คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ เหนื่อย หนัก แต่ไม่ทุกข์ ... กลับเป็นสุข ”
จาก “ 1คร.3:5-15 ”
1คร.3:5-15 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโตเพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้ เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์ โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ
มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาความสำเร็จด้วยกันทั้งสิ้น แต่ทุกความสำเร็จนั้นกว่าจะได้มา ต้องมีความเหน็ดเหนื่อย ต้องแบกภาระหนัก ต้องมีความยุ่งยาก ในทุกงานมีความเหนื่อยและหนัก แต่เราจะไม่ทุกข์ ตรงกันข้ามกลับมีความสุขได้ ถ้าเราเข้าใจชีวิต
ยกตัวอย่าง การพิชิตยอดเขา ยิ่งยอดเขาสูงเท่าใด การพิชิตยิ่งยากมากเท่านั้น เหนื่อยมาก หนักมาก อดทนมาก ใช้กำลังมากแต่ใครก็ตามที่พิชิตได้ ความหนักและเหน็ดเหนื่อยหายไป แต่จะมีความภาคภูมิใจมาแทนที่
การทำงานทุกงานก็เป็นเหมือนการพิชิตยอดเขานั่นแหละ ต้องหนัก ต้องเหนื่อย แต่ในความหนักในความเหนื่อยนั้น เราจะมีความสุข สำคัญที่เราต้องเข้าใจชีวิตและมีแนวคิดที่ถูกต้อง
พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ สอนและให้ข้อคิดเราผ่านการทำงานหนักของ อ.เปาโล ว่าต้องทำงานเหนื่อย และทำงานหนักอย่างไร จึงจะไม่เป็นทุกข์ แต่กลับเป็นสุข
เหนื่อย หนักอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์ แต่กลับเป็นสุข
1. ต้องทำงานอย่างผู้รู้ และอย่างผู้มีสติ
จุดเริ่มต้นของการทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อย โดยไม่มีความทุกข์ แต่กลับมีความสุข
คือ ต้องทำงานอย่างผู้รู้ และทำงานอย่างผู้มีสติ ... ผู้รู้ คือ มีความรู้ มีข้อมูล ผู้มีสติ คือ มีสติสัมปชัญญะ
ไม่ว่าเปาโล จะทำงานหนักหรือเหนื่อยแค่ไหน ท่านไม่ทุกข์ เพราะท่านทำงานอย่างผู้รู้และทำอย่างมีสติ
ทำงานอย่างไรจึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้รู้และทำอย่างผู้มีสติ
1.1 ต้องรู้ตัวว่าเราเป็นอะไร ชำนาญอะไรและทำอะไรได้
1คร.3:10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร
เปาโล รู้ตัวดีว่าท่านเป็นอะไร ชำนาญอะไรและทำอะไรได้ ท่านก็ทำสิ่งนั้นเต็มที่
เปาโล ทำหน้าที่ของการเป็นนายช่างผู้ชำนาญในการวางรากฐานชีวิตของคน
งานวางรากฐานนั้นเป็นงานหนัก เป็นงานเหนื่อย แต่ท่านไม่ทุกข์ เพราะรู้ว่ากำลังสร้างพื้นฐานชีวิตให้คน
ตึกจะสูงใหญ่ได้ ฐานต้องลึกและแข็งแรง คริสเตียนจะเข้มแข็งเติบโตได้ รากฐานชีวิตต้องลึกและแข็งแรงเช่นกัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เปาโล เป็นผู้วางรากฐานของคริสตจักรและคริสเตียนทั่วโลก
รากฐานคำสอนของท่าน สอนกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและยังคงสอนต่อไปในอนาคตไม่มีสิ้นสุด
ไม่เพียงรากฐานคำสอนเท่านั้น แต่เปาโลได้วางรากฐานการสร้างคนอย่างละเอียดไว้ในพระวจนะของพระเจ้าด้วย
ผลทุกอย่างมาจากเหตุ ผลของวันนี้มาจากเหตุของเมื่อวาน และผลของพรุ่งนี้ก็มาจากเหตุของวันนี้
เหตุที่เปาโลทำงานหนักด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ ด้วยความมีสติ
ผลที่เราเห็นในทุกวันนี้ คือ การงานของพระเจ้าเจริญ เกิดผล และก้าวหน้าไม่หยุด
ตัวอย่างการทำงานหนักของนายช่างผู้ชำนาญการอย่างเปาโล
