คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ กุญแจสู่ความชื่นชมยินดี ” จาก “ ฟป.3:1 ”
ฟป.3:1 สุดท้ายนี้ ขอให้พวกพี่น้องของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ และเป็นการปลอดภัยสำหรับท่านด้วย
จุดมุ่งหมายของการเทศนา คือ ความปลอดภัย และการเป็นพรแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง
พระวจนะตอนนี้ เป็นอีกตอนหนึ่งที่จะช่วยคนของพระเจ้าให้มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต
เพราะชีวิต คือ การต่อสู้และการเดินทาง เส้นทางชีวิตของเราจึงต้องเหนื่อย ต้องท้อ มีหลายอย่างที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้น มีอันตราย มีปัญหา มีอุปสรรค มีความยุ่งยาก มีภัยทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์ด้วยกันเอง ...
โดยสรุป คือ มนุษย์ทุกคนมีปัญหา แต่ท่ามกลางปัญหานั้น เราจะฝ่าฟัน เราจะมีชัยชนะ เราจะมีน้ำทิพย์ของพระเจ้าชโลมจิตใจให้ชื่นชมยินดีได้อย่างไร?
1. เราชื่นชมยินดีได้ เพราะมีพระเจ้า มีความรอด และมีพระสัญญา
ผู้เชื่อ มีปัญหาเหมือนทุกคนที่อยู่ในโลก แต่เราต่างจากโลก เพราะเรามี “พระเจ้า”
นักปราชญ์ นักปรัชญา นักศาสนา ให้เราได้แต่คำสอนที่ดี ...
พูดดี ฟังเพราะ แต่ทำไม่ได้ เป็นไม่ได้อย่างที่พูด
ไม่ใช่เพราะคำสอนไม่ดี ... แต่เพราะไม่มีพระเจ้า จึงทำไม่ได้
เมื่อเขาไม่มีพระเจ้า จึงไม่มีความรอด และไม่มีพระสัญญา
ในขณะที่เรามีพระเจ้า เราจึงมีความรอด และมีพระสัญญา
นั่นทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีได้ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ ของชีวิต
อฟ. 2:12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า เราเป็นคนที่อยู่นอกพระคริสต์
เคยปราศจากความหวัง ไม่มีส่วนในพระสัญญา
แต่เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เรามีพระเจ้า พระองค์รับเราเป็นบุตร
และพระองค์มีพระสัญญาที่ให้ไว้กับเราในพระคัมภีร์ พระสัญญาทั้งหมดนั้นมีมากกว่าหมื่นข้อ
1ปต.5:10 และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
พระสัญญาของพระองค์ คือ พระเจ้าเรียกเราเข้าสู่ศักดิ์ศรี ... ไม่ใช่ความอับอาย
และเป็นศักดิ์ศรีนิรันดร์ ไม่ใช่ศักดิ์ศรีเพียงชั่วคราว
เส้นชัยของเรา คือ ศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงประทานให้
ระหว่างทางชีวิตของเราอาจจะพบเจอปัญหาและอุปสรรค แต่ปลายทางชีวิตของเรา คือ ศักดิ์ศรีจากพระเจ้า
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
พระเจ้าเลือกเราแล้ว พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
และพระเจ้าสัญญาแล้วว่า จะไม่มี “อะไร” “สิ่งใด” หรือ “ใคร” แย่งชิงเราไปจากพระเจ้าได้
ชีวิตของเราจะไม่พินาศเลย ... พระเจ้าทรงสัญญาแล้ว จะทรงรักษาสัญญานั้น
อสย.43:2 -3 เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า
ชีวิตของเราทุกคนย่อมพบเจอกับปัญหาและอุปสรรค
น้ำท่วม และไฟไหม้ เป็นสัญลักษณ์ของปัญหา
พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าคนของพระเจ้าจะไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความยุ่งยากลำบาก
แต่พระเจ้าสัญญาแล้วว่า แม้เราลุยข้ามน้ำ น้ำจะไม่ท่วม และเมื่อเราลุยไฟ ไฟจะไม่ไหม้
เราจะไม่ตายในปัญหา ปัญหาจะไม่สามารถฆ่าคนของพระเจ้าได้
แต่ต้องจำไว้ว่า
“เราลุยน้ำ เราย่อมเปียก เราย่อมหนาวเหน็บ” “เราลุยไฟ เราย่อมร้อน”
แต่ทั้งสองสิ่งนั้น จะไม่สามารถทำลายเราได้ เราจะผ่านไปได้ ด้วยการยึดพระสัญญาของพระองค์
สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนของพระเจ้าชื่นชมยินดีได้ คือ ต้องยึดพระสัญญาพระเจ้า
เชื่อวางใจ แม้ไม่เข้าใจ ...
