วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง “ หลักชัยของชีวิต ” จาก “ ฟป.3:14-15 ”

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -1-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


เรื่อง หลักชัยของชีวิต จาก ฟป.3:14-15

ฟป.3:14-15            ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย

มนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าจะเชื่อเรื่องนรกสวรรค์หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคนสกปรกหรือสะอาด และไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆ ก็ตาม ไม่มีใครอยากมีชีวิตซวนเซ สั่นคลอน ไม่มีใครอยากจบชีวิตลงด้วยความล้มเหลว และไม่มีใครอยากทนทุกข์ตลอดชีวิต ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตมุ่งไปสู่หลักชัย ซึ่งส่วนใหญ่ คือ ความสำเร็จ ความมั่นคง และความสุข

                ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องประกอบด้วยความสุข ความสงบ ความสะอาด และความสว่าง (ปัญญา)
แต่การที่เราจะมุ่งไปสู่หลักชัยนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแนวทางที่ถูกต้อง และแนวทางที่ถูกต้องที่สุด คือ แนวทางของพระวจนะพระเจ้า
               

1. มุ่งสู่หลักชัยของชีวิต

การที่ชีวิตของเราจะมุ่งสู่หลักชัยอันได้แก่ ความสำเร็จ ความมั่นคง และความสุขได้
ชีวิตต้องมีเป้าหมาย ต้องมุ่งมั่น ต้องแน่วแน่ ต้องชัดเจน
จะมีประโยชน์อะไรที่เลี้ยงลูกบอลไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าประตูอยู่ที่ไหน
จะมีประโยชน์อะไรที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าหลักชัยคืออะไร และอยู่ที่ไหน
คนที่มุ่งไปสู่หลักชัย จะไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆ แต่ต้องเป็นคนที่มีเป้าหมายชีวิตอย่างชัดเจน

1.1 หลักชัย คือ การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายคุณธรรม 

เราจะมีความสำเร็จ มีความมั่นคง และมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อ ชีวิตของเราเป็นผู้ใหญ่
คือ เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายคุณธรรม เป็นผู้มีวุฒิภาวะ
ฟป.3:15                  เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย
อฟ.4:13                  จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

ก. ยิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ยิ่งเจริญด้วยคุณธรรม

ยน.6:63                  จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต
เราต้องมองชีวิตให้ทะลุถึงแก่น อย่างที่พระเยซูทรงตรัสว่า จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต
เงิน วัตถุ ทรัพย์สิน มีประโยชน์บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
เงินจ้างให้คนรักกันไม่ได้ จ้างให้คนเมตตาต่อกันไม่ได้ จ้างให้คนถ่อมไม่ได้
สังคมผิดพลาด เพราะพูดได้ สอนได้ แต่ทำไม่ได้อย่างที่พูดหรือสอน
เราสั่งเด็กให้ทำอย่างผู้ใหญ่ เขาทำไม่ได้ เพราะเขายังเด็ก
แต่ถ้าจิตวิญญาณของผู้ใดเติบโต หรือการบรรลุธรรมะของศาสนาต่างๆ คุณธรรมจะตามมา

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -2-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


มีคำกล่าวว่า มือที่ช่วยเหลือผู้อื่น สวยกว่ามือที่สวดมนต์
การสวดมนต์หรือภาวนาอธิษฐาน เป็นสิ่งดี แต่สิ่งดีกว่า คือ มือนั้นต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
การให้ ก็เปรียบเสมือน น้ำไหล
น้ำที่ไหล ก็จะใสสะอาด หิน ดิน ทรายใต้น้ำนั้น ก็สวยงามไปด้วย
คนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวุฒิภาวะ จะคิดได้อย่างนี้

แต่กว่าที่ใครคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความลึกซึ้งในพระคัมภีร์ หรือพระวจนะของพระเจ้า
อ่านน้อย แต่อยากเติบโตมาก เป็นไปไม่ได้
แต่อ่านมาก ใคร่ครวญมาก นำไปปฏิบัติมาก ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้มาก

