วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ เมื่อนรกกลายเป็นสวรรค์ ” จาก “ อฟ.2:1-10 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -1-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

เรื่อง เมื่อนรกกลายเป็นสวรรค์ จาก อฟ.2:1-10

                อฟ.2:1-10               พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ) และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าในยุคต่อๆไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
พระวจนะตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพอย่างชัดเจนระหว่าง สภาพก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า และ สถานภาพหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าขอเปรียบทั้งสองภาพนั้น เป็น นรก และ สวรรค์โดยยกเนื้อหาเพลงนมัสการบางส่วนมาประกอบ ดังนี้
เมื่อพระเยซู ช่วยข้ารอดบาป โลกนี้กลับกลาย คล้ายเมืองสวรรค์
ท่ามกลางความทุกข์ วิโยคโศกศัลย์ พระองค์อยู่ด้วยโลก คล้ายสวรรค์
โอ ฮาเลลูยา ข้ายินดี เมื่อพระองค์โปรด ยกโทษบาปข้า
บนบก ในน้ำ ที่ไหนไม่ว่า พระคริสต์อยู่ด้วย โลกคล้ายสวรรค์
ครั้งหนึ่งสวรรค์ อยู่ไกลนักหนา แต่เมื่อพระคริสต์ ทรงยิ้มกับข้า
ความสุขจึงมี ภายในวิญญาณ                คือสุขสำราญ ตลอดเวลา
อยู่ลุ่มแม่น้ำ หรือบนภูเขา อยู่ในวังเจ้า หรือในโรงนา
เราอยู่ที่ไหน ก็ไม่สำคัญ พระเยซูอยู่ ก็คล้ายสวรรค์
เราเห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สามารถเปลี่ยนเมืองทะเลทรายอย่างลาสเวกัส ให้กลายเป็นเมืองแห่งแสงสีและความอุดมสมบูรณ์ได้ เราเห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถเปลี่ยนกองขยะให้กลายเป็นอุทยานธรรมชาติได้ ในทำนองเดียวกัน เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการเปลี่ยนนรกให้เป็นสวรรค์ได้เช่นกัน
ผู้เดียวที่สามารถเปลี่ยน นรก ให้เป็น สวรรค์ ได้ ผู้นั้น คือ พระเจ้า เมื่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์มาอยู่กับเรา โลกของเราก็กลายเป็นสวรรค์ได้ ชีวิตของเราก็กลายเป็นสวรรค์และแผ่นดินของพระเจ้าได้
เมื่อก่อนเราจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ที่ไหนไม่สำคัญ แต่เมื่อเรามีเชื่อในพระเจ้า เรามีพระเจ้าอยู่ในชีวิต พระองค์อยู่ที่ไหน สวรรค์ก็อยู่ที่นั่น พระองค์อยู่ที่ไหน แม้ นรก ก็กลายเป็น สวรรค์ ได้ และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำได้
ผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ไม่เพียงจะได้เข้าสวรรค์หลังจากความตายเท่านั้น แต่ในขณะที่เป็นอยู่ ขณะที่มีชีวิตอยู่ พระเจ้าจะทรงนำสวรรค์ (แผ่นดินของพระเจ้า) ลงมาในชีวิตของผู้นั้น เขาจะเป็นผู้มีประสบการณ์ในการชิมสวรรค์ของพระเจ้าล่วงหน้า นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า เมื่อนรกกลายเป็นสวรรค์

1. มนุษย์ตายแล้วด้วยการละเมิดและการบาป ... เหมือนตกอยู่ในนรก
อฟ.1:1-2                 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -2-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

สรรพนามที่พระคัมภีร์ใช้ว่า ท่าน นั้น หมายถึง มนุษย์ทั้งโลก
เราทุกคนล้วนตายลงในความบาปและด้วยการละเมิดต่อพระเจ้า
การตกอยู่ในความบาปนี้เอง เปรียบเหมือนกับการตกอยู่ใน นรก มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์เพราะความบาป

