คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -1- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
เรื่อง “ คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง ” จาก “ ฟป.4:19 ”
ฟป.4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีคลังทรัพย์ ยิ่งเป็นคลังทรัพย์ของพระเจ้า ยิ่งเป็นที่ปรารถนาของคน เพราะคลังทรัพย์นี้ มีแล้วสุข มีแล้วสงบ มีแล้วมีคุณค่า มีแล้วเป็นประโยชน์ช่วยโลกได้
คลังทรัพย์ของพระเจ้า เป็นมากยิ่งกว่าเงินคงคลังของประเทศต่างๆ เป็นมากยิ่งกว่าเงินของมหาเศรษฐีทั้งโลกมารวมกัน เป็นมากกว่าสิ่งที่เงินจะให้เราได้ เพราะคลังทรัพย์ของพระเจ้านั้น สามารถประทานสิ่งสารพัดที่เราขาดได้
ในยุคสุดท้าย ในเวลาที่โลกกำลังเสื่อมลงทุกวัน วิกฤติและความขาดแคลนเกิดมากขึ้น คนที่ยืนหยัดอยู่ได้ คือ คนที่เชื่อและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เชื่ออย่างเดียว แต่ไม่ปฏิบัติตามที่เชื่อก็ไม่ได้รับคลังทรัพย์ แต่เพราะเราเชื่อ เราจึงปฏิบัติตาม การเชื่อและปฏิบัติตามนั่นแหละ ทำให้ตัวเราเป็นภาชนะที่จะรับพระพรจากพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานสิ่งสารพัดที่ขาดอยู่ จากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์
1. คลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้า สามารถประทานสารพัดที่เราขาดอยู่
ฟป.4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
หลายคนคิดว่า “เงิน” คือ คำตอบของทุกสิ่ง จนมีคำโบราณของไทยว่า “เงินสามารถจ้างผีโม่แป้งได้”
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เงินไม่ได้เป็นคำตอบของทุกสิ่ง
เงินให้ความสะดวกสบาย แต่ไม่ได้ให้ความสุขมนุษย์
เงินทำให้เรามีคนรอบข้างมากมาย แต่ไม่สามารถทำให้พวกเขาจงรักภักดีต่อเราได้
และที่สำคัญที่สุด เงินซื้อสวรรค์ หรือพามนุษย์เข้าสวรรค์ไม่ได้
เงินหรือวัตถุ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระพรเท่านั้น
แต่คลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้า สามารถประทานสารพัดที่เราขาดอยู่ได้
อะไรที่เราขาด อะไรที่เงินให้เราไม่ได้ คลังทรัพย์ของพระเจ้าประทานให้เราได้
แน่นอน นั่นรวมถึงทรัพย์สินเงินทองด้วย (ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับพระเจ้า)
มากกว่าเงินทองที่คลังทรัพย์ประทานให้เรา คือ คุณธรรม วุฒิภาวะ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่
มีแล้วเป็นพร ไม่ใช่มีแล้วเป็นภัย ... มีเพื่อให้ ไม่ใช่มีไว้เพื่ออวด
รวมไปถึงปัญญา ความปลอดภัย การคุ้มครองอำนวยพร การไปดีมาดีและมีชีวิตยืนยาว
มีครอบครัวที่เป็นสุข มีลูกหลานที่เป็นพร สิ่งเหล่านี้ เงินให้เราไม่ได้ แต่คลังทรัพย์ของพระเจ้าให้เราได้
2. คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง หมายถึง
คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง หมายถึง ในความขาด จะมีความครบ ในความบกพร่อง จะมีความบริบูรณ์
ในความอ่อนแอ จะมีความเข้มแข็ง ในความเป็นไปไม่ได้ จะมีความเป็นไปได้
เราทุกคนขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ ไม่มีใครสมบูรณ์