เมื่อเติบโตมาก คุณธรรมก็มากตามไปด้วย
ให้ได้มากขึ้น อดทนได้มากขึ้น ทำประโยชน์ได้มากขึ้น
มนุษย์หากอยู่ในโลกแล้วไม่เป็นประโยชน์ ไม่ทำประโยชน์ ก็ไม่ได้แตกต่างจากสิงสาราสัตว์แต่อย่างใด
แม้เราต้องกิน ต้องดื่ม แต่เราไม่ได้อยู่เพื่อกิน เพื่อดื่ม
เมื่อเราทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ส่วนตัวเราก็ได้รับประโยชน์ด้วย แม้ไม่อยากได้ ก็จะได้
การเติบโตฝ่ายวิญญาณ และการมีคุณธรรมมากนั้น ไม่เพียงนำมาซึ่งความสุขของชีวิต
แต่ยังนำมาซึ่งทรัพย์สิน วัตถุ เงินทองอีกด้วย

ข. ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งเข้าใจชีวิต

ที่เราไม่เข้าใจชีวิต หรือเข้าใจชีวิตน้อย หรือแคบ

ก็เพราะเราเป็นเด็ก เมื่อเป็นเด็ก เราจึงเข้าใจอย่างเด็ก แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราจึงจะเข้าใจอย่างผู้ใหญ่

1คร.13:11               เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย

เมื่อมีชีวิต ก็ย่อมป่วยเป็น ร้องไห้เป็น โมโหเป็น แต่เราต้องเข้าใจ
วันนี้ป่วย วันหน้าหายป่วยได้ วันนี้หัวเราะ วันหน้าร้องไห้ได้
ถ้าเราเข้าใจชีวิต เราจะได้ชีวิตผู้อื่น และจะรักษาชีวิตของตนเองได้

1ทธ.6:10-12           ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพจงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน

ชีวิต ไม่ได้หมายถึง ร่างกายเท่านั้น แต่หมายถึง ความเจริญ การทำงาน ความเป็นผู้นำ
ต้องคิดถึงอนาคต ต้องมองไกล จะไม่ผิดพลาด
คนของพระเจ้าต้องหลีกหนีจากการโลภ การรักเงิน เพราะนั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง
เราต้องหาเงิน แต่ต้องไม่รักเงิน เราต้องมีรายได้ แต่ต้องไม่โลภ
มุ่งมั่นสู่ความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และยึดชีวิตที่เป็นนิรันดร์ อันเป็นชีวิตที่แท้จริง

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -3-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


ค. ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งดำเนินชีวิตให้พระเจ้ารับเกียรติมากขึ้น

อฟ.3:20                  ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

คนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ จะมุ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้า
มุ่งให้พระเจ้ารับเกียรติ มิใช่ แสวงหาเกียรติใส่ตัวเอง
ลักษณะของคนที่ทำเพื่อมุ่งหาเกียรติ คือ ทำแล้วต้องมีคนชม ทำแล้วต้องได้ออกหน้า
แต่คนที่ทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า จะไม่เรื่องมาก เรียบร้อย น่ารัก
ไม่ว่าจะมีคนชม หรือคนด่า ก็ยังทำงานต่อไป นิ่งได้ เพราะตระหนักว่าจะรับบำเหน็จจากสวรรค์
เมื่อเรามุ่งให้พระเจ้ารับเกียรติ ส่งผลให้เราทำสิ่งนั้นอย่างดีที่สุด (เหมือนทำถวายพระมหากษัตริย์)
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การทำงาน คำพูด การเรียน การรับใช้ พระเจ้าต้องรับเกียรติสูงสุด

1.2 หลักชัย คือ คิดอย่างพระเจ้า คิดอย่างผู้ใหญ่

คิดอย่างพระเจ้า คือ คิดอย่างผู้ใหญ่ คิดอย่างผู้ใหญ่ทางคุณธรรม

ชีวิตเราจะมุ่งสู่หลักชัยได้ ไม่เพียงต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ต้องคิดอย่างผู้ใหญ่ คิดอย่างพระเจ้าด้วย

มธ.16:23                 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้นเจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า"

ซาตานพยายามให้เราคิดอย่างมนุษย์ทั่วไป เช่น ใครดีมา เราดีตอบ ใครร้ายมา เราร้ายตอบ

แต่คนที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า คิดอย่างพระเจ้า คือ ทำดีตลอด