จะทำให้เรามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือจากพระเจ้า ส่งผลให้เกิดความชื่นชมยินดี
ประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก ... ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้ เพราะเป็นประสบการณ์ของเรา
การช่วยเหลือ การช่วยกู้ที่เกินกำลังมนุษย์ มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า
ความเชื่อ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ความศรัทธา จะทำให้เรามองเห็นสิ่งที่เราเชื่อ
พระสัญญาเรามองไม่เห็น แต่ความศรัทธา ทำให้เรารับพรจากพระสัญญานั้น
2. เราชื่นชมยินดีได้ เพราะเรารับการสร้างให้เป็นคนดี และทำดี
2ทธ.3:16-17 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
พระเจ้าสร้างให้เราเป็นคนดี
พระเจ้าเราผ่านพระวจนะ คำสอน คริสตจักร การนมัสการ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะสร้างเราจากภายใน ให้เราพรักพร้อมทำดี และทำดีได้ทุกประการ
ปรัชญาของมนุษย์สอนดี แต่ทำไม่ได้ เพราะไม่เป็นชีวิต เป็นเพียงความปรารถนา
แต่พระเจ้าสามารถสร้างเราได้จริง เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
การที่พระเจ้าสร้างให้เราเป็นคนดี และการที่เราทำดี ส่งผลให้เรามีความชื่นชมยินดี
การทำดี ทำให้เรามีความสุข ... ไม่มีใครยิ้ม แล้วทุกข์ ไม่มีใครแจกจ่ายน้ำใจ แล้วทุกข์
เพียงแค่เราคิดจะทำดี ก็มีความสุขแล้ว แต่ได้ทำดีจริงๆ ยิ่งสุข และเป็นความสุขที่แท้จริง
เราสามารถมีความสุขและความชื่นชมยินดีได้ในทุกนาทีของชีวิต
แม้ลมหายใจของเราก็ยังสุขได้ ... ถ้าเราได้ทำดี และเป็นคนดี
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
หลักการทำดีนั้น อย่ารอให้ทำดีได้ทุกประการแล้วจึงค่อยทำ
แต่ให้เราทำดีทุกวัน ทีละเล็ก ทีละน้อย เท่าที่เราสามารถทำได้
การทำดีนั้น จะส่งผลให้เราชื่นชมยินดีในจิตวิญญาณ
แม้มีปัญหาให้แก้ ก็ยังชื่นชมยินดีได้ แม้กายเหนื่อย แต่ข้างในกลับมีความสุข
2.1 ความเป็นคนดี (คนชอบธรรม) ทำให้เราแก้ปัญหาได้
สิ่งสำคัญที่การเป็นคนดี และการทำดี สามารถทำให้เราชื่นชมยินดี
ก็เพราะว่า ความเป็นคนดี ทำให้เราแก้ปัญหาได้
เราแก้ปัญหาได้ เพราะเรามีสติ มีกำลัง ข้างในจิตวิญญาณเราไม่ฟ้องผิด
และที่สำคัญที่สุด คือ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับคนทำดี
เมื่อคนดี หรือคนชอบธรรมอธิษฐานกับพระเจ้า ... ไม่มีอะไรมาขัดขวางคำตอบจากพระองค์
การอาฆาต เคียดแค้น การไม่ให้อภัย ทำให้พระเจ้าไม่ฟัง สวรรค์ไม่ช่วย
พระวจนะที่ยืนยันว่าคนดี (คนชอบธรรม) จะรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า
สภษ.10:2 ความชอบธรรมช่วยกู้จากความตาย
ความดีและความชอบธรรม จะช่วยกู้จากความตาย
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตาย ความเจริญตาย เงินทองตาย ... ความชอบธรรมช่วยเราได้
เหมือนที่สุภาษิตโบราณกล่าวว่า “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” นั่นเอง
สภษ.10:6 พระพรอยู่บนศีรษะของผู้ชอบธรรม
พระพรของพระเจ้าอยู่เหนือเรา เหนือคนทำดี เหนือคนชอบธรรม
ให้มันรู้ไปว่าถ้าเราทำดี ทำถูกต้อง ทำชอบธรรมแล้วพระเจ้าจะไม่อวยพร
สภษ.10:24-25 แต่สิ่งใดที่คนชอบธรรมปรารถนา พระองค์ทรงประสาทให้ คนชอบธรรมจะได้รับการสถาปนาไว้เป็นนิตย์