1ธส.2:9 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
กท.4:19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
กจ.20:31 เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่ และจำไว้ว่าข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน
งานวางรากฐานชีวิตเป็นงานสำคัญมาก ถ้าผู้วางรากฐานนั้นเข้าใจ
แม้หนัก แม้เหนื่อย ก็จะไม่ทุกข์ แต่มีความสุขที่ได้สร้างคนให้เติบโตในทางพระเจ้า
1.2 ต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง ว่าต้องทำอะไรและทำอย่างไร
เราจะทำงานหนัก และเหนื่อยโดยไม่ทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อ เรารู้หน้าที่ของตัวเอง
เช่น ตา มีหน้าที่ดู หู มีหน้าที่ฟัง ปาก มีหน้าที่พูด ... อวัยวะแต่ละส่วนต้องทำหน้าที่ของตน
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าที่ทำงานแทนกันได้ ตา ฟังแทน หูไม่ได้ ปาก ดู แทนตาไม่ได้
เรามีหน้าที่อะไรที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
ปัญหาที่ทำให้เราทำงานหนัก เหนื่อย และทุกข์ คือ เราอยากทำทุกอย่าง เรายุ่งทุกเรื่อง
เพราะขาดสติ และไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
1คร.3:5-6 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต
พระวจนะตอนนี้ ระบุถึงหน้าที่ของแต่ละคนอย่างชัดเจน เปาโล มีหน้าที่ปลูก อปอลโล มีหน้าที่รดน้ำ
แต่ละคนทำหน้าที่ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนด แล้วพระองค์จะเป็นผู้กระทำให้งานนั้นเติบโต
ก. เปาโล มีหน้าที่ปลูก
งานปลูก เป็นงานของผู้บุกเบิก คือ ทำจากไม่มี ให้มีขึ้น
เช่น ปลูกความเชื่อ ปลูกแรงบันดาลใจ ปลูกวิสัยทัศน์ และปลูกความรู้
จากคนที่ไม่เชื่อ ทำให้เขาเชื่อ เชื่อแล้วจากเป็นลูกพระเจ้า ทำให้กลายเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เป็นต้น
ข. อปอลโล มีหน้าที่รดน้ำ
งานรดน้ำ คือ งานที่รับช่วงต่อ คือ ทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เติบโตขึ้น ให้ดีขึ้น ให้พัฒนาขึ้น
เขาเชื่อแล้ว ก็ทำให้เชื่อเข้มแข็งขึ้น เขารับใช้อยู่แล้ว ก็ทำให้เขารับใช้เข้มแข็งขึ้น เป็นต้น
สิ่งที่ปลูกจะเติบโตไม่ได้หากปราศจากการรดน้ำ
คนที่มีความเชื่อ จะไม่สามารถเชื่อเข้มแข็งได้เลย หากปราศจากการเรียนพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การสามัคคีธรรม
งานเหล่านี้ ถือเป็นการรดน้ำให้เราเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รับใช้พระเจ้าได้มากขึ้น
ทั้งงานปลูกและงานรดน้ำ ล้วนเป็นงานที่หนักและเหนื่อย
แต่ทั้งเปาโลและอปอลโล ไม่ได้ทุกข์กับงาน กลับเป็นสุขที่ได้ทำงานถวายให้กับพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
คำพูดของ ดร.บิลลี่ เกรแฮม หนุนใจเราได้เสมอ เกี่ยวกับความสำเร็จและความลำบาก
“ความสำเร็จและความลำบากเป็นของคู่กัน
ถ้าเราสำเร็จโดยไม่ลำบาก แสดงว่า มีคนที่ลำบากมาก่อนหน้าเรา
แต่ถ้าเราลำบากโดยปราศจากความสำเร็จ แสดงว่า คนที่มาทีหลังเราจะพบความสำเร็จ”
ความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ ไม่มีในโลก เราจะสำเร็จได้ ต้องรู้จักหน้าที่ของตน
1.3 ต้องรู้ว่า ทุกความเหนื่อยและทุกความหนัก มีความสำเร็จรออยู่
งานเหนื่อย และงานหนัก จะทำให้เราไม่ทุกข์