1.1 โลกเจริญขึ้นด้านเทคโนโลยีและวัตถุ แต่ตกต่ำลงด้านศีลธรรมและความดีงาม
น่าแปลกที่โลกทุกวันนี้เจริญขึ้นในด้านเทคโนโลยี วัตถุ และการศึกษา
แต่เรากลับพบว่า ศีลธรรมและความดีงามของมนุษย์ ตกต่ำลงทุกวัน ไม่ได้สูงขึ้นเหมือนเทคโนโลยี
ความบาป ความชั่ว พัฒนาขึ้นอย่างทวีคูณ โดยที่การศึกษาไม่สามารถเอาชนะได้เลย
ยิ่งรู้มาก ยิ่งทำชั่วได้มากขึ้น ยิ่งเห็นแก่ตัวได้มากขึ้น
ยิ่งโลกเจริญด้านวัตถุมากเท่าใด จิตใจของเรายิ่งตายลงไปมากขึ้นเท่านั้น
คือ ไม่มีความละอายในการทำบาป ทำร้ายและทำลายกันโดยไม่มีความรู้สึกผิด เป็นต้น
คำถาม : โลกเจริญพัฒนา แต่ทำไมมนุษย์ยังคงเกลียดกัน โกรธกัน ฆ่ากัน แบ่งแยกกัน ?
คำตอบ : เบื้องหลังความบาปชั่วทั้งหมด คือ มารซาตาน
อฟ.1:2                    ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง
อฟ.6:12                  เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เดิมทีพระเจ้าสร้างมนุษย์จากพระฉาย มนุษย์มีความดีงามอย่างพระเจ้า
แต่เมื่อมนุษย์คู่แรก (อดัมและเอวา อ่าน ปฐก.1-3) ละเมิดต่อคำสั่งของพระเจ้า เลือกที่จะเชื่อฟังมารแทนที่จะฟังพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าออกจากชีวิต และวิญญาณของมารซาตานครอบครองมนุษย์ทันทีตั้งแต่นั้นมา
มารพยายามทำให้มนุษย์เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี
แล้วก็โทษว่าเป็นกรรมพันธุ์ เป็นสิ่งแวดล้อมหรือความอ่อนแอของมนุษย์เอง

1.2 ความบาปเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ละเมิดต่อพระเจ้า
บาปใหญ่ที่สุด คือ บาปของการละเมิดพระเจ้า มนุษย์ทำบาปชั่วเพราะละเมิดต่อพระเจ้า
อย่างที่กล่าวไปในข้อข้างต้นแล้วว่า เพราะอดัมและเอวาละเมิดคำสั่งพระเจ้า ความบาปจึงเกิดขึ้นในโลก
ปฐก.2:16-17          พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะ ต้องตายแน่"
คำของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าตรัสกับอดัมและเอวาว่า วันใดที่เขาทั้งสองกิน วันนั้นเขาต้องตายแน่
ที่จริงผลต้นไม้นั้นไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่พระเจ้า มนุษย์ไม่ควรละเมิดพระองค์
วันใดที่เจ้ากิน ต้องตายแน่ หมายถึง กินวันใด ตายวันนั้น
แม้ร่างกายยังเป็นอยู่ แต่สิ่งที่ตาย คือ จิตวิญญาณ และคำนั้นเป็นกิริยาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ทันทีที่มนุษย์คู่แรกกิน ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าตาย
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าตาย ... มนุษย์จึงเหมือนตกอยู่ในนรก
ความสุขตาย ความสะอาดตาย ความบริสุทธิ์ตาย ความเป็นนิรันดร์ตาย
และส่งผลสืบเนื่องมายังมนุษย์ทุกคนในปัจจุบัน รวมถึงในอนาคตด้วย

1.3 ผลของการละเมิด อาการบาปก็ปรากฏในมนุษย์
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -3-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