ไม่ว่าผู้ชอบธรรมปรารถนาสิ่งใด พระเจ้าทรงประทานให้
เพราะผู้ชอบธรรม จะปรารถนาในสิ่งที่ดี ไม่ขอเพื่อโอ้อวด หรือขอเพื่อตัวเอง
แต่จะขอเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น และส่วนรวมเป็นหลัก
สภษ.10:28 ความหวังของความชอบธรรมจบลงในความยินดี
ชีวิตของเราคน เริ่มต้นอย่างไร ไม่สำคัญเท่าจบลงอย่างไร
ถ้าเรารักษาความดี และเพิ่มความดีขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตของเราจะจบลงในความยินดีอย่างแน่นอน
2.2 คนดีจะมีคำพูดที่ดี คำพูดที่ดี นำให้เกิดความชื่นชมยินดี
เรื่องคำพูด เป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด และแม้คนที่จนที่สุดก็สามารถหาความชื่นชมยินดีได้จากคำพูด
คนดีจะมีคำพูดที่ดี ... คำพูดที่ดี ส่งผลให้เกิดความชื่นชมยินดี ทั้งผู้พูด และผู้ฟัง
ไม่มีใครในโลกนี้นินทาว่าร้ายผู้อื่นแล้วจะมีความสุข
อย่างดีก็แค่สะใจ แต่ในใจลึกๆ ก็ผวา กลัวผู้อื่นจะรู้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เราจะมีความชื่นชมยินดีหรือไม่ ขึ้นกับเราพูดอะไร และฟังอะไร
มธ.12:35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา
คนดี ย่อมพูดคำดี เพราะเขามีคลังแห่งความดีในตัว
คนชั่วแม้จะพูดดี แต่ก็พูดดีไม่ได้ตลอด เพราะในตัวเขาไม่ได้มีคลังแห่งความดี
อยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ก็ให้ดูในสิ่งที่เขาพูดเป็นประจำ
พระวจนะเกี่ยวกับคำพูดของคนชอบธรรม (คนดี)
สภษ.10:11 ปากของคนชอบธรรมเป็นบ่อน้ำชีวิต
คำพูดของคนดี คำพูดที่ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี ต้องเป็นบ่อน้ำแห่งชีวิต ไม่ใช่บ่อน้ำกรด
จะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ดูที่เขาคิด พูด และทำอย่างไร
“ความคิดคน สะท้อนข้างในคน, คำพูดคน สะท้อนใจคน และการกระทำ สะท้อนวุฒิภาวะของคน”
สภษ.10:20-21 ลิ้นของคนชอบธรรมคือเงินเนื้อบริสุทธิ์ ริมฝีปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนเป็นอันมาก
ลิ้นของเราเป็น “เนื้อเงิน” ไม่ใช่ “เศษเงิน”
ริมฝีปากของเรา ต้อง “เลี้ยงคน” ไม่ใช่ “ฆ่าคน”
คือ พูดให้คนได้กำลังใจ ให้คนได้สติ ให้คนคิดได้ ... นี่คือ คำพูดของคนชอบธรรม
สภษ.10:31-32 ปากของคนชอบธรรมนำปัญญาออกมา ริมฝีปากของคนชอบธรรมรู้ว่าอะไรพอหูคน
คำพูดของคนดี คนชอบธรรม ต้องให้ไพเราะหูของผู้ฟัง ไม่ใช่พูดเพื่อทำลายคน
อฟ.4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
โบราณว่า คำพูดดีมีค่ากว่าทอง
พระเจ้าไม่ต้องการให้คำหยาบคายออกจากปากของผู้เชื่อ
เพราะคำหยาบไม่ใช่คำของพระเจ้า แต่เป็นคำของมาร พูดไปไม่มีใครได้ประโยชน์ ไม่มีความชื่นชมยินดี
แต่บางครั้งไม่ใช่คำหยาบเท่านั้นที่เราไม่ควรพูด
แม้คำพูดดี แต่เวลานั้นไม่เหมาะสม ก็ไม่สมควรพูด
ดังนั้น เราต้องรับการสร้างให้เป็นคนดี เพื่อจะพูดดี และเป็นที่น่าชื่นชมยินดีของตนเองและผู้อื่น
2.3 คนดี รู้วิธีในการสร้างความชื่นชมยินดี
คนดี คนชอบธรรม คนของพระเจ้า จะสามารถชื่นชมยินดีได้
เพราะเรารู้วิธีในการสร้างความชื่นชมยินดี ดังนี้
ก. ต้องลดความรู้สึก และเพิ่มความรู้ให้มากขึ้น
เทคนิคในการสร้างความชื่นชมยินดีในสถานการณ์ต่างๆ คือ ต้องลดความรู้สึกของตนเอง
เมื่อใดก็ตามที่เรากระโดดไปตามความรู้สึก หรือเอาความรู้สึกเป็นตัวตั้ง
