คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ เคล็ดลับ ” (SECRET) จาก “ ฟป.4:12 ”
ฟป.4:12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน
เคล็ดลับ (SECRET) เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และคำสอนของพระเจ้าเป็นเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
คำสอนของศาสนาใดๆ ก็ตามที่สอนแล้วไม่ได้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต พูดได้ แต่ทำไม่ได้ คิดได้ แต่เป็นไม่ได้ คำสอนนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นเพียงปรัชญาของมนุษย์เท่านั้น แต่คำสอนของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะในตอนนี้ สอนเราและเป็นประโยชน์อย่างดีสำหรับมนุษย์ สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและเผชิญหน้ากับปัญหา ทั้งยามอิ่ม ยามอด อยู่ได้อย่างสงบ และรู้จักปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์
คำที่สำคัญจากประโยคนี้ คือ “ไม่ว่ากรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญ”
เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงชีวิตที่พอเพียงอย่างแท้จริง คำว่า “พอเพียง” เราคงได้ยินกันบ่อยได้สมัยนี้ แต่อีกคำที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ คำว่า “พอดี” เราต้องรู้จักจุดพอดีของตัวเอง เมื่อเรารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน มันก็จะกลายเป็นความพอเพียงของเรา
เปาโล รู้จักเคล็ดลับในการพอเพียงและพอดีของตัวเอง และอยากให้เราทุกคนรู้จักเคล็ดลับนั้นด้วย
รู้จักเคล็ดลับ คือ รู้จักความลับ ความซับซ้อนของแต่ละเรื่อง เมื่อรู้จัก จึงสามารถแก้ปัญหาได้
รู้จักเคล็ดลับ คือ รู้เท่าทันมัน (ปัญหา) ... เราห้ามปัญหาไม่ได้เกิด ย่อมทำไม่ได้ เหมือนเราห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราต้องรู้เท่านั้นมัน จะทำให้เราไม่ทุกข์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
รู้จักเคล็ดลับ คือ รู้จักเผชิญหน้ากับปัญหา
ปัญหาใหญ่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย คือ ไม่กล้าเผชิญ ... จน แต่ไม่กล้าจม จมไม่ลง เลยยิ่งจนหนักเข้าไปอีก แต่คนรู้จักเคล็ดลับ จะกล้าเผชิญและเอาชนะปัญหานั้น
จากพระวจนะตอนนี้ เปาโลสอนให้เรารู้จักเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต ดังนี้
1. ในการใช้ชีวิต ต้องคิดอย่างสถาปนิก คือ ประโยชน์ใช้สอย สำคัญกว่ารูปร่าง
หลักในการคิดของสถาปนิก คือ ประโยชน์ใช้สอย สำคัญกว่ารูปร่าง
ของบางอย่างดูดี แต่ใช้งานไม่ได้ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร
แต่ตรงกันข้าม มีของหลายอย่างดูไม่ดี แต่มีประโยชน์ ผู้คนก็พากันใช้มัน
การใช้ชีวิตของมนุษย์ก็ต้องคิดอย่างสถาปนิกนี่แหละ อย่าไปคิดอย่างพ่อค้าแม่ขาย หรืออย่าไปคิดอย่างผู้ซื้อ
แต่ต้องคิดอย่างสถาปนิก ชีวิตจึงจะมีความสุขในสถานการณ์ต่างๆ
มธ.6:25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
พระวจนะของพระเจ้า ก็มีแนวคิดเดียวกันนี้ คือ ชีวิตสำคัญที่สุด
ชีวิตสำคัญกว่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญกว่าอาหารการกิน
หลายคนมีเสื้อผ้ามากมาย แต่กำลังจะป่วยตาย เสื้อผ้ามากมายนั้นมีประโยชน์อะไร?