ทำมากกว่างานที่ได้รับ ผล คือ ก้าวหน้าและพระเจ้ารับเกียรติ

1คร.14:20               ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ความคิดของท่านอย่าให้เป็นอย่างเด็ก ในเรื่องความชั่วร้าย จงเป็นอย่างทารก แต่ฝ่ายความคิดจงให้เป็นอย่างผู้ใหญ่

สงครามชีวิต คือ สงครามความคิด
ความคิด กำหนด ชีวิต
ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับว่าเรามีความคิดอย่างไร
พระเจ้าจึงสอนเราว่า ความชั่วร้ายให้เป็นอย่างทารก เพราะทารกสะอาด บริสุทธิ์ คิดร้ายต่อใครไม่เป็น
แต่ความคิดของเราต้องเป็นผู้ใหญ่ และต้องคิดอย่างพระเจ้า

คิดอย่างพระเจ้า คิดอย่างผู้ใหญ่ ต้องคิดอย่างไร?

ก. ต้องรู้จักทิ้งขยะความคิด

สังคมไทยมีขยะความคิดมากมาย เห็นได้จากละครน้ำเน่า และเกมส์โชว์ที่ไร้สาระ
รวมไปถึงการกระทำของผู้นำในบ้านเมือง ส่วนใหญ่ก็เป็นขยะ
ส่งผลให้คนในสังคมกลายเป็นทาสวัตถุ และสุดท้ายต้องตายเพราะวัตถุ
หมอดูบอกว่าจะรวย ก็นั่ง นอน รอรวย ไม่ทำมาหากิน
แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ จะรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดเป็น ขยะ และต้องกำจัดมันให้ได้

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -1-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -4-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


1) ไม่คิดโง่ๆ แต่คิดเป็นสาระ

รม.1:21-23             เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระ

เจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไปเขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไปและเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน

นี่เป็นตัวอย่างความคิดโง่ๆ ที่ไม่เป็นสาระ
ความคิดไม่ต้องออกแรงมาก แต่ถ้าคิดแล้วโง่ ก็อย่าเสียเวลาคิดต่อ
เวลามีค่า ควรเอาไปคิด เพ่งพินิจ พิจารณาในสิ่งที่เป็นสาระ

2) ไม่หวั่นไหวกับคำพูดของคน

ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า เราต้องฟังทุกเสียง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกเสียง

คนที่เป็นผู้ใหญ่ จะไม่หวั่นไหว ไม่หันไปเหมาะไปกับคำพูดคน
อฟ.4:14                  เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
เสียงใดที่เข้ามากระทบแล้วดี ก็เอามาสร้างสรรค์ชีวิต เอามาปฏิบัติ
แต่ถ้าเสียงใดไม่สร้างสรรค์ ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นเรื่องไร้สาระ

3) ขยะต้องทิ้งไป ส่วนสาระต้องเก็บไว้

ผู้ใหญ่ ต้องแยกให้ได้ว่าอะไรเป็น ขยะ อะไรเป็น สาระ
บางครั้ง เราต้องทำเป็นหูหนวก ตาบอด ในเรื่องเล็กๆ ในเรื่องไร้สาระ ในเรื่องที่เป็นขยะ
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่มีสาระ เราทิ้งไม่ได้ ต้องเก็บไว้ เป็นประโยชน์สำหรับชีวิต

4) ชีวิต คือ การเดินทางไกล ตัวต้องเบา

ถ้าตัวเราไม่เบา เราจะเดินทางไกลไม่ได้ เพราะหนัก และเหนื่อย
ขยะความคิดจึงเป็นเรื่องใหญ่ ปล่อยให้มีมาก เราจะเดินช้าและไปไม่ถึงหลักชัย
แต่เมื่อกล้าที่จะทิ้งขยะความคิด ชีวิตก็เบา ทำอะไรก็ง่ายขึ้น สำเร็จได้มากขึ้น
ฮบ.12:1-2               เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเราหมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า