ถ้าเรารู้ว่าทุกความเหนื่อยและทุกความหนักนั้น ... มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า
ถ้าเราทำงานอย่างผู้รู้ ทำอย่างมีสติ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ความสำเร็จก็รอเราอยู่ข้างหน้า
1คร.3:5,7 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้, เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ
พระวจนะใน 2 ข้อนี้ ทำให้เราเห็นองค์ประกอบของความสำเร็จ 4 ประการ คือ
(1) ปลูก (2) รดน้ำ
งานปลูกและงานรดน้ำนั้นสำคัญ เราต้องลงมือทำ ต้องเหนื่อย ต้องหนัก ต้องยุ่งยาก
แต่องค์ประกอบของความสำเร็จมีมากกว่านี้
(3) มีพระเจ้าอวยพรให้งานสำเร็จ
ใครจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะพระเจ้ามีอยู่จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง
สิ่งที่เกินกำลังของมนุษย์มีจริง นั่นคือ กำลังของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ทำสุดกำลังแล้ว จะเข้าสู่กำลังของพระองค์
นี่เป็นสาเหตุให้คริสเตียน เจริญรุ่งเรือง และเป็นผู้สร้างความก้าวหน้าให้กับโลก
คนปลูก ปลูกอย่างผู้รู้ คนรดน้ำ รดอย่างคนเข้าใจ ที่สำคัญมีพระเจ้าอวยพร สนับสนุน
ความสำเร็จนั้นอยู่ไม่ไกล และเราไม่ได้ฝันกลางแดด แต่เป็นฝันที่เป็นจริงได้
(4) เป็นสุขชื่นชม เพราะไม่ยึดติด ไม่ลืมตัว
เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้คริสเตียนมีความสุขกับความสำเร็จนั้น คือ การไม่ยึดติด ไม่ลืมตัว
“การยึดติด” เป็นอาการของคนที่เป็นทาส (มีโซ่ ตรวนติดตัวตลอดเวลา) สร้างความทุกข์ให้กับชีวิต
เช่น ทำงานดี ไม่มีใครชม ก็ทุกข์ ทำงานไม่ดี มีคนติ ก็ทุกข์ ... เพราะยึดติดกับตัวเอง
ที่จริงคนที่ปลูก คนที่รดน้ำไม่ได้สำคัญอะไร แต่ “พระเจ้า” ต่างหากที่สำคัญ
ดังนั้น เราจะประสบความสำเร็จพร้อมด้วยความสุข ต้องไม่ยึดติดและไม่ลืมตัว
เรามีได้ เก่งได้ สำเร็จได้ ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง แต่เพราะมีพระเจ้าอวยพร
1.4 ต้องรู้ว่าทุกความเหนื่อย ทุกความหนัก จะได้รับผลตอบแทนที่ยุติธรรม
1คร.3:8 คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้
เราต้องตระหนักว่า “เราทุกคนจะได้รับค่าจ้างตามการกระทำ”
ทุกความเหนื่อย ทุกความหนัก จะได้รับผลตอบแทนที่ยุติธรรมจากพระเจ้า
คนที่เป็นคริสเตียน ประเทศที่เป็นคริสเตียน ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของพระคัมภีร์
สิ่งเหล่านั้น กลายเป็นค่านิยมของความคิด คนจึงยอมทำงานหนักและเหนื่อย เพราะรู้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ในขณะที่บ้านเรา งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
จึงไม่ได้รับผลตอบแทนที่สมควร ทำไปก็เหนื่อยเปล่า หนักเปล่า ผล คือ คนไม่พัฒนา ประเทศก็ล้าหลังไปเรื่อยๆ
หลักการทำงานให้เจริญ คือ ทำมากกว่าเงินที่ได้รับ ทำมากกว่าที่ขอให้ทำ
บทสรุปของผู้นำ คือ ทำโดยไม่ต้องบอก นั่นคือคนก้าวหน้า ส่วนคนที่ต้องบอกจึงจะทำ คือ ผู้ตาม ไม่ใช่ผู้นำ
ทุกความเหนื่อย ทุกความหนัก มีรางวัลเสมอ แต่อย่าทำเพราะหวังรางวัล
แต่ให้เราทำ เพราะสมควรที่เราจะทำ และถือเป็นการสร้างคุณภาพชีวิตของเรา
คนมีคุณภาพ อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ต้องการ อยู่ที่ไหนก็เจริญ ... นั่นแหละ ผลตอบแทนที่เราจะได้รับ
