คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ การบริหารจัดการชีวิต ” จาก “ 1คร.6:2-3 ”
1คร.6:2-3 ท่านไม่รู้หรือว่าธรรมิกชนจะพิพากษาโลก และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่มีสมรรถภาพจะพิพากษาตัดสินเรื่องเล็กๆน้อยๆหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นจะยิ่งเป็นการสมควรสักเท่าใด ที่เราจะพิพากษาตัดสินความเรื่องของชีวิตนี้
ถ้าจะให้เปรียบการบริหารจัดการในระดับต่างๆ ข้าพเจ้าขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ดังนี้
· การบริหารเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เปรียบได้กับการเรียนในระดับมัธยม
การบริหารเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ในการแปลพระคัมภีร์ฉบับเดิมใช้คำว่า “มโนสาเร่” เช่น เรื่องการกินการดื่ม วันนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะกินอะไร หรือการใช้เงินในแต่ละวัน จะซื้อมือถือรุ่นไหน จะเก็บเงินเท่าไหร่ในแต่ละเดือน เรื่องพวกนี้สำหรับพระเจ้า ถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่คนไทยส่วนใหญ่ แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ยังสอบไม่ผ่าน ก็ไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องที่ใหญ่ขึ้นได้
· การบริหารเรื่องชีวิต เปรียบได้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
เรื่องชีวิตที่ว่านี้ หมายถึง ชีวิตในโลกนี้ (ชีวิตอนิจจัง) และชีวิตในโลกหน้าด้วย (ชีวิตนิรันดร์) เป็นเรื่องยาก แต่ไม่เกินกำลังลูกของพระเจ้าที่จะบริหารจัดการได้
· การบริหารสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า เปรียบได้กับการเรียนในระดับศาสตราจารย์
การบริหารเรื่องนี้สำคัญมาก บางคนเป็นใหญ่ในโลก แต่เป็นผู้น้อยในสวรรค์ เพราะไม่รู้จักการบริหารจัดการ เราไม่รู้สิทธิและหน้าที่ของตัวเองที่พระเจ้ามอบให้ อย่าลืมว่าหนึ่งในนั้น คือ การเป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์ในการบริหารจัดการสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า
วว.22:5 กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่ต้องการแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างของเขา และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
รม.8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
การบริหารจัดการทั้ง 3 ระดับนี้ เป็นภาพรวมของการบริหารจัดการชีวิตที่พระเจ้าเราผ่านพระวจนะของพระองค์
เราจะบริหารจัดการชีวิตได้ดี ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
1. ต้องให้ความสำคัญกับชีวิต
เราจะสามารถบริหารจัดการชีวิตได้ ต้องเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับ “ชีวิต”
ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
ชีวิตในที่นี้หมายถึง ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ทั้ง 3 มิติ คือ ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
ให้ความสำคัญกับร่างกาย ... ร่างกายต้องการอะไร ต้องบำรุงรักษาให้ดี
ให้ความสำคัญกับ่จิตใจ ... จิตใจต้องการอะไร ต้องตอบสนองให้ถูกต้อง
ให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ ... เพราะจิตวิญญาณเป็นที่ควบคุมจิตใจและร่างกาย
มธ.6:25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
พระคัมภีร์สรุปอย่างชัดเจนว่า “ชีวิตสำคัญที่สุด”
ชีวิตสำคัญกว่าทุกสิ่ง สำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่ม สำคัญกว่าอาหาร
ชีวิต คือ ความสงบ ความชอบธรรม ความมีวุฒิภาวะ การมีสันติสุข เป็นต้น
สิ่งเดียวที่เราควรกังวล คือ การให้ความสำคัญกับการสร้างชีวิตให้มีคุณภาพ
หากชีวิตเรามีคุณภาพ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร เงินทองจะตามมาหาเราเอง โดยไม่ต้องกังวล
ลก.9:25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
นี่เป็นพระวจนะอีกตอนหนึ่งที่ย้ำเตือนให้เราให้ความสำคัญกับชีวิต
ถ้าได้ของสิ้นทั้งโลก คือ ได้เงินทั้งโลก ได้ทองทั้งโลก ได้น้ำมันทั้งโลก แต่ต้องตาย จะมีประโยชน์อะไร
ประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้สอนเรา ...