ทุกคนมีวลีหนึ่งที่ติดตัวอยู่เสมอ คือ คำว่า “แต่”
เช่น เรามีบ้าน เรามีรถ แต่เรายังขาดความสุข เป็นต้น
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -2- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แต่คลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้า สามารถเติมส่วนที่เราขาดอยู่ได้
สามารถทำส่วนที่บกพร่องให้บริบูรณ์ได้ สามารถทำให้ความอ่อนแอ กลายเป็นความเข้มแข็งได้
และที่สำคัญที่สุด สามารถทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนของพระองค์
รม.8:31 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา
วว.3:7 "จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า "พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้สัตย์จริง ผู้ทรงถือลูกกุญแจของดาวิดผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดปิด ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดเปิดได้ตรัสดังนี้ว่า
อะไรก็ตามที่พระเจ้าทรงปิด ไม่มีมนุษย์คนใดเปิดได้ ในทำนองเดียวกันถ้าพระเจ้าทรงเปิด ก็ไม่มีมนุษย์ปิดได้
ถ้าพระเจ้าทรงอวยพระพรใคร อย่าไปต่อต้านหรือต่อสู้เขา เพราะจะเป็นการต่อสู้พระเจ้า
แม้เราไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพระเจ้าทรงอวยพร แสดงว่า เขาต้องมีสิ่งดี จึงสามารถรับพรจากพระเจ้าได้
โบราณว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่เรื่องของบุญวาสนานั้น แต่กันไม่ได้
คนที่มีคลังทรัพย์ของพระเจ้านั่นแหละ คือ คนที่มีบุญวาสนา
ตัวอย่างในความเป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงทำให้เป็นไปได้
ฉธบ.2:7 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเจ้า ได้อำนวยพระพรแก่บรรดาการที่มือของพวกเจ้าได้กระทำ พระองค์ทรง ทราบทางที่เจ้าได้เดินในถิ่นทุรกันดารใหญ่นี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้อยู่กับเจ้าสี่สิบปีนี้มาแล้ว พวกเจ้ามิ ได้ขัดสนสิ่งใดเลย
ชนชาติอิสราเอลเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี แต่ไม่ขัดสนใจสิ่งใดเลย
พวกเขาอยู่ในทะเลทราย ไม่ได้ทำงาน แต่มีกินไม่ขาด เพราะมีพระเจ้าทรงเป็นใหญ่ในชีวิต
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะดูแลคนของพระเจ้า แต่ย้ำว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้า”
เพราะในจำนวนชนชาติอิสราเอลนั้น มีหลายคนที่ต้องล้มตายไป เพราะไม่เชื่อฟัง
แต่ทุกคนที่เชื่อฟัง ก็รับพระพร มีชีวิตไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆ
1พกษ.17:2-7 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า "จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์ แดน เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น" ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ จอร์แดน และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน
พระวจนะตอนนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ในความเป็นไปไม่ได้ คลังทรัพย์ของพระเจ้าทำให้เป็นไปได้
มนุษย์ต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์