1.5 ต้องรู้ว่าเรากำลังทำงานที่มีคุณค่า คือ ทำงานเพื่อพระเจ้า ทำงานเพื่อสร้างคนให้เป็นคนดี
1คร.3:9 เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
งานพระเจ้า แม้หนัก แม้เหนื่อย แม้ยุ่งยาก แต่เราไม่ทุกข์ เพราะนั่นคืองานของพระองค์
เป็นงานที่มีคุณค่า นำคนไปสวรรค์ นำสวรรค์ลงมาในโลก
เป็นการสร้างคนดีมีคุณภาพให้กับสังคม ... ดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นคนดีที่พัฒนาด้วย
ดีอย่างเดียว หรือเก่งอย่างเดียว ยังถือว่าเป็นคนที่ไม่สมดุล เป็นคนขาเดียวเท่านั้น
ดีอย่างเดียว ไม่เป็นภัย แต่ก็ยังไม่ได้เป็นพร เก่งอย่างเดียว ขาดคุณธรรมความดี สังคมก็วุ่นวาย
คริสตจักรจึงเป็นองค์กรเดียวที่สร้างคนมีคุณภาพให้กับสังคม สร้างคนอย่างสมดุลที่สุด
ยน.10:10 ...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
เราสร้างคนอย่างสมดุล เพราะพระเยซูคริสต์มาให้ความสมดุลและบริบูรณ์แก่เรา
หลายศาสนา ยิ่งเชื่อลึก ยิ่งต้องละทิ้งสังคม ปลีกวิเวกมากขึ้น
แต่ทางของพระเจ้าต่างกับศาสนาอย่างสิ้นเชิง คือ ยิ่งเชื่อลึก ยิ่งต้องรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เป็นประโยชน์มากขึ้น
นี่เป็นเหตุให้เราเต็มใจทำงานหนัก และเต็มใจที่จะเหนื่อย เพราะเราได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อพระเจ้าและเพื่อสังคม
2. ต้องทำงานเป็นทีม
การทำงานหนักและเหนื่อย โดยไม่ทุกข์ แต่มีความสุขนั้น นอกจากจะทำอย่างผู้รู้และทำอย่างมีสติแล้ว
แนวทางของพระเจ้า ยังสนับสนุนให้เราทำงานกันเป็นทีม จึงจะมีความสุข
1คร.3:9 เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
เปาโล มีทีมงาน ร่วมกันทำงาน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมชีวิตกัน
การทำงานเพื่อพระเจ้า ทำสิ่งที่มีคุณค่า เป็นงานใหญ่มาก และจะสมบูรณ์ที่สุด เมื่อมีการทำงานกันเป็นทีม
สิ่งที่เราต้องระวังเมื่อทำงานร่วมกันเป็นทีม คือ
- ร่วมกันทำงาน ไม่ใช่แย่งงานกันทำ (เพราะไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง)
- ประสานงานกัน ไม่ใช่ประสางากัน (สนับสนุนกัน ไม่ใช่ทำลายกัน เพราะจะพังกันทั้งทีม)
- ร่วมทุกข์กันด้วย ไม่ใช่ร่วมแต่สุขอย่างเดียว ... เมื่อทุกข์ร่วมกัน เหนื่อยร่วมกัน เราก็จะได้สุขร่วมกัน
2.1 เราทั้งหลาย หมายถึง ทุกคนสำคัญ ทุกคนเป็นส่วนของความสำเร็จ
“เราทั้งหลาย” ร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า หมายถึง ทุกคนสำคัญ ทุกคนเป็นส่วนของความสำเร็จ
ยกตัวอย่าง ต้นไม้ทั้งต้นจะสวยงามได้ ต้องมีราก มีต้น มีใบ มีดอก มีกิ่ง มีก้าน มีผล รวมกัน
ทุกส่วนสำคัญทำให้ต้นไม้ต้นนั้นสมบูรณ์ ... จะมีประโยชน์อะไรที่ต้นไม้ใหญ่ แต่ใบโกร๋น ไม่ให้ร่มเงากับใคร
แต่ทุกส่วนก็ต้องตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตัวเอง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
รากทำงานหนัก สำคัญ ดูแลทั้งต้น แต่ไม่มีโอกาสได้ออกมาบนดิน (ทำงานออกหน้าไม่ได้)
ใบไม้ ได้อยู่ส่วนยอดของต้น ใครๆ ก็เห็นก่อน ... แต่เมื่อเจอแดด เจอลม เจอฝน ก็ต้องเจอก่อนส่วนอื่น
กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล สำคัญ ... แต่กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล ถูกตัดไป ต้นไม่ตาย สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