ฮิตเลอร์ เกือบได้ครอบครองทั้งโลก แต่ชื่อเสียงป่นปี้ และต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถ
อเล็กซานเดอร์มหาราช เกือบได้แผ่นทั้งโลกเช่นกัน แต่เสียชีวิตเพราะโรคร้าย
คนเราเกิดมามือเปล่า และท้ายที่สุดต้องจากไปมือเปล่าเช่นกัน
วันนี้ถ้าเราได้ทั้งโลก แต่ต้องตกนรก จะมีประโยชน์อะไร?
หรือวันนี้ถ้าเราได้ขึ้นสวรรค์ แต่ต้องปราศจากบำเหน็จและพระพร รับความอับอายนิรันดร์ เราทนได้หรือ?
ดังนั้น เราต้องดำเนินชีวิตอย่างคนมีปัญญา ไม่ใช่คนไร้ปัญญา เราต้องรู้จักบริหารจัดการชีวิตของตน
เริ่มต้นที่ให้ความสำคัญกับชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นเสมอ
2. ต้องมีความเข้าใจชีวิต
การบริหารจัดการชีวิตนั้น ลำพังแค่การให้ความสำคัญเท่านั้นไม่พอ
เราต้องมีความเข้าใจชีวิตด้วย เข้าใจว่าชีวิตนั้น มีทั้งชีวิตปัจจุบัน ที่เป็นชีวิตอนิจจัง เป็นชีวิตในโลกนี้ ในร่างกายนี้
และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ คือ ชีวิตหลังความตาย ชีวิตในโลกหน้า
เราต้องเข้าใจชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ จึงจะสามารถบริหารจัดการชีวิตของตนเองได้
2.1 เข้าใจชีวิตปัจจุบัน
ก. ชีวิตในปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ชั่วคราว
เราต้องเข้าใจว่าชีวิตปัจจุบัน เป็นเพียงชีวิตชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งเราต้องจากมันไปและต้องจากไปมือเปล่าด้วย
พระคัมภีร์จึงสอนให้เรารู้จักพอ รู้จักอิ่มและต้องมีสติ
1ทธ.6:6-8 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด
ทต.2:12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
1ทธ.6:17-19 สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงกำชับเขาอย่าให้มีมานะทิฐิ หรือให้เขามุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่เที่ยง แต่จงหวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานทุกสิ่ง เพื่อความสะดวกสบายของเรา จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว อย่างนี้ จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
เราเหนื่อยเพราะวัตถุได้ แต่อย่าทุกข์กับมัน ได้แค่นั้น ก็พอใจอย่างนั้น
การไม่รู้จักพอ ก่อให้เกิดความทุกข์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เราจะรู้จักพอได้ ... สติและปัญญาของเราต้องดีพอ ... หลายคนพอไม่ได้ เพราะมีปัญญาไม่พอ คิดไม่ได้
พระเจ้าสอนเราให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ... บ้านเมืองเราถอยหลังทุกวันเพราะไม่มีสติ
ถ้าเรามีสติ เราจะคิดได้ และจะทำตามที่พระวจนะสอนไว้ได้
มีมาก เพื่อให้ได้มาก เก่งมาก เพื่อเป็นประโยชน์ได้มาก
ทำดีให้มาก เอื้ออาทรให้มาก เพื่อเป็นการสร้างรากฐานชีวิตอันแท้จริงสำหรับตัวเอง
ข. ชีวิตในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปัญหาและความทุกข์
เราต้องเข้าใจว่าชีวิตในโลกนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากและปัญหา พระคัมภีร์ก็สอนเราไว้เช่นนี้
พระเจ้าบอกเราไว้ล่วงหน้า เพื่อเราจะเข้าใจและใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
ขึ้นชื่อว่าเป็นคนและดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทุกคนล้วนต้องประสบความทุกข์ยาก
คนรวยก็ทุกข์ คนจนก็ทุกข์ คนแก่ก็ทุกข์ วัยรุ่นก็ทุกข์ คนเป็นโสดก็ทุกข์ คนมีครอบครัวก็ทุกข์
เพียงแต่ความทุกข์ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป
แต่ท่ามกลางความทุกข์นั้น พระเจ้าสามารถให้เรามีความชื่นชมยินดีได้
เราไม่สามารถห้ามลม ห้ามฝนหรือห้ามคน (พูด ต่อว่า นินทา สร้างปัญหา) ได้
แต่เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหานั้นด้วยความชื่นชมยินดี เพราะเรามีพระเจ้า
เมื่อมีพระเจ้า ก็มีสันติสุขของพระองค์ มีการช่วยเหลือจากพระองค์ และมีความหวังจากพระองค์
2.2 เข้าใจชีวิตนิรันดร์
ชีวิตปัจจุบัน เป็นชีวิตชั่วคราว แต่ชีวิตนิรันดร์ ไม่มีกาลเวลา เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
ชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ
ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
ปญจ.12:1,7 ในปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงระลึกถึงพระผู้เนรมิตสร้างของเจ้า ก่อนที่ยามทุกข์ร้อนจะมาถึง และปีเดือนใกล้เข้ามา เมื่อ เจ้าจะกล่าวว่า "ข้าไม่มีความเพลิดเพลินในปีเดือนนั้นเลย", และผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น
พระเจ้าสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน และระบายลมปราณเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์
วันหนึ่งผงคลี คือ ร่างกายจะกลับไปเป็นดิน ... ชีวิตคนเราเมื่อตายไป ไม่ว่าจะฝังหรือเผา ร่างล้วนกลับสู่ดินตามพระวจนะ
แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ มาจากลมปราณของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นนิรันดร์ ไม่มีวันตาย
เมื่อร่างกายจากไป จิตวิญญาณของมนุษย์ต้องกลับไปสู่พระเจ้า
ฮบ.9:27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด
ชีวิตหลังความตายมีจริง และเป็นนิรันดร์กาล ร่างกายตาย แต่จิตวิญญาณไม่ตาย ศาสนาส่วนใหญ่ก็เชื่อเรื่องนี้
บางศาสนาจึงต้องการดับทุกข์ ด้วยการดับวิญญาณ
แต่ความจริงแล้ว มนุษย์ไม่สามารถดับวิญญาณได้ เพราะวิญญาณมนุษย์มาจากพระเจ้า
ขนาดความตาย มนุษย์ยังไม่สามารถยับยั้งได้ จะเอาความสามารถที่ไหนไปบังคับวิญญาณ
คนถึงคราวจะตายก็ตาย ไม่มีใครบังคับความตายได้ฉันใด ไม่มีใครบังคับวิญญาณได้ฉันนั้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ดนล.12:2-3 และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์บ้างก็เข้าสู่ความอับ อายและความขายหน้านิรันดร์ และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสง เหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์
ไม่ว่าความเชื่อของมนุษย์เป็นอย่างไร ไม่สามารถทำลายความจริงที่พระเจ้ากำหนดไว้ได้
ชีวิตนิรันดร์มีจริง ชีวิตหลังความตายมีจริง
เพียงแต่จะสุขนิรันดร์หรือทุกข์นิรันดร์ ขึ้นกับความเชื่อในโลกนี้ของเรา
คนที่จะบริหารจัดการชีวิตของตนเองได้ ต้องเข้าใจทั้งชีวิตโลกนี้และโลกหน้า
3. ต้องเป็นผู้ปลูกชีวิต ไม่ใช่กินชีวิต
การที่เราจะบริหารจัดการชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากเราต้องให้ความสำคัญกับชีวิตและเข้าใจชีวิตแล้ว
องค์ประกอบอีกอย่างที่สำคัญ คือ ต้องเป็นผู้ที่ “ปลูก” ชีวิต ไม่ใช่ “กิน” ชีวิต
ยน.12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
พระวจนะของพระเจ้าสอนเราว่า เมล็ดข้าวต้องยอมปลูกตัวเอง จึงจะเกิดผลได้
ชีวิตของเราก็เช่นกัน จะบริหารจัดการได้อย่างดี ก็ต่อเมื่อยอมปลูกชีวิต ไม่ใช่กินชีวิต
เป็นผู้ปลูกชีวิต คือ ปลูกความรู้ ปลูกปัญญา ปลูกคุณธรรมให้กับผู้อื่น ... ช่วยเหลือผู้อื่น สอนคนอื่นให้คิดได้
เมื่อเราปลูกชีวิต เราก็ได้ชีวิต ... ตัวผู้ปลูกเองก็จะเป็นคนที่มีชีวิตชีวา เป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
การที่จะปลูกชีวิต หรือการจะทำความดีกับผู้อื่น ไม่ต้องรอให้มีมากแล้วค่อยทำ
เราต้องเริ่มทำตั้งแต่เรามีน้อย หากมีน้อยเราให้ได้ มีมากเราก็จะให้ได้เช่นกัน
แต่หากมีน้อยแล้วไม่สามารถให้ได้ ต่อให้มีมากขึ้นเราก็ไม่สามารถให้ได้เช่นกัน
เราต้องมีส่วนในการปลูกชีวิตของคนอื่น แม้เราอาจจะไม่ทันได้เห็นผล แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่ม
การบริหารจัดการชีวิตอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ลำพังบริหารชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่ต้องบริหารชีวิตของผู้อื่นให้เติบโตไปด้วยกัน
ถ้าชีวิตเราบริหารได้ ชีวิตของผู้อื่นเราก็บริหารได้ คริสตจักรเราก็บริหารได้ โลกเราก็บริหารได้
นี่คือเกียรติศักดิ์ศรีของลูกพระเจ้า
4. ต้องรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญในการบริหารจัดการชีวิต คือ การรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี (รู้จักชีวิตของตัวเองเป็นอย่างดี)
4.1 รู้ว่าในชีวิตเรามีอะไร?
