คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ ขบวนการสร้างของพระเจ้า ” จาก “ อฟ.2:11-22 ”
อฟ.2:11-22 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
ขบวนการสร้างของพระเจ้านั้นปรากฏในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม และจากพระวจนะตอนนี้ ทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของการสร้างจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทำอย่างมีขบวนการ
กว่าเราจะรอดเป็นบุตร ต้องมีคนประกาศข่าวประเสริฐ ต้องมีการอธิษฐานเผื่อ ... เมื่อเราเป็นบุตรแล้ว กว่าเราจะเติบโตเป็นธรรมิกชนก็ต้องมีการเรียนพระคัมภีร์ ต้องมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและพี่น้อง ... กว่าธรรมิกชนจะเป็นวิหารอันบริสุทธิ์และเป็นที่สถิตของพระเจ้า ก็ต้องอาศัยการสร้างจากพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ... ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากขบวนการที่เป็นระบบ ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่ใจร้อนในการเติบโตและสร้างให้ผู้อื่นเติบโตไปด้วยกัน
จาก อฟ.2:11-12 ทำให้เราเห็นถึงขบวนการสร้างของพระเจ้า ดังนี้
1. กว่าเราจะอยู่ในพระคริสต์ มีส่วนในพระสัญญา อฟ.2:11-12
อฟ.2:11-12 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
กว่าที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ และเติบโตในพระคริสต์ พร้อมทั้งมีส่วนในพระสัญญาของพระเจ้า
เราต้องผ่านขบวนการสร้างของพระเจ้า ดังต่อไปนี้
1.1 เรารอดโดยพระคุณของพระเจ้า
อฟ.2:7-8 เพื่อว่าในยุคต่อๆไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
ขบวนการของพระเจ้า เริ่มต้นที่พระคุณของพระเจ้า ... พระคุณอันอุดมของพระเจ้า นำพาให้เราพบกับพระเยซูคริสต์
ถ้าพูดแบบไทยๆ ก็ถือเป็นบุญที่เราได้เจอ ได้รู้จักกับพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรารอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ถือเป็นพระคุณของพระเจ้า เป็นพระคุณของสวรรค์
พระคุณของพระเจ้ามีมาถึงมนุษย์ทุกคน แต่พระคุณนั้นจะเป็นผลก็ต่อเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า
เราต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐจะเชื่อในพระองค์ แต่ใครเชื่อ ผู้นั้นก็รับพระคุณ รับความรอด
ความเชื่อ จึงเป็นพระคุณจากสวรรค์ เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราเชื่อพระองค์ได้
แต่กว่าที่เราจะเชื่อและรับความรอดนั้น พระเจ้าต้องลงทุนกับมนุษย์แต่ละคนอย่างมากมายมหาศาล
ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงมีคุณค่ามากในสายพระเนตรของพระองค์
เพราะเรามีค่ามาก เมื่อเราได้เชื่อในพระองค์ เราจึงรับของประทานยิ่งใหญ่จากสวรรค์ คือ ชีวิตนิรันดร์
ชีวิตนิรันดร์นี้ เป็นพระคุณอุดมเหลือล้น เป็นของประทานจากพระเจ้า
รม.6:23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ชีวิตนิรันดร์ คือ ชีวิตที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นนิรันดร์ สุขนิรันดร์ สงบนิรันดร์ สะอาดนิรันดร์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์
สวรรค์ไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครคิดจะเข้าก็เข้าได้ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของสวรรค์ ใครที่มีพระเยซูคริสต์ในชีวิต ประตูสวรรค์จะเปิดต้อนรับผู้นั้น
1.2 เมื่อเราเชื่อแล้วจึงเป็นบุตร และเป็นทายาทของพระคริสต์
ยน.1:12-13 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
ผู้ใดเชื่อ หมายถึง ความเชื่อต้องเกิดในชีวิตของผู้นั้น