อฟ.2:3                    เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น
ผลของการละเมิดต่อพระเจ้า ความบาปจึงปรากฏในชีวิตของมนุษย์ นี่แหละ คือ นรกที่แท้จริง
มารเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังความประพฤติของมนุษย์ มันครอบงำให้เราประพฤติตามวิถีของมาร
ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง ไม่ว่าจะเป็นความเย่อหยิ่ง การดื้อดึง การกบฏ และตีตัวเสมอพระเจ้า
ทั้งหมดเป็นลักษณะนิสัยของมารซาตาน เมื่อมารครอบงำเรา เราก็ประพฤติไม่ต่างจากมัน
อสย.14:12-15         "โอ ดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณเจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดิน อย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า 'ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่ สูงนั้น ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ที่อุดรไกล ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด' แต่เจ้าถูกนำลงมาสู่แดนคนตาย ยังที่ลึกของปากแดน

พระคัมภีร์ จึงกล่าวว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เราต่อสู้กับมารซาตานผู้อยู่เบื้องหลังมนุษย์
อฟ.6:12                  เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เชื้อของความบาปและเชื้อของมารซาตานรุนแรงมาก และลำพังกำลังของมนุษย์ไม่สามารถต่อต้านได้
รม.7:15-24             ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้
เปาโล ใช้พระคัมภีร์ข้อนี้วิเคราะห์ความบาปของมนุษย์อย่างถึงแก่น
มนุษย์ตกเป็นทาสความบาปในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ไม่อยากทำ แต่ก็อดที่จะทำไม่ได้
อยากทำดี แต่กลับทำชั่ว อยากให้อภัย แต่กลับอาฆาต อยากลืม แต่กลับจำ เป็นต้น
ทั้งที่มโนธรรมบอกว่าไม่ดี แต่ก็ยังฝืนทำสิ่งที่เราเกลียด ...
ใครโกงเรา เราไม่ชอบ แต่หากมีโอกาส เราก็พร้อมจะโกงคนอื่น เป็นต้น
นั่นเพราะเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า วิญญาณของมารซาตานจึงเข้ามาครอบครองชีวิตของเรา
บาปที่อยู่ในมนุษย์คู่แรก เชื้อของมารซาตานเข้ามาสู่ชีวิตเรา เพราะการละเมิด
การศึกษาดี ทำให้เรามีความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาสร้างความเจริญให้กับโลก
แต่ความรู้ต่างๆ ของโลก ไม่สามารถฆ่าความเกลียดชัง ความอิจฉาและการล่วงละเมิดได้
เราไม่อยากบาป แต่เมื่อมีเชื้อของความบาปก็มีอาการบาป ...

ด้วยการละเมิดและการกระทำบาปของมนุษย์ ตามสันดาน ตามเหตุและผล มนุษย์ควรจะตกนรก
และแม้ถึงยังไม่ได้ตกนรกจริงๆ หลังความตาย ขณะที่มีชีวิตอยู่ นรกก็อยู่ในใจของมนุษย์แล้ว
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -4-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

นี่คือสภาพของมนุษย์ก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า เป็นสภาพของนรกที่มนุษย์ต้องเผชิญ

2. แต่พระเจ้ามาเพื่อเปลี่ยน นรก ให้เป็น สวรรค์
สิ่งเดียวที่จะทำลายความบาปได้ คือ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อำนาจเดียวที่จะเอาชนะมารได้ คือ อำนาจของพระเจ้า
ต้องมีการถ่ายวิญญาณ ต้องมีการบังเกิดใหม่ พระวิญญาณของพระเจ้า ต้องเข้ามาแทนที่วิญญาณของมาร
เมื่อนั้นแหละ นรก จะกลายเป็น สวรรค์
อฟ.2:4-9                 แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ) และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าในยุคต่อๆไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
นี่คือความแตกต่างระหว่าง พระเจ้า กับ ศาสนา
พระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาประกาศศาสนาใหม่ แต่พระองค์มาเพื่อมอบชีวิตใหม่ให้กับมนุษย์
ถ้าคิดจะเปลี่ยนเพียงศาสนา ไม่ต้องมาหาพระเจ้า เพราะทุกศาสนาสอนดีอยู่แล้ว
แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนชีวิต ให้มาหาพระองค์ ...
พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณา แม้เราตายในบาป แม้เราชั่วเลวทรามที่สุด สมควรที่จะตกนรก
แต่พระเจ้ามาเพื่อช่วยเราไปสวรรค์ พระเจ้าเปลี่ยนนรกในชีวิตเป็นสวรรค์ ... นี่คือ ข่าวประเสริฐ