ยน.2:25 เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
พระเจ้าทรงรู้ดีว่ามีอะไรอยู่ในชีวิตของเรา
เราเองก็ควรรู้เช่นกันว่า ในชีวิตของเรามีอะไร เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี
รู้ว่าในชีวิตเรามีอะไร เช่น
เรื่องจุดอ่อนจุดแข็ง ... จุดอ่อนจุดแข็ง มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
เราต้องเข้าใจว่าจุดใดเราแข็ง เสริมจุดนั้นให้เต็มที่ จุดใดเราอ่อน ก็เร่งปรับปรุงแก้ไข
พระเจ้าให้เรามีจุดแข็ง เพื่อใช้จุดแข็งนั้นช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นประโยชน์ได้มากขึ้น
พระเจ้าให้เรามีจุดอ่อน เพื่อให้เราเรียนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัวและถ่อมใจต่อผู้อื่นด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่องความเก่ง ... ความเก่งในคนเราแยกเป็น 4 เก่ง คือ เก่งคิด เก่งงาน เก่งเรียน เก่งคน
ไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง แต่เราทุกคนล้วนมีความเก่งอยู่ในตัว
เราต้องรู้ว่าเราเก่งอะไร ถนัดอะไร ทำสิ่งนั้นให้เกิดผลสูงสุด ส่วนที่เราไม่เก่งก็ต้องพึ่งพาคนเก่งในด้านนั้นๆ
เมื่อเราเข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้ว่าเราต้องพึ่งพากันและกัน ทุกคนล้วนมีความสำคัญ
การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง จะส่งผลให้เรารู้จักและเข้าใจคนอื่นด้วย
เพราะในมนุษย์มีความเหมือนและความต่าง ... ทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อน ทุกคนมีความเก่งและความไม่เก่ง
ทุกคนมีความเร็วและความช้า ทุกคนมีความตื้นและความลึก ทุกคนมีความละเอียดและความหยาบ
เพียงแต่ๆ ละเรื่องจะแตกต่างกันไป ตามพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม การศึกษา ฐานะทางสังคมที่แต่ละคนรับมา
เราต้องเรียนรู้จักที่จะมองอย่างพระเจ้ามอง คิดอย่างพระเจ้าคิด
และบริหารจัดการชีวิตของตนเองและผู้อื่นอย่างที่พระเจ้าทรงสอนไว้ในพระคัมภีร์
4.2 ผลของการรู้จักตัวเอง คือ ชีวิตเป็นอิสระและไม่มีปม
การรู้จักตัวเอง จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งต่างๆ
ยน.8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
รู้จักความจริง รู้จักตัวตนของตัวเอง จะทำให้เราเป็นอิสระและเป็นไท
อิสระจากความหงุดหงิด ... เจอคนบ้าก็ไม่หงุดหงิด เจอคนโง่ก็ไม่หงุดหงิด แต่เข้าใจเขา
อิสระจากความอิจฉา ... เห็นคนเก่งกว่า ต้องดีใจด้วย เพราะสังคมจะได้ก้าวหน้า
อิสระจากความเย่อหยิ่ง ... เก่งกว่าคนอื่นก็ไม่ต้องข่ม ไม่ต้องอวด แต่ทำประโยชน์ให้มากขึ้น
พระเจ้าทรงให้เราแต่ละคนเป็นอย่างที่พระเจ้าให้เป็น ดังนั้น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร
ข้าพเจ้าพูดเสมอๆ ว่า คนของพระเจ้าต้องเป็นคนไม่มี “ปม” ไม่ว่าจะเป็น “ปมเด่น” หรือ “ปมด้อย” ก็ตาม
ชีวิตที่ไม่มีปม เป็นชีวิตที่ราบเรียบ สงบ มีสันติสุข ไม่ขรุขระ ไม่ขมขื่น
ชีวิตเบา ไม่หนัก เพราะไม่ต้องแข่งขันกับใคร พอใจอย่างที่ตนเป็นและเป็นอย่างดีที่สุด
ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นมด ก็จงเป็นมดตัวที่ดีที่สุด อย่าเอาตัวเองเป็นแข่งกับแมว
ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นแมว ก็จงเป็นแมวตัวที่ดีที่สุด อย่าเอาตัวเองเป็นแข่งกับม้า
ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นม้า ก็จงเป็นม้าตัวที่ดีที่สุด อย่าเอาตัวเองไปแข่งกับช้าง