แต่กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล ที่ถูกหักออกนั้น ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากต้น
ในความสำคัญของทุกส่วนนั้น เราต้องตระหนักว่าบางส่วนทำหน้าที่สำคัญกว่าส่วนอื่น
ตัวอย่างจากอวัยวะของร่างกาย ทุกส่วนสำคัญต้องทำงานร่วมกัน
เราสามารถตัดมือ เพื่อรักษาแขนได้ เราสามารถตัดแขน เพื่อรักษากายได้
แต่ไม่มีใครสามารถตัดหัว เพื่อรักษาตัวได้ ... ตัดหัวเมื่อใด ทั้งกายก็ตายเมื่อนั้น
นี่เป็นความแตกต่างของหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายจากพระเจ้าในทีมนั้นๆ
อีกตัวอย่างของการทำงานเป็นทีมที่ทุกคนมีส่วนสำคัญ คือ การทุบหินก้อนใหญ่ ให้แตก
ทุกการทุบ หรือการทุบทุกครั้ง ล้วนมีส่วนสำคัญส่งผลให้หินก้อนใหญ่แตกได้
การทุบแต่ละครั้งของแต่ละคนอาจจะยังไม่เห็นผลในครั้งเดียว แต่การทุบหลายๆ ครั้ง ของหลายๆ คน
ในที่สุดหินใหญ่นั้นแตกได้ และอาจจะมีใครคนหนึ่งได้รับเกียรติโดยการตีหินแตกได้ในครั้งสุดท้าย
แต่ไม่ใช่ว่าคนสุดท้ายที่ตีหินแตกจะเป็นคนสำคัญที่สุดของทีม
เพราะการทำงานเป็นทีม จะยิ่งใหญ่ได้ จะสำเร็จได้ ทุกคนมีส่วนสำคัญ
เราต้องไม่คิดว่าตัวเองเป็นทุกสิ่ง หรือเป็นศูนย์กลาง เพราะพระเจ้าสอนให้เราตระหนักถึงคำว่า “กันและกัน” เสมอ
การเห็นคุณค่าของกันและกัน จะทำให้เราแสดงออกด้วยแววตาแห่งความรัก
น้ำเสียงแห่งความรัก และการกระทำที่เต็มไปด้วยความรักในการทำงานร่วมกันเพื่อพระเจ้า
ถ้าเราเห็นความสำคัญของทุกคน เราจะร่วมกันทำงานด้วยความสุข แม้จะต้องหนักและเหนื่อยก็ตาม
2.2 เราทั้งหลาย หมายถึง เราหลากหลาย
“เราทั้งหลาย” หมายถึง “เราหลากหลาย”
พระเจ้าทรงเรียกอัครทูต 12 คน มาอย่างแตกต่างและหลากหลาย ให้มาทำงานร่วมกัน
มก.3:14-19 พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศ และให้มีอำนาจขับผีออกได้ และซีโมนนั้นพระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่า เปโตร และยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องของยากอบ ทั้งสองคนนี้พระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมน พรรคชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้นพระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเรือน
อัครทูต 12 คน มีหลายอารมณ์ มีความเห็นแตกต่างอย่างมหาศาล
มีทั้งชาวบ้าน ชาวประมง แพทย์ นักธุรกิจ นักการเมือง
ทั้ง 12 คน เป็นตัวแทนของคนทั้งโลก และเป็นตัวอย่างในการทำงานเป็นทีมใหญ่อย่างสมดุล
ทุกคนแตกต่าง แต่สามารถรวมเป็นหนึ่งทีม เพื่อร่วมกันคว่ำโลกและคว่ำมารได้
คริสตจักรรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพระเยซูคริสต์ มองเห็นความสำคัญของความหลากหลาย
เราต้องมองเห็นความสำคัญของผู้อื่น และเมื่อผู้อื่นมองเห็นเราสำคัญ ก็อย่าสำคัญตัวเองผิด
ความบาปและอุปสรรคใหญ่อันหนึ่งที่ขัดขวางความเจริญของเรา คือ คิดว่าตัวเองคือความถูกต้อง
สังคม ประเทศชาติ และโลกวุ่นวาย ก็เพราะมีคนคิดว่าตัวเองคือความถูกต้องนี่แหละ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
2.3 แม้หลากหลาย แม้หลายคน แต่อยู่ร่วมกันได้ เพราะมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง
ในความหลากหลาย ในความแตกต่างของการทำงานเป็นทีม