ชีวิตเราจะไม่นิ่ง และหาความชื่นชมยินดีไม่ได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ดังนั้น เราต้องฝึกฝนตนเอง พยายามลดความรู้สึกของตนเองให้ได้
คนเรามีความรู้สึกไม่ผิด แต่อย่าทำตามความรู้สึก โดยขาดสติ
ไม่เพียงแต่ลดความรู้สึกเท่านั้น เรายังต้องเพิ่มความรู้ให้มากขึ้นด้วย
การรู้เรื่องมนุษย์มากขึ้น รู้เรื่องชีวิตมากขึ้น เป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุด
เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจชีวิต เข้าใจโลก จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
ข. ลดความเป็นฝักฝ่าย เพิ่มความสามัคคี
หลายครั้งเราทุกข์ เพราะเราแยกฝ่าย มีฝ่ายโน่น ฝ่ายนี้ ฝ่ายเขา ฝ่ายเรา
แต่เราจะมีความชื่นชมยินดีในชีวิตได้มากขึ้น ถ้าเราลดความเป็นฝักฝ่าย และเพิ่มความสามัคคี
รม.12:18 ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
พระเจ้าสอนให้เราอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
ไม่อยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่อยู่ฝ่ายพระเจ้า อยู่ฝ่ายความถูกต้องชอบธรรม
ความผิด ความถูกของคนเราต้องแยกแยะ ... แต่จำไว้ว่า พระเจ้าทรงรักและยอมตายเพื่อมนุษย์ทั้งโลก
ความจริงสำหรับทุกวงการ คือ ไม่มีมิตรแท้ และไม่มีศัตรูถาวร
อย่าคิดว่าความคิดของเราเท่านั้นถูกต้อง
เพราะการคิดได้ ไม่ได้หมายความว่า เราคิดถูก
หรือความคิดถูกในขณะนี้ ในอนาคตอาจจะผิดก็ได้
ดังนั้น ทุกสิ่งที่เข้ามากระทบชีวิตของเรา จะวัดเรา คือ วัดคุณธรรม และความเข้าใจของเรา
ถ้าเราผ่านมันไปได้ เราก็จะมีความชื่นชมยินดีได้
ค. ต่อความร้าย ด้วยความดี
มธ.5:43-45 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
พระเจ้าทรงยุติธรรม ให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่ทุกคน
ไม่ได้หมายถึง ไม่แยกแยก
แต่พระเจ้ากำลังสอนให้เราเข้าใจว่า “แม้เห็นต่าง แต่ก็สามารถรักกันได้”
เราอยู่ในโลกนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานทุกคนต้องตายจากโลกนี้
และในโลกหน้า โลกนิรันดร์นั้น ไม่มีการแบ่งแยกอะไรอีกต่อไป
ดังนั้น เราจะสุขใจได้ ชื่นชมยินดีได้ ก็ต่อเมื่อ ต่อความร้าย ด้วยความดี
ไม่ทำร้ายตอบแทนการร้าย แต่ตอบแทนการร้ายด้วยการดี
คนคิดอาฆาตมาตรร้าย ไม่มีทางได้ดี และไม่มีทางมีความสุข
คนที่ทำร้าย หรือคนอธรรม วันหนึ่งเขาต้องรับผลการกระทำของตนอย่างแน่นอน
หน้าที่ของเราไม่ใช่การพิพากษาหรือตัดสิน เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของพระเจ้า
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
หน้าที่ของเรา คือ ทำดีต่อทุกคน ... แม้กระทั่งศัตรู
2.4 บุคลิกของคน คือ สิ่งที่กำหนดให้คนเข้ามาหาเรา
บุคลิกของคน กำหนดให้คนเข้ามาหาเรา ... คนดี ก็กำหนดคนดีเข้ามา
ปลาชนิดใด ก็อยู่รวมตัวกับปลาชนิดนั้น, คนประเภทใด ก็รวมตัวอยู่กับคนประเภทนั้น
คนดี รู้ว่าบุคลิกอย่างไร จึงจะมีคนดีเข้ามาหา
อยากเป็นอย่างไร ขอให้ทำอย่างนั้นกับผู้อื่นก่อน แล้วเราจะได้รับสิ่งนั้น
เช่น ผู้ยิ้ม ย่อมรับการยิ้มตอบ, ผู้โกรธ ย่อมรับการโกรธตอบ, เราเป็นอย่างไร เขาเป็นอย่างนั้น
มธ.7:12 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน...