หลายคนมีเงินซื้อวัวทั้งตัวเพื่อกินเพียงมื้อเดียว แต่เราทุกคนมีท้องเดียวกินแค่อิ่ม
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
มีมากก็ไม่สามารถกินได้มากเกินหนึ่งท้องของเรา
สุดท้ายแล้ว ถ้ามนุษย์เราต้องเลือกระหว่าง “ความสวยงาม” กับ “ความสะดวกสบาย”
คนจะเลือกอย่างหลัง เพราะมันสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
วันนี้ ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างไร จำไว้ว่า “ชีวิตสำคัญที่สุด”
2. เคล็ดลับในการมีอายุยืน พร้อมทั้งความสงบ และนิ่งในสถานการณ์ต่างๆ
คือ การทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ส่วนที่เกินกำลังของเรา ละ วางและวางใจในพระเจ้า
เคล็ดลับข้อนี้ ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 1 ถ้าเราเข้าใจว่าชีวิตสำคัญที่สุด
เมื่อทานอาหาร เราจะทานอย่างผู้รู้ คือ ต้องทานอาหารเป็นยา ไม่ใช่ทานยาเป็นอาหาร
มธ.6:27,31 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ, เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม
ความกระวนกระวาย ไม่ได้ต่อชีวิตของเราให้ยืดยาวออกไป
แต่การใช้ชีวิตอย่างผู้รู้ และให้ความสำคัญกับชีวิตต่างหาก ที่ทำให้เรามีชีวิตอย่างยืนยาว
เริ่มต้นจากการทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ไม่ต้องเลียนแบบคนอื่น
เมื่อเราทำส่วนของเราอย่างดีที่สุดแล้ว ก็ละ วางส่วนที่เกินกำลังของเราไว้กับพระเจ้า วางใจในพระเจ้า
การวางใจในพระเจ้า หลังจากที่เราทำดีที่สุดแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ต่อยอดให้กับเราในเรื่องนั้นๆ
หลักการของพระเจ้า คือ เราต้องสัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย เพื่อพระเจ้าจะอวยพรในสิ่งที่มากขึ้น
มธ.25:23 นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"
มธ.25:29 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
จำไว้ว่า “พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้เราจากสิ่งที่เรามี”
ความดีของพระเจ้าจะมาถึงเรา เมื่อเราเริ่มต้นทำดีก่อน พระเจ้ามีระบบของพระองค์
ถ้าเราดำเนินชีวิตเข้าระบบของพระองค์ เราก็รับพระพร เหมือนอย่างที่เปาโลได้รับ
ข้อคิดเกี่ยวกับการทำส่วนของเราอย่างดีที่สุด
2.1 แก่นแท้ชีวิต ไม่ใช่อดีตที่เคยเป็น ไม่ใช่อนาคตที่จะเป็นอย่างไร แต่คือ การทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด
เราจะทำส่วนของเราได้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ก็ต้องเข้าถึงแก่นของชีวิต
แก่นชีวิตของคน ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต แต่คือปัจจุบัน
อนาคตของเราเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่สืบเนื่องจากอดีตและปัจจุบันเราทำอย่างไร
ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตของเราย่อมดีอย่างแน่นอน
2.2 สาระของชีวิต สาระชีวิตของเรา คือ
(1) การทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด
ลก.9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
พระเจ้าตรัสชัดเจนว่า ถ้าจะตามพระองค์ เราต้องเอาชนะตัวเองและแบกกางเขนของตนตามตามพระองค์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
กางเขนของเราที่ต้องแบกตามพระองค์ คือ
ก. การทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