ข. ต้องคิดอย่างสมดุล คิดอย่างบูรณาการ

คิดอย่างสมดุล อย่างบูรณาการ คือ คิดโดยมองภาพรวม
เช่น เมื่อเรามองดูต้นไม้ ไม่มองดูเป็นต้น แต่มองดูป่าทั้งผืน
บริษัทข้ามชาติที่เติบโตได้ เพราะมองดูโลกทั้งใบ ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง
คนที่คิดอย่างสมดุล หรือบูรณาการ เป็นคนที่มีความหวังเสมอ


คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -5-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


1) ชีวิตมีความเหมือนความต่าง มีจุดอ่อนจุดแข็ง

ทุกชีวิตมี ความเหมือน ไม่ว่าจนหรือรวย จบเมืองนอก หรือบ้านนอก ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน
ร้องไห้เป็น เจ็บเป็น ผิดหวังเป็น ต้องการคนรัก ต้องการคนเข้าใจ ต้องการการยอมรับ
ในขณะเดียวกันทุกชีวิตก็มี ความต่าง เช่น รายได้ต่าง การศึกษาต่าง ความเชื่อต่าง
ความต่างนี้เอง ก่อให้เกิดความคิดต่าง ความเห็นต่าง และการกระทำต่าง

ทุกชีวิตมี จุดอ่อน ซึ่งทำให้เราเป็นคนที่ถ่อมตัวมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันทุกชีวิตก็มี จุดแข็ง ซึ่งมีไว้ป้องกันตัวเอง และช่วยเหลือผู้อื่น
จะไปถึงหลักชัยได้ ต้องมองให้ชัด และต้องคิดอย่างสมดุล

2) คิดอย่างผู้ใหญ่ คือ คิดอย่างสมดุล

ฟป.3:15                  เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย

เราได้แค่ไหน ก็เริ่มตรงจากนั้นต่อไป ไม่โอดครวญ ไม่คร่ำครวญ ทำไมเราถึงช้ากว่าคนอื่น
เราเดินช้าไม่เป็นไร แต่ขอให้เดินถึง แม้จะถึงทีหลังคนอื่นก็ตาม

2. จะมุ่งไปสู่หลักชัยของชีวิตได้ ต้องคิดอย่างถูกต้อง

ชีวิตเราจะมุ่งไปสู่หลักชัยได้ ความคิดเราต้องถูกต้อง ตรงประเด็น เข้าแก่นสาร

2.1 ไม่งมงายกับความเชื่อที่ไม่ผ่านขบวนการคิด

มนุษย์สนใจแทบทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ศาสตร์ วารสารศาสตร์ วิทยาศาสตร์
แต่กลับละเลยศาสตร์ที่สำคัญต่อชีวิตอย่างที่สุด คือ ศาสนศาสตร์
ศาสนศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่กำหนดชีวิตของมนุษย์
คริสต์ นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงศาสนาที่เน้นความเชื่อเท่านั้น แต่เราเน้นเหตุผล และความคิดด้วย  
เริ่มต้นเราเชื่อ แม้ไม่เข้าใจ แต่เราศึกษาไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความคิด ความเข้าใจ

ความเชื่อ ต้องมี แต่ ความคิด ต้องดีด้วย
เพราะความเชื่อเป็นประตูด่านแรก เช่น โคลัมบัส เชื่อว่ามีอีกทวีป จึงค้นพบอเมริกา
พระเจ้าสร้างมนุษย์จากความเก่งของพระเจ้า สิ่งใดที่มนุษย์ทำได้ มนุษย์ต้องทำ (เพราะพระเจ้าสร้างให้เราเก่ง)
แต่สิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าจะเข้ามาเสริม

ก. ไม่หลงผิด ทำซ้ำ ย่ำอยู่กับที่

ไม่หลงผิด ไม่หลงทาง ไม่ทำซ้ำในสิ่งที่หลง แม้ทำถูกก็ไม่ทำย่ำอยู่กับที่
เราจะรู้ว่าใครจะไปสู่หลักชัย คือ ดูความก้าวหน้าของเขา
แม้ช้า แต่ต้องก้าวอยู่เสมอ รักษาระดับการก้าวของชีวิตไว้เสมอ