ไม่ใช่เป็นเพียงผู้เข้าโบสถ์คริสต์ หรือมีคำสอนของศาสนาคริสต์เท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่มีพระเยซูคริสต์ในชีวิต
ความเชื่อต้องเกิดขึ้นในจิตใจ คือ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์
ไม่ใช่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์
เมื่อความเชื่ออย่างนั้นเกิดขึ้น ขบวนการเป็นบุตรและเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าเกิดขึ้นทันที
ขบวนการนี้ ไม่สามารถได้มาด้วยเลือดเนื้อ กาม หรือความประสงค์ของมนุษย์
ไม่ว่าเราจะพยายามทำดีแค่ไหน ทำให้เราเป็นบุตรพระเจ้าไม่ได้ (แต่เพราะเราเป็นบุตรแล้ว เราจึงทำดีถวายพระองค์)
พ่อแม่เชื่อในพระเจ้า แต่ลูกแต่ละคนจะเป็นบุตรของพระเจ้าหรือไม่ เขาต้องเชื่อด้วยตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นในส่วนนี้ เราจึงเห็นการลงทุนจากพระเจ้าอีกขั้นหนึ่ง
กว่าเราจะเชื่อ กว่าเราจะโต ต้องมีการติดตามผล ต้องมีการอธิษฐานเผื่อ เราจึงจะรับความรอดได้
รม.8:14-17 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
และเมื่อเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วนั้น สถานภาพหนึ่งที่จะตามมา คือ การเป็นทายาทของพระคริสต์
เรามีสิทธิ์รับมรดกของพระคริสต์ร่วมกันกับธรรมิกชนทั่วโลก
1.3 เราจึงมีส่วนในพระสัญญาและเราอยู่ในพระคริสต์
เมื่อก่อน (คือก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่จะรับสิทธิในการเป็นบุตรและเป็นทายาทของพระองค์)
เราไม่มีส่วนในบรรดาพระสัญญาของพระเจ้า เราไม่มีความหวังและเราอยู่ในโลกที่ปราศจากพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ลองคิดถึงวิถีชีวิตแบบเก่าของเราดู ไหว้ผีสาง ไหว้ต้นไม้ ไหว้สัตว์ ไหว้โน่นไหว้นี่เพื่อหวังขอความช่วยเหลือจากเขา
เข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละครั้ง ก็ต้องเรียกตัวเองว่าลูกช้าง ... เป็นต้น
แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เราได้กลายเป็นผู้ที่มีส่วนในพระสัญญาของพระองค์ เราเป็นบุตรและทายาทผู้รับมรดกของพระองค์
พระเจ้าทรงรักเราเหมือนพ่อแม่รักลูก แต่ต่อให้พ่อแม่ที่รักลูกมากขนาดไหน ตราบใดเป็นมนุษย์ตราบนั้นมีความจำกัด
แต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของเราเมื่อเราเชื่อ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ในพระองค์ไม่มีความจำกัดใดๆ เลย
พระสัญญาของพระเจ้าทำงานทันที เมื่อเรากระทำตามเงื่อนไขของพระองค์
ตัวอย่างพระสัญญาที่เรามีส่วน
ยน.5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
เมื่อเราเชื่อจริง พระเจ้าทรงสัญญาว่าชีวิตของเราจะไม่พินาศเลย
ไม่มีอะไร สิ่งใดจะพรากเราไปจากพระเจ้า หรือทำให้ชีวิตของเราตกต่ำและพินาศไปได้
รม.8:1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
พระวจนะตอนนี้ หมายความว่า เจ้ากรรมนายเวร ผีมารซาตาน ใครก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้า
ไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในชีวิตของเราได้อีกต่อไป เพราะการปรับโทษไม่มีอยู่ในผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์
ลก.10:19-20 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์ เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์
เราสามารถเหยียบงูร้าย คือ ฝันร้าย ลางร้าย เหตุร้ายต่างๆ หมอดู คนทรง โหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย ไม่มีส่วนในชีวิตของเรา