เราทำหน้าที่อะไร พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง สามี ภรรยา และหน้าที่การงานของเราคืออะไร ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
คนที่ไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ไม่ได้ถือว่าแบกกางเขนตามพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงเรียกว่าสาวก
ข. หนามชีวิต จุดอ่อนของชีวิต
เราต้องยอมรับหนามและจุดอ่อนของชีวิตที่เกิดขึ้น ไม่เป็นคนลืมตัว ไม่เป็นวัวลืมตีน
การยอมรับความจริง คือ อิสรภาพฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง
คนของพระเจ้า ต้องยอมรับความจริง ทั้งปมด้อยและปมเด่นของตัวเอง
(2) ได้ทำประโยชน์ในโลกใบนี้
มธ.5:13-14 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
สาระชีวิตของเรา คือ การทำตัวมีคุณค่า ทำประโยชน์ในโลกใบนี้
พระเจ้าทรงเปรียบคริสเตียน เหมือนเกลือและแสงสว่าง ทั้งสองอย่างมีคุณค่าและมีประโยชน์ในตัวอย่างมากมาย
แต่เกลือจะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อละลาย ... เราต้องละลายตัวเองเข้าไปในสังคม
ละลาย คือ การสามารถทำงานและใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนได้
ไม่ใช่ใครๆ จะทำได้ กับคนน่ารักเราละลายได้ แต่กับคนไม่น่ารัก เราจะละลายได้อย่างไร
ความยิ่งใหญ่ของคน คือ การทำงานร่วมกับทุกคนได้
อยู่กับคนบ้าก็อยู่ได้ แต่ไม่ได้บ้าอย่างเขา อยู่กับคนโง่ก็อยู่ได้ แต่ไม่ได้โง่อย่างเขา
แสงสว่างก็เช่นกัน จะเป็นประโยชน์ จะส่องสว่าง ก็ต่อเมื่อยอมไหม้ตัวเอง
หลายคนอยากเป็นพร แต่ไม่ยอมให้เพลิงเผาไหม้ตัวเรา จะเป็นได้อย่างไร
หลายสถานการณ์ เราห้ามคนไม่ได้ แต่เราสามารถห้ามตัวเราเองได้
เราเปลี่ยนผู้อื่นไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
(3) การเข้าถึงสาระของชีวิต ส่งผลให้ผู้คนสรรเสริญพระเจ้า และตัวเราก็ภาคภูมิใจ
มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
สาระชีวิต ไม่ได้หมายถึง รูปแบบภายนอก แต่คือความดีที่เราทำเป็นประจำ
ผู้คนจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เห็นว่าคำสอนของพระเจ้าดี เห็นว่าคนของพระเจ้าดี
ท้ายที่สุดไม่เพียงพระเจ้ารับเกียรติ แต่ตัวเรายังมีความภาคภูมิใจอีกด้วย
3. ชีวิตเราต้องเมตตาไม่มีสิ้นสุด แต่ต้องรอบคอบทันคน
พระเจ้าสอนเราทั้งเรื่องความเมตตา และสอนเราเรื่องความรอบคอบ
มธ.5:7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เราต้องเมตตาไม่มีสิ้นสุด เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงเมตตาต่อเรา
ใครสวมใจเดียวกับพระเจ้า ก็เมตตาได้ไม่มีสิ้นสุดเหมือนพระองค์
แต่ในความเมตตา ต้องมีความรอบคอบ
ดีรอบคอบ คือ ดีรอบด้าน แม้เราไม่ใช่คนสมบูรณ์ แต่เราต้องเป็นผู้ที่ทันคน
เมตตาคนได้ แต่อย่าให้ใครหลอกเราได้
เราเมตตา เราช่วยคน เพื่อให้เขาตั้งตัวได้ และใช้ความเมตตานั้นอย่างเป็นประโยชน์
4. ชีวิตต้องรู้จักพอ คือ มีสติพอ มีวุฒิภาวะพอ และมีปัญญาพอ
1ทธ.6:6-7 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
ฟป.4:11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราจะมีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในทุกสถานการณ์
ต้องรู้จักพอ พอดีและพอเพียงในทุกเรื่อง และเราจะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องมีสติพอ มีวุฒิภาวะพอ และมีปัญญาพอ