รม.8:1-4                 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตายเพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาปเพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
เรารอดจากบาปได้ เราพ้นนรกได้ เรามีชีวิตที่สะอาดได้ เพราะความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงยอมตายบนกางเขน เพื่อรักษาโรคบาปของมนุษย์ ผู้ใดเชื่อในฤทธิ์อำนาจนั้น ผู้นั้นก็รับความรอด
เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังของตัวเองอีกต่อไป แต่เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า
กฎของพระวิญญาณ ทำให้เราอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย
ปรัชญาและศาสนาของโลก พยายามแสวงหายารักษาความบาป
แต่ผู้เชื่อพบแล้วว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นยารักษาโรคบาปทั้งปวง

ย้ำว่า การปรับโทษ จากนรกหรือจากความบาป ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์
อยู่ในพระคริสต์ คือ อยู่ในคำสอนของพระคริสต์ อยู่ในความเชื่อที่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า
อยู่ในพระคริสต์ ก็เหมือนการนำกระดาษบางๆ 1 แผ่น ซ่อนไว้ในพระคัมภีร์
กระดาษบางๆ เป็นตัวแทนของมนุษย์ที่มีความบาป เปราะบาง เปื่อยง่าย ขาดง่าย ปลิวง่าย เหมือนชีวิตมนุษย์
พระคัมภีร์ เป็นตัวแทนของพระเจ้า ... กระดาษบาง อยู่ในพระคัมภีร์ที่หนา กระดาษแผ่นนั้นย่อมไม่ได้รับอันตราย
ชีวิตของมนุษย์ หากได้ซ่อนตัวอยู่ในพระคริสต์ ความบาปก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -5-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

อีกตัวอย่าง ลองนึกถึงลูกโป่ง 2 ใบ ที่ใบหนึ่งอัดด้วยอากาศธรรมดา อีกใบอัดด้วยแก๊ส
ใบหนึ่งจะตกลง ในขณะที่อีกใบหนึ่งจะลอยขึ้น ... สิ่งที่ทำให้ลูกโป่ง 2 ใบแตกต่างกัน คือสิ่งที่อยู่ภายใน
มนุษย์ก็เช่นกัน คนที่มีพระเจ้ากับคนที่ไม่มีพระเจ้า ดูเผินๆ อาจจะไม่ต่างกัน
แต่ที่จริงต่างกัน คนของพระเจ้าก็เหมือนลูกโป่งที่อัดแก๊ส ชีวิตของเขาจะมีพลังอยู่เหนือความไม่ถูกต้อง
ชีวิตของเขาจะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ลอยจากความบาปและการละเมิดมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้เราต้องถามตัวเองให้ดี อยากจะเปลี่ยนนรกในชีวิตให้เป็นสวรรค์ เราเชื่อพระเยซูคริสต์จริงหรือไม่?
เรามีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิตหรือยัง หรือเรามีเพียงแค่คำสอนของศาสนาคริสต์
สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์นั้น เราจะสามารถเอาชนะความบาปได้ ไม่ใช่ด้วยตัวเอง แต่ด้วยพระคริสต์ที่อยู่ในเรา

สิ่งที่พระธรรมโรมได้บันทึกไว้ว่า สิ่งที่ธรรมบัญญัติทำไม่ได้ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้วนั้น
ไม่ได้หมายความว่า ธรรมบัญญัติหรือคำสอนของศาสนาไม่ดี แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังของมนุษย์อ่อนกำลัง
แต่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
กฎของทุกศาสนา ทุกธรรมบัญญัติ สำเร็จได้ผ่านชีวิตของคนที่มีพระคริสต์