พระเจ้าเลี้ยงดูเราผ่านงานที่เราทำ และในช่วงเวลาที่เราหางานอยู่นั้น พระเจ้าก็มีวิธีที่จะเลี้ยงดูเรา
ปกติ กา เป็นสัตว์ที่ขี้ขโมย แต่พระเจ้าให้หัวขโมยมาเลี้ยงดูคนของพระเจ้า
สิ่งนี้แสดงถึง พระเจ้าทรงมีขบวนการที่จะทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ขอเพียงเราเชื่อฟังและทำตามพระวจนะ ... ใครกล้าเชื่อ ใครกล้าทำ คลังทรัพย์ของพระเจ้าก็ทรงเปิดสำหรับคนนั้น
นี่เป็นเหตุที่ลูกพระเจ้าเจริญก้าวหน้า อยู่แนวหน้าของโลกเสมอ
สดด.121:1-3 ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหนความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกพระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -3- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ก็เพราะความความอุปถัมภ์ การช่วยเหลือของเรามาจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
ถ้าพระเจ้าสร้างและดูแลโลกได้ พระเจ้าก็ดูแลเราได้ ไม่ขาดแคลน
ทุกอย่างอยู่ได้โดยพระเจ้า มนุษย์เป็นพระฉายของพระองค์ พระเจ้าจะไม่ทรงเลี้ยงดูหรือ
ดังนั้น คลังทรัพย์ที่ประทานสิ่งสารพัดที่ขาดอยู่นั่น จึงมีความหมายลึกซึ้งมาก
คนของพระเจ้าอยู่อย่างไม่ขาดแคลน และมั่งมีก็เพื่อเป็นประโยชน์ ไม่หลงในทรัพย์ที่มีนั้น
3. คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง ให้ได้แม้การขาดแคลนภายใน
คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง ไม่ได้หมายถึง ทรัพย์สินเงินทองภายนอก หรือปัจจัยที่จำเป็นสำหรับชีวิตเท่านั้น
แต่คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง ให้ได้แม้กระทั่งการขาดแคลนภายใน หรือเรื่องจิตวิญญาณ
คนที่มีลูกจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุด เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดา
คนมีลูก ย่อมอยากให้ลูกเป็นคนดี มากกว่าเป็นคนเก่ง
เป็นคนเก่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเก่งแล้วเลว เก่งแล้วเป็นภัย เป็นอันตรายต่อผู้อื่น
พ่อแม่ไม่ภาคภูมิใจ เสียใจ เศร้าใจ พระเจ้าก็ทรงรู้สึกเช่นเดียวกันนั้น
มากกว่าการมั่งมีภายนอก พระเจ้าต้องการให้เรามั่งมีจากภายใน
เพราะถ้าภายในดี ภายนอกมันก็จะดีไปด้วย
มารพยายามหลอกให้เราสนใจแต่ภายนอก ละเลยภายใน ทำให้เราดีได้ ไม่ถาวร ไม่มั่นคง
(1) เมื่ออวัยวะภายในดี อวัยวะภายนอกก็ดีด้วย คนของพระเจ้า ดีจากข้างใน ข้างนอกเลยดีด้วย
(2) เมื่อข้างในเราดี มีสติปัญญา มีคุณภาพ ภายนอกเราดีด้วย คนดี อยู่ที่ไหนก็ดี ทำอะไรก็เจริญ
(3) จิตวิญญาณภายในดี ส่งผลให้พระเจ้าเทพร ไม่ใช่หยดพร
มลค.3:10 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
เราต้องให้พระเจ้าเต็มขนาด ไม่ใช่ให้แบบขาดๆ เกินๆ เราก็จะรับพรเต็มขนาดเช่นกัน
จิตวิญญาณของเราต้องรักพระเจ้ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ถ้าพระเจ้าอวยพร พรนั้นต้องไม่เป็นภัย และที่สำคัญต้องไม่ลืมตัว ไม่ลืมพระเจ้า
จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ภายในเป็นที่ให้ชีวิต
ยน.6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