ในโลกนี้ปัญหาเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้ขึ้นกับวันเดือนปี แต่ขึ้นกับการกระทำของเรา
และอย่าลืมว่าคนที่เชื่อในพระคริสต์นั้น ถูกไถ่ให้พ้นอำนาจของมารซาตานทั้งปวงแล้ว
ลก.12:7 ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น อย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว
ความประเสริฐและความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา คือ แม้ผมของเรา พระเจ้าก็นับไว้แล้ว
“ผม” เป็นตัวอย่างถึงเรื่องเล็กน้อยในชีวิตของเรา ซึ่งไม่มีใครนับผมของตัวเองได้ แต่พระเจ้าทรงนับไว้แล้ว
เราอยากได้อะไร พระเจ้ารู้ เราขาดอะไร พระเจ้ารู้ ... แต่พระองค์จะประทานให้เราก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
คงไม่มีพ่อแม่คนไหน ซื้อมอเตอร์ไซด์หรือให้เงินพันสำหรับลูกในวัยอนุบาล
เพราะสิ่งนั้นมันจะนำอันตรายและความตายถึงชีวิตของเขาได้
ขอหนุนใจว่า พระเจ้าทรงทราบความกังวลในทุกอย่างของเรา
ขอเพียงเราเชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้กับเรา
2. เส้นทางของการเป็นบุตร คือ ก่อให้เกิดสันติสุขไม่ใช่สงคราม
กว่าจะเชื่อเป็นบุตรและรับพระสัญญา พระเจ้าก็ต้องมีขบวนการของพระองค์
และเมื่อเราเชื่อแล้ว เป็นบุตรแล้ว พระองค์ก็ทรงมีขบวนการสร้างให้เราเป็นบุตรแห่งสันติสุขไม่ใช่บุตรแห่งสงครามด้วย
ในโลกของการอยู่ร่วมกัน ย่อมมีหลายเรื่อง หลายคนที่เราขัดใจ แต่พระเจ้าสอนให้ลูกของพระองค์ อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ถ้าเป็นบุตรของพระเจ้า ต้องมีสันติสุข ไม่ใช่มีความวุ่นวายหรือศึกสงคราม
อสย.9:6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่าน จะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"
พระเจ้าทรงเป็นองค์สันติราช ... ดังนั้น เมื่อองค์สันติราชอยู่ในชีวิตของผู้ใด ชีวิตของผู้นั้นก็จะเต็มไปด้วยความสงบสุข
เส้นทางของเราจะมีสันติ เพราะเรามีองค์สันติในชีวิต
สิ่งหนึ่งที่จะวัดได้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า หรือลูกของมาร ก็ให้ดูผลการกระทำ
ลูกมาร สร้างสงคราม แต่บุตรของพระเจ้าสร้างสันติสุข
มธ.5:9 บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
สดด.23:2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
2.1 เส้นทางของสันติสุข ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน มีแต่เรา
เพราะมนุษย์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เกิดจากสายเลือดเดียวกัน
ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
ปฐก.9:18-19 บุตรของโนอาห์ซึ่งออกมาจากนาวา ชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน สามคนนี้เป็นบุตรชายของโนอาห์ มนุษย์จึงกระจายออกไปทั่วโลกจากคนเหล่านี้
เราจะมีเส้นทางแห่งสันติสุขได้ ต้องตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
เราเกิดจากสายเลือดเดียวกัน เราเกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า เราทุกคนเป็นพระฉายของพระเจ้า
หญิงและชายพระเจ้าสร้างอย่างเท่าเทียมกัน คุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากัน แต่แตกต่างในการทำหน้าที่
ลูกของพระเจ้านั้น ที่ไหนมีความเกลียด ที่นั่นเราจะหว่านความรัก ที่ไหนมีความโกรธ ที่นั่นเราจะหว่านการให้อภัย
นี่คือเส้นทางแห่งสันติสุขที่พระเจ้าวางไว้สำหรับบุตรของพระองค์
2.2 เส้นทางของสันติสุข คือ การรื้อกำแพงของการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
อฟ.2:14-15 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
เราอาจจะมีหลายเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกัน แม้ว่าสามีภรรยาที่รักกันที่สุด ก็ไม่ได้ชอบตรงกันทุกเรื่อง
รักกันมาก แต่รสนิยมแตกต่าง ไม่เหมือนกัน แต่ความต่างนั้น ไม่ได้หมายถึง การแตกแยกหรือการเป็นศัตรูกัน
ตรงกันข้าม ความแตกต่างกลับเป็นความงดงามของชีวิต ความแตกต่าง สร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นในโลกใบนี้
เมื่อเรามาเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงให้เราทุกคนกลับคืนดีกัน พระองค์ทรงรื้อกำแพงการเป็นปฏิปักษ์ออกไปแล้ว
ที่ไม้กางเขนนั้น เส้นที่เป็นแนวตั้ง เล็งถึง ตัว I ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง ฉัน ข้าพเจ้า ตัวตนของเรา ฯลฯ
แต่เมื่อพระเยซูมาสิ้นพระชนม์ กางเขน (เส้นแนวนอน) มาตัดตัว I ให้ขาดลง
คือ ตายต่อตัวเอง แต่มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง คือ เพื่อพระเจ้าและเพื่อผู้อื่น
ดังนั้น ในพระเยซูคริสต์ จึงไม่มีฉัน ไม่มีเธอ มีแต่เรา เป็นธัมมะขั้นสูง
และเป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะต้องทำให้ทุกคนที่มีความต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
2.3 กุญแจดอกสำคัญในการสร้างสันติสุข คือ การเป็นคนใหม่คนเดียวกันในพระคริสต์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
อฟ.2:15 ... เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
เราต้องเป็นคนใหม่ คนเดียวกันในพระคริสต์ จึงจะสามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงได้
กท.3:26-29 เพราะว่า ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ เพราะเหตุว่าคนที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็จะสวมชีวิตพระคริสต์ จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระยซูคริสต์ และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้วท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
พระเจ้าให้เราเอาตัวเองออกจากการเป็นทาส ไม่เป็นยิว ไม่เป็นกรีก
ถ้าจะพูดให้ทันสมัยกับยุคปัจจุบัน คือ ไม่เป็นแดง ไม่เป็นเหลือง ไม่เป็นทาส แต่เป็นไท
ทุกคนเป็นพี่น้องกัน แม้แนวทางและวิถีทางแตกต่างกัน แต่เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์
3. เส้นทางของลูกพระเจ้า คือ นำคนทั้งโลกกลับเป็นพี่น้องกัน (ทั้งอยู่ใกล้และอยู่ไกล)
อฟ.2:17-18 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน
เส้นทางในการทำให้โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน คือ เราต้องให้ทุกคนเชื่อในพระเยซูคริสต์
ในครอบครัวของพระเจ้านั้น มีคนหลากหลาย มีทั้งพูดมาก พูดน้อย มีทั้งอ่อนแอ และแข็งแรง
แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เราจะรักกันและกัน และเดือดร้อนแทนกันและกันด้วย
ขบวนการเดียวที่จะทำได้ คือ ต้องประกาศข่าวประเสริฐ และนำให้คนเหล่านั้นเชื่อพระเจ้า
เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจึงจะตระหนักได้ว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน
4. เมื่อเชื่อแล้ว เราจึงกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชนของพระเจ้า
อฟ.2:19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า
ขบวนการของพระเจ้า นอกจากนำเราเชื่อ รับความรอด เป็นบุตรและสร้างสันติสุขแล้ว
สิ่งที่สำคัญเมื่อเราเชื่อ เราจึงได้เป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า เป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชนของพระเจ้า
คำว่า “เหตุฉะนั้น” หมายถึง พิสูจน์แล้วว่าจริง
