอนเราเรื่องการกิน ดังนี้
ปฐก.9:3 ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่ เจ้าแล้ว
มก.7:18-19 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์ จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป" (ที่ทรงสอนอย่างนี้ก็เป็นการประกาศว่า อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน)
พระเจ้าให้พืชและสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ โดยให้พืชเป็นอาหารหลัก ส่วนสัตว์เป็นอาหารเสริม
ตามหลักแล้วเราสามารถกินทุกอย่างได้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องกินทุกอย่าง ต้องรู้จักแยะแยะในการกินด้วย
อาหารทุกอย่างไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งที่อยู่ภายในมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
เรากินเพื่ออยู่ แต่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ... เราอยู่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า
รม.14:17 เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
แก่นสารของชีวิตเรา ต้องไม่ใช่เพื่อการกินและการดื่ม
แต่เพื่อความชอบธรรมและสันติสุขของพระเจ้าจะดำรงในชีวิตของเรา
2.2 เป็นอิสระจากกาม
1คร.6:13 ...ร่างกายนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้สำหรับร่างกาย
ชีวิตของเปาโล เป็นอิสระจากการล่วงประเวณี เป็นอิสระจากกามารมณ์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ตราบใดเป็นมนุษย์ ตราบนั้นย่อมมีอารมณ์และความรู้สึก
แต่คนที่เป็นเสรีชนที่แท้จริง จะบังคับและเอาชนะความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องได้
1คร.9:27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
เปาโลสอนคนโสดให้เราเป็นอิสระจากกาม จากการล่วงประเวณี
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สอนให้ปฏิเสธเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่มีครอบครัว
1คร.7:3-5 สามีพึงประพฤติต่อภรรยาตามควร และภรรยาก็พึงประพฤติต่อสามีตามควรเช่นเดียวกัน ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา ทำนองเดียวกันสามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกันเว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการอธิษฐาน แล้วจึงค่อยมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อมิให้ซาตานชักจูงให้ทำผิดเพราะตัวอดไม่ได้
2.3 ยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า จึงเป็นอิสระจากการเป็นหนึ่งเดียวกับหญิงแพศยา
1คร.6:15-16 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าเอาอวัยวะของพระคริสต์ มาเป็นอวัยวะของหญิงแพศยาได้หรือ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย ท่านไม่รู้หรือว่า คนที่ผูกพันกับหญิงแพศยาก็เป็นกายอันเดียวกันกับหญิงนั้น เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า เขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน
“หญิงแพศยา” ในที่นี้ คือ หญิงที่ไม่ใช่ภรรยาหรือคู่ชีวิตของตนเอง
เป็นหญิงที่นำเราไปสู่การล่วงประเวณี ตกเป็นทาส ทำให้จิตวิญญาณถูกทำลายและร่างกายไม่ได้เป็นพระวิหารของพระเจ้า
เปาโล สามารถเป็นอิสระต่อหญิงเช่นนั้นได้ เพราะท่านยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
เราต้องจำไว้ว่า พระเจ้าไม่ได้ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ของชีวิตคู่
แต่หากไม่ได้เป็นคู่ชีวิต เราก็ไม่ควรใช้ชีวิตด้วยการล่วงประเวณี
เพราะทุกครั้งที่เราหมกมุ่นในเรื่องกามารมณ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะไม่ทำงานผ่านเรา
การละเมิดและล่วงประเวณีต่อหญิงแพศยา ในที่สุดจิตวิญญาณของเราจะถูกทำลาย
ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
ดังนั้น เราต้อง “ยืนหยัด” ในทางของพระเจ้า “ยืดหยุ่น” ได้ แต่อย่า “หย่อนยาน” ในกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้
1คร.6:18-20 จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้น ทำผิดต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
3. หนทางสู่ความเป็นเสรีชน มีเสรีภาพและอิสรภาพ
3.1 ต้องรู้จักความจริงและเหตุผลในการเกิดของมนุษย์
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราจะก้าวไปสู่การเป็นเสรีชนและใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพได้
ก็ต่อเมื่อเรารู้จักความจริง และหนึ่งในความจริงที่เราต้องรู้ คือ เหตุผลในการเกิดของมนุษย์
ถ้าเรารู้ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร? อยู่เพื่ออะไร? เราจะมีเสรีภาพและอิสรภาพในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
เหตุผลและความจริงในการเกิดมาของมนุษย์ ... พระคัมภีร์เท่านั้นที่ให้คำตอบไว้ชัดเจนที่สุด
สภษ.16:4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน...