บ้าน รถ เงิน วัตถุภายนอก ทุกคนอยากได้ แต่ถ้าข้างในไม่ดี เป็นอะไร มีอะไรก็เลว
คลังทรัพย์ของพระเจ้า มุ่งเติมเต็มภายในเราก่อน แล้วภายนอกของเราจึงจะดี
งานของคริสตจักร จึงเป็นงานที่เติมในส่วนที่ขาด และต่อยอดในส่วนที่มีของมนุษย์
รม.8:3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป {หรือ เป็นเครื่องบูชาไถ่คนจากบาป} พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป
มนุษย์พยายามทำตามบัญญัติ แต่ไม่สามารถทำได้ หรือไปถึงได้
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -4- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ธรรมบัญญัติของทุกศาสนาสอนดี แต่ที่เราทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังของเราอ่อนแอ
ทุกคนมีจุดอ่อน แต่ในจุดอ่อนของเรา พระเจ้าจะเข้ามาเสริมให้เป็นจุดแข็ง
สิ่งที่เราทำไม่ได้ พระเจ้าจะทรงช่วยให้เราทำได้ นั่นรวมทั้งด้านจิตวิญญาณของเราด้วย
คลังทรัพย์ของพระเจ้า ทำให้มนุษย์มีคุณธรรม มีความรัก มีหัวใจอย่างพระเจ้า
กท.5:22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ
1ปต.4:8 ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
ถ้าจิตวิญญาณ และข้างในเราเต็มด้วยหัวใจอย่างพระเจ้า
ชีวิตของเรา สังคมของเรา ชาติของเราก็เป็นสุข
4. คลังทรัพย์อันรุ่งเรือง ทำให้เรามีเมตตาและรู้จักให้อภัย
ต่อเนื่องจากข้อ 3 ในตอนท้ายที่คลังทรัพย์ ให้ได้แม้ในส่วนของจิตวิญญาณที่อยู่ภายในมนุษย์
คลังทรัพย์ของพระเจ้า เปลี่ยนแปลงมนุษย์จากภายใน ทำให้เรามีความเมตตาและรู้จักให้อภัย
เมตตาและอภัย เงินให้เราไม่ได้ แต่คลังทรัพย์ให้เราได้
พระเจ้าจะเปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของเรา คือ เป็นผู้ให้ มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ
สามารถให้ได้ รวมทั้งการให้อภัยด้วย ไม่ตกหลุมของมารซาตาน ไม่ตกอยู่ในความขมขื่นเกลียดชัง
4.1 พระเยซูเป็นแบบอย่างที่เป็นไปไม่ได้ แต่ทำให้เป็นไปได้
ก. โปรดอภัยให้เขา
ลก.23:34 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า "โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร" เขาก็เอาฉลองพระองค์ จับฉลากแบ่งปันกัน
พระเยซูคริสต์ทรงถูกกระทำสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว
ถูกตบ ถูกตี ถูกถ่มน้ำลาย ถูกตรึง ... ไม่มีใครที่ต้องเผชิญความยากลำบากและถูกกระทำอย่างพระองค์
แต่สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ คือ ขอพระเจ้าทรงอภัย ยกโทษให้พวกที่กระทำต่อพระองค์
การให้อภัยเป็นธรรมชาติชีวิตของพระเจ้า
ดังนั้น วันใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าให้อภัยใครไม่ได้ ให้นึกถึงภาพที่พระเยซูคริสต์ถูกกระทำ
และให้คิดถึงการที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำต่อพระองค์
ถ้าไม่ใช่เป็นคลังทรัพย์ของพระองค์ เป็นสิ่งที่เกินกำลังของมนุษย์จะกระทำได้
แต่เพราะคลังทรัพย์เทลงมา คลังทรัพย์อยู่กับผู้เชื่อ สิ่งนี้พระเยซูคริสต์ทำได้และวางแบบอย่างให้เราทำตามด้วย
ข. ไม่ใช่อภัยครั้งเดียว แต่ 7 คูณ70 ต่อวัน