เมื่อเรามีพระเยซูคริสต์ เราเป็นพลเมืองเดียวกันกับนักบุญทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม โมเสส ดาวิด เปโตร เปาโล ฯลฯ เราเป็นพลเมืองเดียวกันกับท่าน
ภายใต้พระคุณ เราเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราจึงต้องเผื่อแผ่นกัน ดูแลกัน
เพราะความเป็นพี่น้องมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง หรือการเอาแพ้ชนะ
คนที่เชื่อแล้ว ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ส่วนคนที่ยังไม่เชื่อนั้นแท้จริงก็เป็นพี่น้องของเราเช่นกัน
เพียงแต่เขายังหลังหาย ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เราต้องพาเขากลับมาหาพระเจ้า
5. ขบวนการของพระเจ้าจะสำเร็จได้ ต้องถูกสร้างถูกประดิษฐ์บนคำสอนของอัครทูต ไม่ใช่ปรัชญาอื่นใด
อฟ.2:20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก
ขบวนการเลี้ยง ขบวนการสร้างของพระเจ้าทั้งหมด จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยปัจจัยในข้อนี้
ลูกพระเจ้าต้องถูกสร้าง ถูกประดิษฐ์บนคำสอนของอัครทูต ไม่ใช่ปรัชญาอื่นๆ
ที่จริงแล้วทุกปรัชญา ล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระเจ้า
ปรัชญาและศาสนาที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า ก็เหมือนดอกไม้ ดูดี ส่งกลิ่นหอม
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แต่อยู่ๆ ดอกไม้จะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ดอกไม้จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องอาศัยต้นไม้
ต้นไม้ หรือต้นของปรัชญาและศาสนา ต้นแห่งความดีที่แท้จริง คือ พระเจ้า
ปรัชญาใดก็ตาม ต่อให้ดีขนาดไหน แต่จะเป็นไปไม่ได้เลย หากปราศจากฤทธิ์เดชของพระเจ้า
พูดดี ฟังเพราะ แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะพูดถึงแต่ดอกไม้ ไม่เอาต้นไม้มาด้วย
การที่เราถูกสร้างบนคำสอนของอัครทูต ก็เหมือนเป็นการที่เราเอาต้นไม้มาปลูกในชีวิต
ถ้ามีการรดน้ำ มีการดูแลอย่างดี ต้นไม้นั้นก็เติบโตและให้ดอกผลเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ
อะไรที่เราทำไม่ได้ เราจะทำได้ อะไรที่เราทำได้น้อย เราจะทำได้มาก เพราะเราเติบโตขึ้น
ดังนั้น เราต้องไม่ลืมที่จะขะมักเขม้นในการฟังคำสอนของอัครทูต
กจ.2:41-42 คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคนเขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน
คริสตจักรในยุคแรกเจริญก้าวหน้า เพราะฟังคำสอนของพวกอัครทูต
พระเจ้าทำงานผ่านผู้รับใช้ และผู้รับใช้ก็ทำงานผ่านทีมอีกทอดหนึ่ง
ถ้าเราไม่เชื่อฟังผู้รับใช้ ก็เท่ากับเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ทรงวางระบบการเลี้ยงการสร้างไว้อย่างนี้
ถ้าเราต่อต้านระบบนี้ เราไม่มีวันที่จะเติบโต มารจะหลอกเรา และในที่สุดชีวิตของเราก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ร่างกายของมนุษย์นั้น เฉลี่ยแล้วอายุประมาณ 60 ปี แต่ถ้าร่างกายนั้นไม่กินอาหาร ร่างนั้นก็ไม่โต
แต่ถ้าร่างกายนั้นกินอาหารเจริญเติบโต แต่ไม่เรียนหนังสือ ก็โตแต่ตัว แต่สมองโง่ ไร้ปัญญา
พระเจ้าทรงเลี้ยงดูเราอย่างเป็นระบบ และการเลี้ยงที่สำคัญที่สุด คือ พระวจนะของพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้านั้น อ่านเองไม่มีทางเข้าใจ จำเป็นต้องมีการเผยจากผู้รับใช้
ดังนั้น การตักเตือนและคำสอนผ่านผู้รับใช้ จึงสำคัญมากในการสร้างจิตวิญญาณของเราให้โต
พระเจ้าไม่เพียงอยากให้เรารับความรอดเท่านั้น แต่เมื่อรอดแล้วพระเจ้าอยากให้เราเติบโตด้วย
เราจะเติบโตได้อย่างไร ถ้าไม่เรียนรู้ให้มาก และจะเรียนให้มากก็ต้องเรียนจากผู้รับใช้ที่รู้จริง ทำงานจริง