ชีวิตของเปาโลสอนเราอย่างดี ทั้งจากพระวจนะตอนนี้และอีกหลายๆ ตอน
ท่านไม่บ่นเรื่องความขัดสน เพราะเข้าใจความจริงของชีวิต เรามาในโลกตัวเปล่า และต้องจากไปตัวเปล่า
แสดงถึง สติ วุฒิภาวะและปัญญาที่พอของท่าน
4.1 ขนาดของความพอมีต่างกัน
คำว่ารู้จักพอ ทั้งมีสติพอ ปัญญาพอ วุฒิภาวะพอ เราต้องเข้าใจว่า ขนาดความพอของแต่ละคนต่างกัน
รม.12:3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
2คร.9:8 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย
พระเจ้าให้ของประทานแก่ทุกคน แต่ขนาดของประทานต่างกัน ขนาดความพอต่างกัน
วันนี้เราต้องถามตัวเองให้ได้ว่าพระเจ้าให้เราเป็นอะไร
ถ้าเปรียบเทียบเป็นสัตว์ เราเป็นมด เป็นหมา เป็นม้า หรือเป็นมังกร ... สัตว์แต่ละชนิดมีขนาดต่างกัน
มดสร้างรังที่ใหญ่กว่าตัวเองหลายร้อยเท่า แต่หมาเหยียบครั้งเดียวรังมดพังทันที
ถ้าเปรียบเทียบเป็นเรือ เราเป็นเรือใหญ่หรือเรือเล็ก
เรือใหญ่กินน้ำลึก ลงทุนมาก แต่บรรทุกคนและสัมภาระได้มาก
เรือเล็กอยู่น้ำตื้น ไม่ต้องลงทุน แต่จุคนได้น้อย
แต่ละคนก็มีขนาดของตัวเอง และพระเจ้าสอนให้เรารู้จักพอใจในขนาดที่พระเจ้าประทานให้นั้น
อย่าคิดเกินตัว อย่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถเป็นหรือมีได้ เพราะมันจะทุกข์
4.2 ขนาดของเปาโล และอปอลโลต่างกัน
1คร.3:5-7 อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ยกตัวอย่างความแตกต่างในขนาดของเปาโลและอปอลโล
พระวจนะตอนนี้ หมายถึง ไม่เปรียบเทียบ ไม่แข่งขันกับคนอื่น แต่แข่งขันกับตัวเอง
ลูกพระเจ้า ต้องเป็นคนที่ไม่มีปม ไม่ว่าจะเป็นปมเด่นหรือปมด้อย
ต่างคน ต่างทำ ต่างคนต่างรับใช้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ
ถ้าเราเข้าใจความแตกต่างนี้ เราก็จะมีความสุขในการทำงานร่วมกันเพื่อพระเจ้า
4.3 ถ้าเราเข้าใจ เข้าถึงความจริงของชีวิต เราก็เป็นไท เป็นอิสระ
ถ้าเราเข้าใจความจริงของชีวิต มนุษย์ทุกคนมีความจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น
แม้คนที่เก่งในโลกก็มีความจำกัดในบางสิ่งบางอย่าง แต่ความจำกัดของแต่ละคนต่างกัน
ดังนั้น คนที่มีมากกว่าต้องเผื่อแผ่ให้คนที่มีน้อยกว่า คนที่มีน้อยกว่า ก็ต้องพึ่งพาคนที่มีมากกว่า
เราทุกคนต้องร่วมกันทำงาน ทุกคนมีค่า ทุกสิ่งมีค่า เมื่ออยู่ร่วมกัน
การที่ใครจะเข้าถึงเคล็ดลับดังกล่าว วุฒิภาวะต้องสูงมาก และต้องมีการพัฒนาไม่มีสิ้นสุด
5. ชีวิตต้องเลือกระหว่าง “ใช้ชีวิตอย่างซังกะตาย” กับ “การปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามกลไกในการใช้ชีวิตให้มีคุณค่า”
วันนี้ไม่ว่าเราจะมีมากหรือมีน้อย ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญสถานการณ์อย่างไร
เราสามารถมีความสุขได้ ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
ไม่บ่น ไม่ต่อว่า ไม่อยู่อย่างซังกะตาย แต่ใช้ชีวิตเท่าที่มีอยู่ แม้มีน้อย อย่างมีคุณค่า
ปญจ.3:1-2, 4,8 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง, มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ, มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ
ปญจ.3:15 อะไรๆซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวง อะไรๆที่ล่วงไปนั้น
พระคัมภีร์เป็นมากกว่าปรัชญาหรือจิตวิทยา พระคัมภีร์มีถ้อยคำที่ทรงพลัง