3. เราชื่นชมยินดีได้ เพราะดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้
ความเป็นผู้รู้ ทำให้เราชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์
หลักการดำเนินชีวิตและหลักคิดอย่างผู้รู้ที่ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี มีดังนี้
3.1 แพ้ได้ ทุกข์ได้ ก็ชนะได้ ลุกได้
สภษ.24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
คนที่รับการสร้างให้มีคุณธรรม เป็นคนดี ไม่ว่าล้มกี่ครั้ง ก็สามารถลุกขึ้นได้
คนที่ไม่เคยทำผิด คือ คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
คนยิ่งทำมาก ก็ยิ่งผิดมาก แต่เราต้องเรียนผิดเรียนถูก ล้มลุกคลุกคลาน จนถึงหลักชัยให้ได้
จะมีโอกาส สำหรับผู้มีความพยายามใหม่เสมอ
ย้ำว่า ต้องพยายามแบบใหม่ ไม่ใช่แบบเก่า ... รู้ว่าผิดแล้ว ต้องรับผิด และเราล้มก็เพราะทำผิด
แต่เราจะเริ่มใหม่ ไม่ทำผิดซ้ำ พระเจ้ายินดีให้โอกาส
3.2 ตั้งสติ ไตร่ตรอง คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ปรับวิธีคิดใหม่
ตั้งสติ ไตร่ตรอง คือ ประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ประเมินแนวคิด ประเมินการกระทำ ประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น
แล้วเราจะแก้ปัญหาได้ เราจะชื่นชมยินดีได้
3.3 พัฒนาความคิด เพื่อชีวิตที่ดีในวันพรุ่งนี้และตลอดไป
คำสอนทางศาสนา ส่วนใหญ่เน้นแต่ให้ทำดี ... ดี แต่ไม่ครบ
เพราะดีอย่างเดียว แต่ไม่เก่ง ไม่พัฒนา ก็ไม่เป็นประโยชน์และไม่ประสบความสำเร็จ
ชีวิตที่ไม่เป็นภัย แต่ไม่เป็นพร ไม่ได้เป็นชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
และหลักการพัฒนาความคิดนั้น ต้องพัฒนาในสิ่งที่ดีและชอบธรรม
เมื่อพัฒนาความคิด เราจะได้ชีวิตที่ดีกว่า
ชีวิตสำคัญที่สุด เราพัฒนาความคิด และ ชีวิตของเราเป็นอย่างไร ขึ้นกับว่าเราคิดอย่างไร
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -7- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แนวความคิดด้านคุณธรรม “5 อย่า ... ทำให้ชื่นชมยินดี”
(1) อย่าคิดว่าตัวอาภัพ หรือโชคร้าย
ไม่มีมนุษย์คนใดอาภัพ หรือโชคร้าย เพราะเราทุกคนเป็นพระฉายของพระเจ้า (ปฐก.1:26-28)
ภายนอกเราจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ เพราะภายในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซ่อนอยู่ในเราทุกคน
เราเป็นคนโชคดี เพราะเรามีพระเจ้า
(2) อย่าคิดอิจฉา แต่จงชื่นชมยินดี
รม.12:15 จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้
เราจะเป็นสุขก็ต่อเมื่อไม่อิจฉา แต่ชื่นชมยินดีร่วมกับผู้อื่น
หลายคนบอกว่าไม่อิจฉา แต่ไม่อยากให้ใครได้ดี ... ก็อยู่ในข่ายเดียวกัน
งานพระเจ้าและสังคม ต้องการคนเก่งจำนวนมากมาช่วยกัน
ดังนั้น เห็นใครเก่ง อย่าอิจฉา แต่จงอวยพรเขาให้เก่งมากขึ้น เพื่อจะเป็นประโยชน์มากขึ้น
(3) อย่าวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นในทางไม่ดี
มธ.7:1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
(4) อย่าเป็นคนวิตกกังวล ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม
ฟป.4:6-7 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ แต่จงทูลกับพระเจ้า และจำไว้ว่า ปัญหามีไว้แก้ มารมีไว้ชนะ
(5) อย่าซ้ำเติมคนล้ม อย่าข้ามหรือดูหมิ่นคนผิดพลาด
สภษ.24:17 อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด
3.4 จงบันทึกบาดแผลความชอกช้ำไว้บนพื้นทราย แต่จงจารึกความดีไว้บนหินอ่อน