ถ้าเราไม่เรียน เราก็รับความรอดเช่นกัน แต่เราก็จะไม่เติบโตและปราศจากบำเหน็จรางวัล
ผลของการถูกสร้างถูกสอน
5.1 คนบาป กลายเป็นวิหารของพระเจ้า
อฟ.2:21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าจะชำระความคิด ทัศนคติ เป้าหมาย แรงจูงใจของเราทีละขั้นทีละตอน
แม้เราจะยังมีความบกพร่องอยู่บ้าง แต่แก่นแท้ของเรา คือ ความบริสุทธิ์
บริสุทธิ์ใจในการคบหา บริสุทธิ์ใจในการช่วยเหลือและบริสุทธิ์ใจในการรับใช้พระเจ้า
ทั้งหมดเป็นขบวนการที่พระเจ้าทำผ่านคณะผู้รับใช้ และแต่ละคริสตจักรก็ทำงานรับใช้พระเจ้าต่างกันตามที่พระเจ้ากำหนด
บางคริสตจักรพระเจ้าวางไว้เพื่อสอนพื้นฐาน บางคริสตจักรพระเจ้าวางไว้เพื่อสอนผู้นำ
แต่คริสตจักรที่มีอัครทูต สามารถทำงานได้ทุกระดับ ไม่ใช่ความเก่งของอัครทูต แต่เป็นความเก่งของพระเจ้า
ดังนั้น อยากเป็นวิหารของพระเจ้า ก็ต้องรับการสร้างบนคำสอนของอัครทูต
คนบาป สามารถกลายเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ถ้ารับการสร้างจากพระองค์เป็นขบวนการ
เราต้องน้อมรับคำสอน การตักเตือน การเตือนสติจากผู้รับใช้ เพราะเป็นการสร้างชีวิตของเรา
5.2 คนบาป กลายเป็นที่สถิตของพระเจ้า
อฟ.2:22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 20 มิ.ย. 10 รอบบ่าย -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
คนบาปที่ยอมรับการสร้างจากพระเจ้า ไม่เพียงชีวิตของเขาจะเป็นวิหารของพระเจ้าเท่านั้น
แต่ยิ่งใหญ่สูงสุด คือ ชีวิตของเขากลายเป็นที่สถิตของพระเจ้า
วิหารว่าสวยงามแล้ว แต่การเป็นที่สถิตของพระเจ้างดงามกว่านั้นมาก
แต่กว่าจะเป็นได้ เราต้องรับการก่อขึ้น เหมือนการก่อตึก ต้องมีทั้งอิฐก้อนที่อยู่ใต้เรา เหนือเราและข้างเรา
นายช่างผู้ชำนาญการ ซึ่งหมายถึงพระเจ้า ทราบดีว่าเราควรถูกก่อขึ้นในตำแหน่งไหน
เราอยู่ส่วนใดไม่สำคัญ แต่ขอให้ส่วนนั้นเป็นประโยชน์ คริสเตียน ต้องเป็นคนที่ไม่มีปม ไม่ว่าจะเป็นปมเด่น หรือปมด้อยก็ตาม
ขอเพียงเป็นส่วนหนึ่ง ขอเพียงพระเจ้าก่อเราขึ้นในน้ำพระทัยของพระองค์ก็พอ
ถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับชีวิตของใคร ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไปที่ไหน ก็จะได้รับพระพรและมีแต่ความเจริญ
เพราะมีแรงสนับสนุนจากสวรรค์ มีกำลังพิเศษจากพระเจ้า
ปฐก.39:2-3, 23 พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ โยเซฟจึงเจริญรวดเร็ว เขาอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของเขา นายก็เห็นว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ และพระเจ้าทรงโปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมากในมือของ โยเซฟ, พัศดีไม่ได้เอาใจใส่การงานใดๆที่โยเซฟดูแล เพราะเหตุพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านและการงานใดๆที่ท่านกระทำ พระเจ้าก็ทรงโปรดให้เจริญ
โยเซฟ เป็นตัวอย่างที่ดีของการสถิตอยู่ของพระเจ้า ไม่ว่าต้องเผชิญเหตุการณ์ใด ล้วนทำให้เขาเจริญขึ้นทั้งสิ้น
เราเองก็สามารถมีชีวิตที่เจริญอย่างโยเซฟได้ ถ้าเรายอมรับการสร้าง ยอมรับการก่อจากพระเจ้า
ยอมให้พระเจ้าทำขบวนการของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา
ขอย้ำว่า “ทุกส่วนของโครงร่างจะต่อสนิทกัน เป็นวิหารเป็นที่สถิตของพระเจ้า
เราต้องรับการก่อการสร้างจากอัครทูตจากผู้รับใช้ผู้แทนของพระเจ้า”
ทั้งหมดนี้ คือ ขบวนการสร้างของพระเจ้า ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นกับตัวเรายอมให้พระเจ้าสร้างหรือไม่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น