เราทุกคน ล้วนเป็นอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
ถ้าเราเข้าใจและรู้จักชีวิตอย่างถ่องแท้ เราจะมีความสุขกับชีวิต
และสามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ต้องใช้หลัก 5 อารักขา
เราจะบริหารจัดการชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องใช้หลัก 5 อารักขามาบริหาร
นิ้วมือคนเราแต่ละข้างมี 5 นิ้ว หลักการอารักขาที่ข้าพเจ้าในสอนให้คริสตจักร ก็มี 5 อย่าง เช่นกัน คือ
5.1 อารักขาชีวิต
อย่างที่กล่าวไปในเบื้องต้นแล้ว อารักขาทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ
ต้องเข้าใจ ให้ความสำคัญและสร้างชีวิตให้มีคุณภาพ ทั้งความคิด การงานและการรับใช้พระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 26 ก.ย. 10 รอบเช้า -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
5.2 อารักขาพระคัมภีร์
พระคัมภีร์ เป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ถ้าเราอารักขาพระคัมภีร์ได้ ชีวิตเราก็มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
อารักขาพระคัมภีร์ คือ คิด ทำ ตัดสินและดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์
มนุษย์คิดได้ แต่ความคิดอย่างมนุษย์ อาจจะผิดก็ได้ แต่ถ้าคิดตามพระคัมภีร์ รับประกันว่าไม่มีวันผิดพลาด
ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ทำ ตัดสินและดำเนินชีวิต หากปราศจากพระคัมภีร์ ย่อมมีวันผิดพลาดได้
แต่ถ้ามนุษย์ทำตามพระคัมภีร์ ตัดสินตามพระคัมภีร์ และดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์
ชีวิตของผู้นั้นจะไม่มีวันบริหารอย่างผิดพลาดได้เลย ... นี่คือ การอารักขาพระคัมภีร์
5.3 อารักขาเวลา
ความยุติธรรมของพระเจ้า คือ ประทานเวลาให้กับมนุษย์ทุกคนเท่ากัน คือ วันละ 24 ชั่วโมง
เราจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นกับการบริหารเวลาของแต่ละคน
อย่าพูดว่าไม่มีเวลา ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระเจ้า
เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ จะมีเวลาสำหรับสิ่งที่ตนเห็นว่ามีค่าเท่านั้น
ถ้าเราไม่มีเวลาสำหรับพระเจ้า แสดงว่า พระเจ้าไม่สำคัญและไม่มีค่าต่อเรา
หลักการบริหารเวลานั้น ต้องทำสิ่งที่ “จำเป็น” ก่อน ส่วนสิ่งที่ “อยากทำ” ต้องมาเป็นลำดับสุดท้าย
5.4 อารักขาความสามารถ
ทุกคนเกิดมาพร้อมความเก่งและความสามารถที่พระเจ้าประทานมาให้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ความสามารถเป็นทรัพย์ที่อยู่ข้างใน ไม่มีใครขโมยไปจากเราได้
เราต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าให้พระเจ้าต่อว่าได้ว่าเราไม่สัตย์ซื่อในสิ่งที่เรามี
ความสามารถ ยิ่งใช้ ยิ่งมีความสามารถมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัว ความสามารถนั้นจะค่อยๆ หมดไป
5.5 อารักขาทรัพย์สินเงินทอง
การอารักขาทรัพย์สิน คือ มีน้อย จะทำอย่างไรให้มีมากขึ้น
มีมากอยู่แล้ว จะใช้อย่างไรให้มีประโยชน์สูงสุด
เพื่อจะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงประทานให้มานั้น
ข้าพเจ้ามั่นใจว่า หากเราทำได้ตามแนวคิด 5 ข้อนี้
เราก็สามารถเป็นคนหนึ่งที่บริหารจัดการชีวิตของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีชีวิตคู่ควรกับการที่พระเจ้าจะมอบให้บริหารจัดการสวรรค์ร่วมกับพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น