สิ่งหนึ่งที่จะสามารถรวมทุกคนอยู่ได้ คือ พระเยซูคริสต์
พระองค์ต้องเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เป็นศูนย์กลางของการทำงาน เป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา
ทีมจะประสบความสำเร็จ ถ้าเรามีอุดมการณ์เดียวกัน คือ อุดมการณ์เพื่อพระเจ้า
ถ้าเรามีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง ... เพื่อพระเจ้า เราจะทนได้ ทำได้ เหนื่อยได้ หนักได้ เจ็บได้
เพราะเราไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง แต่เราเห็นแก่พระเจ้า
2.4 เพราะมีพระเยซูเป็นประมุข ทุกความขัดแย้ง สามารถยุติด้วยธัมมะและพระวจนะพระเจ้า
การทำงานเป็นทีม การอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลาย ย่อมเป็นไปได้ที่มีความขัดแย้ง
แต่ถ้าเรามีพระเยซูคริสต์เป็นประมุข เป็นศูนย์กลาง ทุกความขัดแย้งยุติได้ด้วยธัมมะและพระวจนะพระเจ้า
มธ.5:38-45 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วยถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
พระวจนะของพระเจ้าลึกซึ้ง เป็นธัมมะขั้นสูง
พระเยซูคริสต์ตรัสกับทุกคนที่เป็นศิษย์ของพระองค์ ... เราต้องวางเฉย ไม่ตอบโต้ ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย
วัตถุเสียหายไปแล้ว สร้างใหม่ได้ แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ เมื่อทำร้ายทำลายกันไปแล้ว ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
ถ้าเราใช้หลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในที่สุดเราก็จะมีแต่คนตาบอดและฟันหักเต็มสังคม
ทางของพระเจ้าใครผิดก็ว่ากันไปตามระบบ ทุกคนต้องรับผลการกระทำของตัวเอง
แต่เราต้องไม่สร้างความขัดแย้ง พูดถึงความผิดได้ แต่อย่ากล่าวถึงบุคคลที่ทำผิด
กท.6:1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คนที่อยู่ฝ่ายธัมมะ ต้องช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ทำความผิด
เราต้องไม่เข่นฆ่า ไม่ซ้ำเติม แต่ช่วยเขาโดยนึกถึงตัวเอง ทุกความผิดพลาด ยุติได้ด้วยธัมมะและพระวจนะของพระเจ้า
3. ต้องมีวุฒิภาวะ มีความเป็นผู้ใหญ่
เราจะทำงานอย่างผู้รู้และผู้มีสติ รวมทั้งทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างมีความสุข
ต้องอาศัยองค์ประกอบในข้อนี้ คือ ต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ มีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
อฟ.4:13-14 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
ยอดมนุษย์ที่แท้จริง คือ การอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน ทำงานได้กับทุกคน
อดทนเก่ง และรู้จักปรับตัว บ่อยครั้งต้องทำหูหนวก ตาบอด ไม่มีความรู้สึก แต่นั่นคือ วุฒิภาวะของคน
วุฒิภาวะและความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง 3 ขั้น คือ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่เต็มที่
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 13 มิ.ย. 10 รอบเช้า -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
และเป็นผู้ใหญ่ถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์นั้น ไม่ใช่ฟังพระวจนะปุ๊บปั๊บจะเกิดขึ้นได้
แต่ต้องเกิดจากการภาวนาถ้อยคำของพระเจ้าทุกวัน