มธ.18:21-22 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ
การให้อภัยของพระเจ้าไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวตลอดชีวิต หรือครั้งเดียวต่อวันเท่านั้น
แต่วันละ 7 คูณ 70 คือ 490 ครั้ง หมายถึง การให้อภัยไม่มีที่สิ้นสุด
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -5- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
ค. ไม่ใช่รักคนทั่วไป รักคนรอบข้าง แต่รักแม้กระทั่งศัตรู
มธ.5:44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
พระเยซูไม่เพียงสอนให้เราอภัยแก่ผู้ที่ทำผิดเท่านั้น แต่สอนให้เรารักแม้กระทั่งศัตรู
โดยลำพังมนุษย์ ไม่สามารถทำได้ แต่ด้วยคลังทรัพย์ของพระเจ้าเทลงมา เราจะทำได้
ไม่ใช่เราทำ แต่เป็นพระเจ้าทรงทำ ... ใครที่ทำได้ ก็มีพลังแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่กับตัว
เป็นเครื่องรางของขลังชั้นดีที่สุด ป้องกันเราจากภยันอันตรายทั้งปวง
ง. ทำให้ไม่ช่างจดจำความผิด ทนได้แม้ความผิดของคนอื่น
1คร.13:4-7 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
การจดจำความผิดของตัวเองและผู้อื่น เหมือนการดื่มยาพิษเข้าสู่ชีวิตทุกวัน
เกษตรกรที่ปลูกพืช กลัวสารพิษ เราเองก็ควรจะกลัวสารพิษเข้าสู่ชีวิตเช่นกัน
หลายครั้งที่เราขาดสันติสุข หลายครั้งที่พระเจ้าไม่ทรงใช้เรา
ก็เพราะเรายังจดจำความผิดของผู้อื่น เรายังไม่รักคนอื่น เรายังไม่เมตตา และเรายังไม่ให้อภัย
ทั้งหมดนี้ คือ คลังทรัพย์อันรุ่งเรืองจากภายในที่พระเจ้าจะมอบให้ผู้เชื่อ
4.2 การให้อภัยผู้ทำร้ายเราได้ เป็นผลมาจากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้า ส่งมาที่ใจเรา
ก. อภัยได้ คือ ความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ
คนที่รู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ แต่เป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด
เราจะเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณในส่วนนี้ได้ ต้องฝืน ต้องฝึก แล้วสุดกำลังของเรา จะเข้าสู่กำลังของพระเจ้า
ข. อภัยได้ คือ ป้อมปราการของชีวิต
การอภัย เป็นป้อมปราการ เป็นตัวสกัดสารพิษหรือยาพิษ ไม่ให้เข้าสู่จิตวิญญาณของเรา
ค. อภัยได้ คือ สายธารพระพรของพระเจ้า
สายธารพระพรของพระเจ้า จะไหลผ่านผู้ที่มีหัวใจของการให้อภัยเท่านั้น
ง. อภัยได้ ไม่เพียงให้โอกาสคนอื่น แต่สร้างโอกาสให้ตัวเองรับพร
พระเจ้าสอนให้เราอภัย ไม่ได้เห็นแก่ใคร แต่เพราะเห็นแก่เรา การให้อภัย เป็นการทำดีต่อตัวเอง
เมื่อเราเริ่มต้นที่จะให้อภัย พระเจ้าก็เริ่มต้นที่จะอวยพระพรทันที
4.3 ตัวอย่างที่น่าสนใจจากอดีตประธานาธิบดี เนลสัน แมนเดลลา
เนลสัน แมนเดลลา (Nelson Mandela) คือ นักต่อสู้เพื่อสิทธิและความเสมอภาคของชนผิวสี
และประธานาธิบดีคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้