ข. ไม่ปิดกั้นความคิด แต่สนับสนุนความคิดให้เบิกบาน เติบโต

เราต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องกล้าปรับความคิด
ไม่ปิดกั้นความคิด (ที่ดี) สนับสนุนให้ความคิดเติบโต และฝึกคิดนอกกรอบ

คำเทศนา อาทิตย์ที่ 10 พ.ค. 2009 รอบเช้า                                             -6-                                                                           โดย ศจ.นิรุทธิ์   จันทร์ก้อน


เช่น พิธีกรรมของคริสเตียน เราสามารถประยุกต์ได้ในแต่ละประเทศ
เพื่อให้พระเจ้ารับเกียรติ และให้ผู้อื่นเห็นว่าคริสเตียนมีวัฒนธรรม
ทุกสิ่งมนุษย์เป็นคนสร้าง เราต้องสร้างสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ

ค. คิดให้สนุก อย่าคิดให้ทุกข์

คิดให้สนุก และสานความคิดนั้นให้เป็นจริง แต่ไม่สุดโต่งอย่างไร้เหตุผล


2.2 คิดอย่างสร้างสรรค์

จะไปถึงหลักชัยได้ ต้องคิดอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่คิดแบบลบ หรือทำลาย

ก. ไม่จำกัดความคิดด้วยข้อกำหนดต่างๆ เว้นแต่พระคัมภีร์

อย่างที่กล่าวแล้วว่า พิธีกรรมต่างๆ มนุษย์ทำขึ้นทั้งนั้น
เราทำให้ดีขึ้นได้ โดยไม่จำกัดความคิดด้วยข้อกำหนดต่างๆ
แต่ต้องคงไว้ให้อยู่ในกรอบของพระคัมภีร์

ข. ไม่เอาชีวิตไปฝากไว้กับข้อมูลข่าวสาร แต่จะวิเคราะห์ สังเคราะห์ว่าเป็นประโยชน์หรือไม่

ประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเชื่อข่าวสารจากหนังสือพิมพ์เท่าไร (เชื่อ แต่ไม่ทั้งหมด)
ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ เชื่อทันทีที่ได้เสพข่าวสาร
คนที่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ที่ได้เห็น ก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่
แต่คนที่จะมุ่งไปสู่หลักชัย ต้องรู้จักแยกแยะ ต้องรู้จักวิเคราะห์ สังเคราะห์ให้ได้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ต่อเรา
อย่าตกเป็นทาสข้อมูลข่าวสาร อย่าให้ชีวิตของเราถูกซัดไปซัดมาด้วยข่าวสารต่างๆ
แต่เราต้องยืนหยัดอยู่บนความจริง และพื้นฐานของพระคัมภีร์

ค. คิดอย่างลึกซึ้ง กว้าง สูง ละเอียด

อฟ.3:18-19             ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

เราจะรับความบริบูรณ์ รับความไพบูลย์ของพระเจ้าได้
ต้องคิดอย่างลึกซึ้ง กว้าง สูง ลึกและละเอียด

ง. ไม่ตัดสินผิด-ถูก ใช่-ไม่ใช่ เพียงภาพที่เราเห็น

บ่อยครั้ง สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป
คนพูดเพราะ ดูดี แต่ไม่ดีก็มี (ไม่ได้หมายความว่าพูดเพราะไม่ดี) คนพูดไม่เพราะ ดูไม่ดี แต่มีน้ำใจก็มีมากมาย
คนที่คิดอย่างสร้างสรรค์ จะไม่ตัดสินผิดถูก ใช่หรือไม่ใช่ ตามที่ตามองเห็นเท่านั้น
ต้องใช้เวลา ต้องสังเกต ต้องวิเคราะห์

จ. รับฟังอย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างถ่องแท้ เดินไปข้างหน้าอย่างสง่างาม

เมื่อมีความเห็นต่าง เราต้องฟัง จะได้รู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร ไม่ใช่ฟัง เฉพาะสิ่งที่ตนเองชอบ
และในการฟัง ต้องฟังอย่างลึกซึ้งด้วย เพื่อจะเข้าใจอย่างถ่องแท้
และผลสุดท้าย คือ เราจะเดินไปข้างหน้า เดินถึงหลักชัย อย่างสง่างาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น