ความเป็นผู้ใหญ่ ความมีวุฒิภาวะ ทำให้เราไม่ถูกซัดไปเซมาด้วยกระแสหรือคำพูดคน
ลักษณะของเด็ก คือ เชื่อคนง่าย เชื่อทุกสิ่งที่ได้ยิน แต่ผู้ใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น
ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ จะสามารถเรียงร้อยความหลากหลาย มาเป็นการสร้างสรรค์ที่แตกต่าง โดยไม่แตกแยกได้
คนที่มีวุฒิภาวะ จะไม่สร้างความแตกแยก ไม่สร้างสงคราม แต่สร้างสันติ
เหนื่อยได้ หนักได้ ยุ่งยากได้ แต่ก็มีความสุขได้เช่นกัน เพราะเข้าใจชีวิต
1คร.9:19-23 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้นต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้นต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทางข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
เปาโล ยอมหนัก ยอมเหนื่อย ยอมเป็นคนทุกประเภท เพื่อให้เขามาถึงทางของพระเจ้า
ไม่โง่ แต่ยอมโง่ ไม่อ่อนแอ แต่ยอมอ่อนแอ เพื่อจะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น นี่คือ ความเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง
3.1 ในโลกใบนี้ไม่มีใครดีหมดหรือเลวหมด สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง
สิ่งที่ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณต้องแยกแยะออก และต้องเข้าใจให้ได้
คือ ในโลกใบนี้ไม่มีใครดีหมดและในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเลวหมด
ผู้ใหญ่ต้องแยกแยะได้ ไม่ใช่รักใคร ก็ถือว่าคนนั้นถูกหมด หรือเกลียดใคร ก็ถือว่าคนนั้นผิดหมด
สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง มีการเคลื่อนไหวตลอด ดีแล้วก็ลดความดีลงได้ เลวแล้วก็กลับตัวดีได้
มารไม่เคยให้โอกาสใคร แต่พระเจ้าให้โอกาสคน คนที่เป็นผู้ใหญ่ ต้องให้โอกาสคน
การให้โอกาส เป็นธัมมะขั้นสูง และการให้อภัย เป็นหัวใจของพระเจ้า
3.2 การเติบโต ทำให้เราสามารถขับเคลื่อนสังคม ก่อให้เกิดความเป็นธรรม สามารถหาจุดลงตัวใหม่ได้
1คร.3:9 เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
ผลของการร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า เราทุกคนจึงเป็นไร่นาที่อุดมสมบูรณ์และเป็นตึกที่สง่างามของพระองค์
ความเติบโต ทำให้เราสามารถขับเคลื่อนสังคม ขับเคลื่อนประเทศชาติ และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น
รวมทั้งหาจุดลงตัวใหม่ๆ ให้ตัวเองและผู้อื่นได้เสมอ
“ขยะสามารถเปลี่ยนเป็นทองและเป็นแก๊สได้ฉันใด
ขยะมนุษย์ก็สามารถเปลี่ยนเป็นคนดีและคนที่เป็นประโยชน์ได้ฉันนั้น”
ทุกอย่างเปลี่ยนได้โดยการเติบโตฝ่ายวิญญาณและการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวุฒิภาวะ
การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน ... องคุลิมาร สามารถเปลี่ยนจากผู้ฆ่าคนเป็นพระอรหันต์ได้
เซาโล ผู้ฆ่าและข่มเหงคริสเตียน สามารถเปลี่ยนเป็นเปาโล อัครทูตผู้ยิ่งใหญ่ได้
เราเองไม่ว่าจะเคยเป็นอะไรมาก่อน เราก็สามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทางของพระเจ้า
แต่ทั้งหมดเราต้องตระหนักว่า เราต้องหนัก เราต้องเหนื่อยก่อน จึงจะได้รับผลลัพธ์ที่เป็นสุข
นี่คือเหตุผลทั้งหมด ในการทำงานหนักและเหนื่อย โดยปราศจากความทุกข์ แต่เต็มไปด้วยความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น