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องจำไว้เสมอ คือ เรารอดได้ เพราะพระคุณ โดยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ
นรก เปลี่ยนเป็น สวรรค์ ได้ ไม่ใช่ด้วยการกระทำของมนุษย์ แต่โดยพระเจ้า
ด้วยความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ และด้วยพระคุณของพระเจ้า
อฟ.2:8                    ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
เป็นลูกพระเจ้า ต้องทำความดี แต่เราไม่ได้รับความรอดเพราะการทำดี
เรารอด เพราะเราเชื่อ เราเข้าสวรรค์ได้ เพราะเราได้รับอนุญาตจากเจ้าของสวรรค์
แต่การกระทำความดี เป็นตัวบ่งชี้ว่าเรามีชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว

3. สิ่งที่มนุษย์ควรทำ เมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนนรกในชีวิตให้กลายเป็นสวรรค์
อฟ.2:5                    ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ)
เมื่อก่อนเราเคยตายไปแล้วในความบาป แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เรารับความรอด เป็นขึ้นจากความตายในบาป
เมื่อก่อนทำผิด อาจจะไม่รู้สึกอะไร เพราะจิตสำนึกเราตาย
แต่เมื่อเราเป็นขึ้นแล้ว ต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ
คุณธรรมของเราเป็นขึ้นแล้ว ไม่ใช่คนตายอีกต่อไป ดังนั้น ต้องทำดีให้มากขึ้น
และย้ำว่า เรารอดไม่ใช่เพราะการทำดี แต่เพราะเรารอด เราจึงต้องทำดีให้มาก

อฟ.2:10                  ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนนรกให้กลายเป็นสวรรค์ ผ่านความเชื่อที่เรามีในพระองค์
เมื่อเรารับความรอดผ่านความเชื่อนั้นแล้ว มนุษย์ก็ควรทำสิ่งดีเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
จริงอยู่ว่า การกระทำดี ไม่ได้ทำให้เรารอดได้ พ้นนรกได้ แต่เมื่อเราพ้นนรกแล้ว เราก็ควรที่จะทำดีเพื่อตอบแทนพระเจ้า
เพราะมนุษย์เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ และสำหรับผู้ที่มีพระเยซูคริสต์ในชีวิต พระองค์จะเข้ามาขีดลายเส้นชีวิตของเราใหม่
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 10 รอบบ่าย                                                -6-                                                                     โดย ศจ.นิรุทธิ์  จันทร์ก้อน

สำหรับผู้ที่เชื่อจริง ชีวิตของผู้นั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความคิด กิริยา ท่าที ความประพฤติ
พระเจ้ากำลังสร้างเราทุกวัน แม้เราไม่สมบูรณ์ แต่เรากำลังก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ

พระคัมภีร์ที่สนับสนุนว่า พระเจ้าปรารถนาให้เราประกอบการดี
2ทธ.3:16-17           พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
1ทธ.6:18-19           จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
ทต.2:14                  ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี
ทต.3:14                  ให้พวกเราเรียนรู้ที่จะกระทำการดีด้วย เพื่อจะเป็นประโยชน์เมื่อถึงคราวจำเป็น และเพื่อพวกเราจะไม่เป็นคนที่ไร้ผล
รม.16:19                 การซึ่งท่านทั้งหลายได้เชื่อฟังก็เลื่องลือไปถึงหูคนทั้งปวงแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านเชี่ยวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว
มธ.5:16                   ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
เมื่อพระเจ้าเปลี่ยนนรกในชีวิตของเราให้เป็นสวรรค์แล้ว โดยพระคุณของพระเจ้าผ่านความเชื่อของเราแล้ว
ขอให้เราตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการทำดี อย่านำนรกเข้ามาปะปนกับสวรรค์ของพระเจ้าอีกเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น