พระธรรมปัญญาจารย์ เขียนขึ้นโดยการดลใจของพระเจ้าผ่านกษัตริย์ซาโลมอน
บุคคลที่โลกยกย่องว่าเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในโลก
กล่าวถึงฤดูกาลและเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์
ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่ใช้ชีวิตอย่างซังกะตาย แต่เราจะมีความสุขกับทุกสถานการณ์ของชีวิต
6. เคล็ดลับเผชิญปัญหาความทุกข์และความกดดัน
คือ ต้องเปลี่ยนโจทย์ที่ยากและท้าทายให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้
ทุกคนต้องพบความทุกข์และความกดดันในชีวิต
แต่คนที่มีเคล็ดลับ จะรู้จักเปลี่ยนโจทย์นั้น เป็นการเรียนรู้
ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ หรือความกดดัน เราไม่ต้องตอบโจทย์ แต่เราสามารถเปลี่ยนโจทย์นั้นได้
เมื่อเรานิ่ง ทุกอย่างก็จะนิ่ง ทุกปัญหามีทางออก ถ้าเรามีสติ เราก็สามารถแก้ไขได้
7. ชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการเสมอ เราไม่มีสิทธิ์บ่นหรือบังคับผู้อื่น ต้องยอมรับเท่านั้น
สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว แม้เราไม่เห็นด้วย แม้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราทำได้ คือ ยอมรับมัน
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 ก.พ. 10 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
สมัยที่มีการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระหว่าง จอร์จ ดับเบิ้ล ยู บุช กับ อัล กอร์
ศาลเป็นผู้ตัดสินคะแนนในบางรัฐที่มีปัญหา ผลสรุป คือ บุช เป็นผู้รับชัยชนะ
อัล กอร์ กล่าวว่า “เขาไม่เห็นด้วย แต่ยอมรับคำตัดสินของศาล”
นี่คือ ผู้ที่มีวุฒิภาวะ นี่คือ คนที่มีเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครได้เต็มร้อย แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว เกิดขึ้นแล้ว
ป่วยการที่จะบ่นต่อว่า หรือบังคับคนรอบข้าง ที่เราทำได้ คือ ยอมรับความจริงเท่านั้น
ยน.21:21-22 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด"
รม.14:4 ท่านเป็นใครเล่า จึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น บ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้
ใครจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เรื่องของเรา คือ ต้องยอมรับความจริง
8. เรือที่จอดในท่าจะปลอดภัยที่สุด แต่เรือไม่ได้ถูกออกแบบมาให้จอด แต่ออกแบบมาให้เดินในมหาสมุทร
เราจะพบความงาม พบขุมทรัพย์ในมหาสมุทรได้อย่างไร ถ้าเราไม่กล้าออกจากฝั่ง
ชีวิตคนเรา ก็ไม่ต่างจากเรือ ... จอดอยู่ที่ท่าปลอดภัยก็จริง แต่พระเจ้าไม่ได้ออกแบบชีวิตของเราแบบนั้น
ปัญหามันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์
เราห้ามปัญหาไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ ท่าทีของเราต่อปัญหานั้น
เราต้องไม่กลัวลม ไม่กลัวพายุ ไม่กลัวหินโสโครก ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เราต้องสามารถปรับตัวให้อยู่กับปัญหา และฝ่าฟันปัญหานั้นไปให้ได้
นี่คือ เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
สำคัญที่สุด เราผู้เป็นลูกของพระเจ้า อย่าลืมว่าสุดกำลังของเรา ยังมีกำลังของพระเจ้าไว้รองรับ
เราสามารถฝ่าฟันทุกปัญหาได้ โดยการเสริมกำลังของพระเจ้า
ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น