คนที่ดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้ จะทำดังนี้ ในขณะที่คนต้องทนทุกข์ จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ยน.8:7-8 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน" แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก
ฟป.1:3 ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าทุกครั้ง
พระเจ้าสอนให้เรารู้จักให้อภัยสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
การเขียนความผิดไว้บนพื้นทราย ก็เพื่อที่วันหนึ่ง ลม ฝน พัดมา จะพัดเอาความผิดนั้นหายไปด้วย
แต่หากเราจารึกความผิด และความชอกช้ำไว้บนหินอ่อน บนศิลา
ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังคงทนทุกข์กับสิ่งนั้น
บนหินอ่อน บนศิลา ควรเป็นที่จารึกเรื่องราวดีๆ เท่านั้น
และเรื่องราวดีๆ เหล่านั้น จะส่งผลให้เราชื่นชมยินดีกับชีวิตได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 15 ก.พ. 2009 “รอบเช้า” -8- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
3.5 แล้วก็แล้วกันไป เริ่มต้นใหม่ดีกว่า
เราต้องคิดให้ได้ว่าแล้วก็แล้วกันไป อย่าไปจดจำสิ่งผิด เริ่มต้นใหม่ดีกว่า
สดด.103:8-12 พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง พระองค์จะไม่ทรงปรักปรำเสมอ หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์ พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงสนองตามบาปผิดของเรา เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง เท่านั้น ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น
พระเจ้าเองก็ทรงเป็นแบบอย่างสอนเรา
ไม่เคยจดจำความผิด และไม่เคยสนองต่อเราตามความผิดนั้น
ถ้าพระเจ้าไม่ให้อภัยทุกครั้งที่เราทำผิด เวลานี้เราทุกคนคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นแน่แท้
เราเองก็ควรจะขึ้นให้ได้อย่างนั้นเช่นกัน
ข้อคิดที่จะสามารถลืมบาดแผลในอดีตได้
ไม่มีใครไม่เคยล้ม หากมัวแต่เสียใจ ความทุกข์ก็จะไม่มีวันจบสิ้น
เราต้องมีหลักคิด เพื่อจะสามารถลืมอดีต และมีความสุขกับอนาคตให้ได้
(1) จงนำประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตมาเป็นเครื่องเตือนใจ
(2) จงทำตัวให้สนุกสนาน สดใส ร่าเริง ใครว่าบ้าก็ยินดีบ้า
(3) จงยอมรับความจริงและพอใจในปัจจุบัน
(4) จงเลิกพยาบาทอาฆาต คิดถึงแต่สิ่งที่ดี และการให้อภัย
มธ.18:21-22 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ
(5) จงเอาใจใส่ปัจจุบัน ที่นี่ เดี๋ยวนี้
- เริ่มชีวิตใหม่โดยลืมอดีต
- ฝังอดีตที่กัดกร่อนทรมานใจไว้กับพระเยซู
- เริ่มต้นใหม่เดี๋ยวนี้ วันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพระเจ้าทรงสัญญา
สภษ.24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
อสย.43:2-3 เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า
ยน.10:28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้นแกะนั้นจะไม่พินาศเลยและจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้
1ปต.5:10 และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
ทั้งหมดเป็นคำตอบหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีได้ ไม่ว่าเราจะต้องอยู่ในสถานการณ์ใดของชีวิต
เรามีพระเจ้า เรามีพระสัญญา เรารับการสร้างให้เป็นคนชอบธรรม และดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้
สิ่งใดที่เราทำได้ ก็ให้เราทำตามแนวทางของพระเจ้า และสิ่งที่เกินกำลังของเราพระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะช่วยเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น