ช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 18 ปีจากจำนวนการติดคุกทั้งสิ้น 27 ปี ขณะอยู่ในคุก ชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้นและกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้นำชนผิวดำคนสำคัญที่สุดในแอฟริกาใต้ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำนั้น เขาต้องทำงานบนเกาะโดยการขุดเหมืองหินปูนกฎภายในคุกนี้มีง่ายๆ นักโทษจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามเชื้อชาติ โดยที่นักโทษผิวดำจะได้รับปันส่วนอาหารในสัดส่วนน้อยที่สุด แต่นักโทษการเมืองจะถูกแยกออกจากนักโทษอาชญากรรมทั่วไปและถือเป็นชั้นต่ำที่สุดยิ่งกว่านักโทษทั้งหมดซึ่งเรียกว่า "นักโทษกลุ่ม D"
คำเทศนา อาทิตย์ที่ 21 มี.ค. 2010 รอบเช้า -6- โดย ศจ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน
แมนเดลลาได้อธิบายว่า ทุกๆ 6 เดือน เขาจะได้รับอนุญาตให้มีคนมาเยี่ยมได้หนึ่งคน และจดหมายหนึ่งฉบับเท่านั้นและเมื่อได้รับจดหมาย การส่งนั้นก็มักจะล่าช้าไปเป็นเวลานานมาก และยังถูกเซ็นเซอร์เสียจนแทบอ่านไม่ได้
แต่หลังจากออกมาจากคุกแล้ว ท่านกล่าวว่า “วันที่ผมได้รับการปล่อยตัวเข้าสู่อิสรภาพ ผมตระหนักอย่างชัดเจนว่า ถ้าผมไม่ละทิ้งความเจ็บปวด ความเคียดแค้นไว้เบื้องหลัง เท่ากับผมยังถูกคุมขังอยู่ในคุกอยู่ดี”
ถ้าเราอยากมีอิสรภาพที่แท้จริง เราต้องรู้จักให้อภัย
บ่อยครั้งเราเป็นอิสรภาพฝ่ายร่างกาย แต่จิตใจและจิตวิญญาณยังติดคุกอยู่
การอภัยเท่านั้น เป็นหนทางสู่เสรีภาพฝ่ายวิญญาณ
ข้อคิดที่เราได้จากความคิดและคำพูดนี้
ก. ความแค้น มีแต่จะทำให้จิตใจตกอยู่ในความมืดมิด
ข. ความแค้น มีแต่จะทำให้เราสูญเสียความสงบ สูญเสียความเบิกบานและสูญเสียพลังภายใน
ภาษาอังกฤษได้เปรียบภาษาไทยตรงที่มีทั้งคำว่า “FORGIVE” และ “FORGET”
ถ้าให้อภัยแล้ว ต้องลืมมันไปด้วย ... อย่าเก็บของเก่าไว้ในชีวิตและความคิดของเรา
ค. การอภัย ทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์ และความเจ็บปวด
อฟ.6:12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
อย่าลืมว่าศัตรูของเราไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันเอง ... ศัตรูของเรา มีผู้เดียว คือ มารซาตานและกิจการงานของมัน
ความโกรธ การอาฆาต เคียดแค้น ขมขื่น เป็นส่วนหนึ่งในงานของมารซาตานที่ทำงานผ่านคน
ง. การอภัย คือ การชำระล้างจิตใจให้สะอาด
ในโลกนี้ เราจะหนีอะไรก็หนีได้ แต่สิ่งที่เราไม่สามารถหนีได้พ้น คือ จิตใจของเราเอง
จิตใจมันอยู่กับเราตลอด อย่าเอาสิ่งแปดเปื้อนเข้าสู่ชีวิต แต่ให้รู้จักอภัย เพราะจะทำให้จิตใจของเราสะอาด
เมื่อจิตใจของเราสะอาด พระเจ้าก็ทรงสามารถเทคลังทรัพย์ของพระองค์เข้าสู่ชีวิตของเราได้
ใครบ้างจะอยากหยิบจับภาชนะที่สกปรกมาใช้งาน ... พระเจ้าเองก็ไม่ใช่ภาชนะที่สกปรกเช่นกัน
1คร.6:19-20 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
ชีวิตของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า จงรักษามันให้สะอาดด้วยการชำระจิตใจ
ให้อภัย มีความเมตตา จะส่งผลให้ชีวิตของเราสง่างาม เกิดผล และพรมากมายจะไหลผ่านชีวิตของเรา
สุดท้ายเมื่อคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระเจ้าเทลงมาที่เรา
จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกาย ด้วยจิตใจและด้วยจิตวิญญาณของเราเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น