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ปฐก.1:26-28 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิงพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จง ครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"
มนุษย์ถูกสร้างจากพระฉายของพระเจ้า คือ ถูกสร้างให้เหมือนพระเจ้าในด้านคุณธรรม และสติปัญญา
มนุษย์ถูกสร้างให้สะท้อนพระสิริของพระเจ้าและถูกสร้างมาเพื่อปกครองโลกนี้
ดังนั้น การใช้ชีวิตของเราต้องสะท้อนพระสิริของพระเจ้า ใครเห็นเราขอให้เขาเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
การตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ หรือการมัวเมาอยู่กับโลก ไม่ได้เป็นการสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้า
และถือเป็นการทำผิดวัตถุประสงค์ในการทรงสร้างมนุษย์ของพระเจ้า
สดด.8:5-6 เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขาพระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
มนุษย์ต่ำกว่าพระเจ้าเพียงหน่อยเดียว ที่จริงเรามีความสามารถเหนือเทพและทูตสวรรค์ด้วย
เราเกิดมาเพื่อปกครองโลก ไม่ใช่ให้โลกปกครอง
เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ในโลก คือ บริหารจัดการโลก ไม่ใช่เป็นทาสของโลก
3.2 ตระหนักว่าเรารับการไถ่แล้วด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
แม้ในอดีตเราจะเคยเป็นทาสของความบาป เพราะเรายังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
1ยน.5:19 เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย
อฟ.2:1-2 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาปครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง
มนุษย์ทุกคน ไม่บาปอย่างใดก็อย่างหนึ่ง เราถูกความบาปครอบงำไว้
แต่เมื่อเราได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระโลหิตของพระองค์ได้ไถ่เราจากบาปแล้ว
เราเคยเป็นทาส แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นไท มีเสรีภาพและมีอิสรภาพจากพระองค์
ข้าพเจ้ากล่าวเสมอว่า “ชีวิตคนเราเริ่มต้นอย่างไร ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร”
สวรรค์ให้โอกาสทุกคนกลับใจ รอบตัวพระเยซูคริสต์ เคยมีแต่คนบาป
แต่เมื่อคนบาปเหล่านั้นได้เข้าใกล้พระองค์ พระเจ้าเปลี่ยนคนบาปให้กลายเป็นนักบุญได้
เราอาจจะเคยทำบาป เคยจมอยู่ในความบาป แต่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงไถ่เราเป็นไทแล้ว
เราเคยเป็นชาวโลก แต่พระเจ้าเปลี่ยนฐานะเราให้กลายเป็นชาวสวรรค์
แม้เราไม่สามารถเปลี่ยนอดีตของตัวเองได้ แต่เราสามารถสร้างอนาคตได้ด้วยตัวเอง
เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์จะสร้างเราจากความเหม็นให้กลายเป็นความหอมได้
พระเจ้าสามารถเปลี่ยนคนบาปให้กลายเป็นนักบุญได้ ... นี่คือข่าวประเสริฐถึงมนุษย์ทุกคน
อฟ.2:10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
3.3 เราต้องยอมถูกตรึงและตายกับพระคริสต์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
กท.2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
เราจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้ เราต้องยอมถูกตรึงและตายกับพระคริสต์
นึกถึงสภาพของการถูก “ตรึง” ต้องยอมเจ็บ ต้องยอมปวด จึงจะสามารถเลิกชั่ว เลิกบาปได้
คส.3:1-5 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ คือประทับข้างขวาของพระเจ้า จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลกเพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ
เราต้องยอมให้พระเจ้าประหารโลกียวิสัยในตัวเรา
ศาสนาสูงส่ง แต่พระเจ้าสูงสุด ลำพังศาสนาทำให้คนเลิกชั่วไม่ได้
แต่ต้องมีพระเจ้าในชีวิตเราจึงจะเป็นไทจากความชั่วอย่างแท้จริงและเป็นไทได้อย่างถาวร
รม.6:1-4 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรืออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน
มีความแตกต่างกันระหว่างคำว่า “ตายในบาป” กับ “ตายต่อบาป”
เมื่อก่อนเราตายในบาป คือ ทำบาปเป็นเรื่องปกติ เหมือนแมลงวันชอบความเน่าเหม็น
แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ที่ตายต่อบาป คือ ทำบาปอีกไม่ได้เลย
พระเจ้าได้เปลี่ยน “หนอน” ให้กลายเป็น “ผีเสื้อ” รสนิยมของเราเปลี่ยนไป
อะไรไม่ดีที่เราเคยทำ เราไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนชีวิตของเราจากภายใน
นี่คือจุดแข็งของข่าวประเสริฐ ... มนุษย์จะถกเถียงกันเรื่องหลักข้อเชื่อ แต่ไม่มีใครสามารถเถียงเรื่องชีวิตใหม่ได้
เมื่อก่อนเลว เดี๋ยวนี้ดี เมื่อก่อนสกปรก เดี๋ยวนี้สะอาด เมื่อก่อนเป็นทาส เดี๋ยวนี้เป็นไท
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านชีวิตของเราได้
ชีวิตของเราต้องเต็มไปด้วยพระเจ้า ร่างกายเราต้องเป็นวิหารของพระองค์
เมื่อเราเต็มไปด้วยพระเจ้า เราก็เป็นเสรีชนของพระองค์
3.4 ต้องกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
1ยน.2:17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
การกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่เพียงนำเสรีภาพสู่ชีวิตของเราเท่านั้น
แต่ยังเป็นการนำพระพร นำความสำเร็จ นำความสุขเข้าสู่ชีวิตของเราอีกด้วย
น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา เราต้องทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเอง
ขอฝากทิ้งท้ายไว้ ดังนี้
เสรีภาพของเสรีชน กับสติสัมปชัญญะเป็นของคู่กัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 17 ต.ค. 10 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ทต.2:12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
เสรีภาพที่ขาดสติสัมปชัญญะ คือ ความบ้า ความเสื่อมและวุ่นวาย
ยก.3:13-18 ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปิศาจ เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่างๆ แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม
เสรีภาพของเสรีชน คือ ปัญญา นำมาซึ่งชีวิตและความคิด
รม.8:5-8 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุขเหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้ และคนทั้งหลายที่อยู่ใต้เนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น